ถอดความจากบันทึกลับเรื่อง FIVE CHIMNEYS BY DOCTOR OLGA LENGYEL
Ads
วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2558
ประวัติย่อของโอลกา เลงเยล
ภาพบน โอลกา เลงเยล เมื่อวัยสาว และภาพล่าง โอลกา เลงเยล เมื่ออายุ 84 ปี
ในปี ค.ศ. 1944 โอลกา เลงเยล (Olga Lengyel ) ถูกเนรเทศไปอยู่ที่ค่ายเอาส์ชวิตซ์-เบอร์เคเนาพร้อมกับบิดามารดา
สามี และบุตร 2 คน
เธอไปทำงานเป็นแพทย์อยู่ในสถานพยาบาลในค่ายกักกัน ซึ่งน่าจะเป็นเพราะทำงานนี้จึงทำให้เธอรอดชีวิต
โอลกาเป็นเพียงคนเดียวในครอบครัวที่สามารถรอดชีวิตมาได้
ส่วนสามีของเธอคือนายแพทย์ไมกรอส เลงเยล(Miklós Lengyel ) เสียชีวิตในขณะเดินทางในการอพยพนักโทษในตอนปลายสงคราม
แต่เธอได้เดินทางกลับไปอยู่ที่รัฐนิวยอร์กเมื่อปี ค.ศ. 1962 และได้ก่อตั้ง เมโมเรียล ไลบรารี (The Memorial Library) ในเมืองแมนฮัตตัน
ภารกิจของเมโมเรียล ไลบรารีคือให้การสนับสนุนการศึกษาเรื่องของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวของนาซี และช่วยบรรดาครูอาจารย์ทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาสนับสนุนในเรื่องของความยุติธรรมทางสังคม
โอลกาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 2001 ในรัฐนิวยอร์ก เมื่ออายุ 92 ปี
บทที่ 27 ได้แต่เพียงหวัง
เมื่อมองย้อนกลับไปดูชีวิตในอดีตที่ผ่านมาดิฉันอยากจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น
อยากมีชีวิตอยู่กับไออุ่นของแสงแดดในท่ามกลางสันติภาพและความสงบสุข
แต่อดีตเหล่านี้มันยังตราตรึงและฝั่งแน่นอยู่นความทรงจำยากต่อการลืมเลือนเป็นที่สุด
รากฐานชีวิตของดิฉันทุกอย่างได้ถูกทำลายไปจนหมดสิ้น
มันผ่านไปโดยไม่มีวันที่จะหวนกลับมาอีกครั้ง
บันทึกความทรงจำฉบับนี้เขียนจากความจริงที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเพื่อนนักโทษในค่าย
ผู้ซึ่งสังเวยชีวิตให้แก่ความโหดร้ายทารุณของพวกนาซี
ดิฉันขอมอบบันทึกความทรงจำนี้เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ผู้ประสบเคราะห์กรรมอันเลวร้ายทั้งปวง
ขอให้ดวงวิญญาณของผู้ที่น่าสงสารเหล่านั้นจงไปสู่สุคติเถิด
ไม่มีนรกขุมใดอีกแล้วที่จะทุกข์ทรมานเท่ากับนรกในค่ายกักกันเชลย
นอกจากจะให้เป็นอนุสรณ์แด่ผู้ที่น่าสงสารที่จากไปแล้วนั้นดิฉันเขียนบันทึกนี้ด้วยมีความฝันอันยิ่งใหญ่อีกอย่างหนึ่ง
คือต้องการให้ชาวโลกได้อ่านและร่วมกันลงประชามติว่าจะไม่ให้สิ่งนี้อุบัติขึ้นในโลกอีกเป็นอันขาด
ดิฉันมั่นใจว่าหลังจากที่ได้อ่านบันทึกความทรงจำฉบับนี้แล้วคงไม่มีใครสงสัยว่าทำไมดิฉันจึงตั้งใจจริงเช่นนี้
แม้แต่ขณะที่กำลังจรดปลายปากกาบันทึกข้อความในทบสุดท้ายนี้
ดิฉันก็ยังมองเห็นภาพของเหล่านักโทษผู้เคราะห์ร้ายมาปรากฏอยู่ต่อหน้า
มากระซิบวิงวอนให้ดิฉันเปิดเผยเรื่องราวความทุกข์ยากของเขาไว้ในบันทึกฉบับนี้
ดิฉันสามารถปฏิเสธความต้องการของวิญญาณนักโทษที่เป็นผู้ใหญ่ทั้งหญิงและชายเหล่านั้นได้แต่ไม่อาจปฏิเสธดวงวิญญาณของบรรดานักโทษเด็กตัวน้อยๆที่ถูกบังคับให้เดินเรียงแถวเข้าไปยังเตาเผาศพในค่ายนรกได้เลย
ก่อนที่จะปิดแฟ้มบันทึกลับฉบับนี้ดิฉันจึงใคร่ขอกล่าวถึงนักโทษเด็กตัวเล็กๆที่น่าสงสารไว้ให้ชาวโลกได้รับรู้บ้าง
เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1944
ผู้บัญชาการหน่วยเอสเอสสั่งให้ค่ายเบอร์เคเนาส่งรายงานเกี่ยวกับพวกเด็กๆที่ถูกกักกันอยู่ในค่าย
เพราะถึงแม้จะมีการคัดเลือกครั้งแรกตั้งแต่ตอนที่ขบวนรถไฟเดินทางมาถึงแล้วก็ตามแต่ยังมีเด็กอีกจำนวนไม่น้อยที่ถูกแยกออกจากครอบครัวมาอยู่ในค่าย
พวกปีศาจร้ายนาซีได้ตัดสินใจที่จะสังหารเด็กๆเหล่านี้โยมีเงื่อนไขว่าจะต้องทำให้เร็วที่สุดและประหยัดที่สุด
ทำไมพวกเด็กๆจึงไม่ถูกสังหารโดยวิธีจับโยนลงไปในบ่อคอนกรีตแล้วราดด้วยน้ำมันจุดไฟเผาอย่างที่เคยทำกันมา?พวกเยอรมันไม่สามารถใช้วิธีการนี้ต่อไปได้อีกเนื่องจากขาดแคลนน้ำมันและหากจะใช้วิธีนำเด็กนี้ไปยังเป้าก็ไม่ได้อีกเพราะต้องการสงวนกระสุนปืนไว้ใช้ในการสู้รบของพวกที่อยู่ในแนวหน้า
แต่พวกเยอรมันก็ไม่เคยเลิกความคิดที่จะหาทางทำลายล้างชีวิตพวกเด็กๆเหล่านี้เลย
ได้ออกคำสั่งให้พวกดิฉันไปช่วย”อาบน้ำ”
เด็กๆเหล่านี้ที่ค่ายเบอร์เคเนา
ซึ่งคำสั่งทุกครั้งจะต้องได้รับการปฏิบัติตามโดยไม่มีสิทธิ์โต้แย้งใดๆทั้งสิ้นไม่ว่าคำสั่งนั้นมันจะน่าขยะแขยงสักเพียงใดก็ตามที
บนถนนใหญ่ที่ตัดผ่านค่ายที่ยาวสุดลูกหูลูกตา ซึ่งเมื่อก่อนเคยใช้เป็นที่สวนสนามของกองกำลังทหารม้านับล้าตัวนั้น
บัดนี้กำลังเป็นที่กำหนดให้พวกนักโทษตัวน้อยๆจำนวนมากมายเดินเรียงแถวเป็นขบวนยาวเหยียดทุกคนถูกกล้อนผมจนสั้นเกรียนสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเดินด้วยเท้าเปล่าไปตามถนนที่ปกคุมด้วยหิมะ
บริเวณที่ปกคลุมด้วยหิมะบางแห่งมีหิมะทับถมกันหนาจนเป็นน้ำแข็ง
ขณะที่เดินไปมีเด็กบางคนลื่นหกล้ม คนใดท่ล้มลงจะถูกเฆี่ยนตีด้วยแส้อย่างทารุณ
หิมะโปรยปรายลงมาอีกระลอกหนึ่ง
นักโทษตัวน้อยๆมีเกล็ดหิมะจับตามเสื้อที่ขาดรุ่งริ่งมองดูขาวโพลนกำลังเดินมุ่งหน้าสู่ความตายทุกคนปิดปากเงียบเมื่อถูกเฆี่ยน
ไม่ส่งเสียงร้องใดๆออกมา ดูราวกับว่าเป็นตุ๊กตาหิมะวางเรียงรายต่อกันยาวเหยียด
ยิ่งก้าวเดินไปท่ามกลางความหนาวเย็นที่จับขั้วหัวใจร่างนักโทษตัวน้อยๆเหล่านั้นก็ยิ่งสะท้านร้องไม่ออกมีเพียงแต่ความสิ้นหวังเหน็ดเหนื่อยและหวาดกลัว
มีเพียงคราบน้ำตาที่ไหลออกมาอาบแก้มเท่านั้นที่บ่งบอกถึงความทุกข์ยากที่อัดแน่นในใจในชะตากรรมอันโหดร้ายป่าเถื่อนในครั้งนี้
โธมัส แกสตัน
หนึ่งในจำนวนนักโทษไร้เดียงสาเหล่านี้เกิดหกล้ม
ดวงตากลมโตสีน้ำตาลของแกฉายแววอาการไข้ออกมาอย่างเห็นได้ชัด
กลอกตาไปมามองตามแส้ม้าที่หวดกระหน่ำอย่างไม่ยั้งมือของพวกทหารเอสเอส
กระทบกับร่างที่หนาวสั่นเพราะอาการไข้ที่กำลังขึ้นสูง
หนูน้อยหมดแรงที่จะร้องหรือจะปฏิบัติตามคำสั่งใดๆทั้งสิ้น
ได้แต่ถอนสะอื้นน้ำตานองหน้า จากนั้นก็สลบล้มลงไปกับพื้นหิมะ
พวกเราเข้าไปประคองแกขึ้นมาอุ้มไว้ในวงแขน
พวกเด็กๆเดินต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งมีเสียงห้าวๆตะโกนอย่างดุดันว่า”สตีเฮน
บลีเบน(หยุด)”แล้วพวกเยอรมันก็สั่งให้พวกเรานำเด็กทุกคนไป”อาบน้ำ”
อีก 2-3
นาทีต่อมาพวกเราก็เริ่มนำเด็กๆไปอาบน้ำที่เย็นจัดเกือบเป็นน้ำแข็งทีละคน
ไม่มีแม้แต่สบู่และผ้าเช็ดตัว พออาบเสร็จยังไม่ได้เช็ดตัวให้ก็สวมชุดขาดรุ่งริ่งชุดเดิมให้กับแกทั้งๆที่ตัวยังเปียกอยู่
แล้วส่งกลับไปเข้าแถวรอคอยจนกว่าทุกคนจะอาบน้ำเสร็จ
นี่เป็นวิธีการทรมานอีกแบบหนึ่งซึ่งพวกเยอรมันนักคิดค้นวิธีการทรมานมนุษย์ได้ใช้เป็นวีการ”แก้”ปัญหาพวกเด็กๆซึ่งเป็นปัญหาของผู้ไร้เดียงสาในค่ายเบอร์เคเนา
เมื่อพวกเด็กๆทุกคนผ่านการ”อาบน้ำ”ที่เย็นจัดเกือบเป็นน้ำแข็งเรียบร้อยแล้วก็มีการเรียกชื่ออีกครั้งหนึ่ง
การเรียกชื่อครั้งนี้ใช้เวลานานถึง 5 ชั่วโมง
เด็กทุกคนซึ่งเพิ่งจะผ่านการอาบน้ำมาได้หยกๆก็มายืนอยู่ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นและหิมะตกลงมาอยู่ตลอดเวลา
“พระผู้เป็นเจ้าองค์น้อยจะมาหาพวกเองในเร็วๆนี้แล้วละไอ้หนู”
ทหารยามคนหนึ่งพูดเยาะเย้ยหนูน้อยคนหนึ่งที่ยืนรอคอยการเรียกชื่อด้วยความหนาวเหน็บจนริมฝีปากเขียวร่างชาไปตั้งตัว
มีเด็กๆที่รอดชีวิตจากการเรียกชื่อในครั้งนี้เพียงไม่กี่คน
ส่วนเด็กๆที่ยังรอดชีวิตอยู่ก็ต้องล้มลุกคลุกคลานเพราะถูกพวกเยอรมันเอาตะบองไล่ทุบตี
เด็กเหล่านี้เกือบทั้งหมดเป็นเด็กเชื้อชาติยิว
มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่เป็นเด็กเชื้อชาติอื่นๆ
ในที่สุดพวกเราก็ได้รับคำสั่งให้พาพวกเด็กๆที่ยังรอดชีวิตนี้กลับไปเข้าแถวที่ถนนอีกครั้งหนึ่ง
ขณะที่ขบวนเด็กเดินอยู่นั้นเป็นเวลาที่พวกนักโทษผู้ใหญ่หลายคนกำลังถือจอบหรือพลั่วมาซ่อมถนนอยู่ใกล้ๆพวกเขาก็ได้แต่มองดูขบวนเด็กๆด้วยความสงสารแต่ก็ไม่มีใครช่วยเหลืออะไรได้
“แม่---แม่---แม่จ๋า”หนูน้อยโธมัสร้องขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งหลังจากฟื้น
เสียงขาดเป็นห้วงขณะที่พิษไข้กำลังขึ้นสูง ตัวสั่นเทาเหมือนกับว่ากำลังจะสิ้นใจ
ในที่สุดพวกเราก็นำหนูน้อยโธมัสและเด็กอื่นๆกลับเข้าคุก
เด็กๆพวกที่รอดชีวิตกลับมาครั้งนี้มีสภาพเหมือนกับหุ่นยนต์เกือบจะตายไปเพราะความเหน็ดเหนื่อย
ทั้งๆที่อยู่ในสภาพที่สุดจะทนทุกข์ทรมานอย่างนี้แต่พวกเขาก็ยังถูกบังคับให้เดินกลับเข้าไปอยู่ในคอกม้าที่หนาวเย็นยะเยือกอีกครั้ง
คราวนี้หนูน้อยโธมัสได้สิ้นใจในระหว่างทางเช่นเดียวกับเด็กอื่นๆอีกหลายร้อยคน
พวกเราได้นำศพของแกพร้อมกับศพเด็กอื่นๆไปไว้ที่ด้านหลังคุกตามกฎของค่าย
ทั้งที่รู้ดีว่าเจ้าหนูร้ายตัวโตๆที่ชุกชุมอยู่ตามซอกมุมต่างๆกำลังรอคอยที่จะแทะกินเนื้ออุ่นๆของพวกเขาอยู่
ดิฉันจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันปีใหม่
เกล็ดหิมะโตๆกำลังโปรยปรายตกลงมาไม่ขาดระยะ
พวกเราได้ยินเสียงหนูนับพันตัวส่งเสียงร้องระงมอยู่ในบริเวณนั้น
ราวกับดีใจที่ได้เกินเนื้อศพนักโทษอีกครั้งหนึ่ง
พวกเราทำได้ก็เพียงปิดตาตัวเองแล้วสวดมนต์อ้อนวอนขอความยุติธรรมจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น
หลายแห่งบนพื้นโลกนอกรั้วลวดหนามบรรดาเสรีชนทั้งหลายคงจะกำลังจับมือหรือยกแก้วขึ้นชูเพื่ออวยพรปีใหม่กันอย่างสนุกสนาน
แต่ที่มุมหนึ่งในค่ายเบอร์เคเนากลับระงมไปด้วยเสียงหนูที่กำลังแทะเนื้อสดๆของศพเด็กๆจากประเทศต่างๆยุโรปกินอย่างเอร็ดอร่อย
ท่านผู้อ่านอาจตั้งคำถามถามดิฉันว่า
“โดยส่วนตัวแล้วดิฉันคิดจะทำอย่างไร
เพื่อที่จะไม่ให้สิ่งเลวร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นในโลกของเราอีก”
ดิฉันไม่ได้เป็นนักรัฐศาสตร์หรือนักเศรษฐศาสตร์
แต่เป็นเพียงผ็หญิงคนหนึ่งซึ่งประสบกับความทุกข์ยากอย่างใหญ่ลวงในชีวิต
ต้องมาสูญเสียสามีบุตรบิดามารดาและเพื่อนๆอีกมากมาย
ดิฉันคิดว่าชาวโลกทุกคนควรจะได้ร่วมกันตระหนักถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้
พวกเยอรมันจะต้องได้รับโทษทัณฑ์จากบาปกรรมครั้งนี้อย่างรุนแรงที่สุด
ส่วนชาติอื่นๆก็ต้องได้รับโทษทัณฑ์ลดหลั่นไปตามกรรม
ที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาไดนั้นก็เพราะว่าแต่ละชาติปฏิเสธการทำงานอย่างจริงจังที่จะช่วยเหลือผู้เคราะห์ร้ายและผู้ตกทุกข์ได้ยากทั้งหลายในทุกวิถีทาง
ดิฉันมีความเชื่อว่า
1.ถ้าทุกคนในโลกมีจิตใจเชื่อมั่นและแนวแน่ว่า
ทุกชีวิตที่เกิดขึ้นในโลกจะต้องได้รับสิทธิเสรีภาพและความยุติธรรมเท่าเทียมกัน และ
2. มวลมนุษย์อย่างฮิตเลอร์, ไอช์มานน์,
ฮิมเลอร์, เมงเกเล
และพวกนาซีที่บ้าคลั่งทั้งหลาย อย่ายอมให้ได้มีโอกาสเกิดขึ้นมาในโลก
สองประการนี้แหละที่จะช่วยให้อะไรๆดีขึ้นมามากเลยทีเดียว
ดิฉันคิดว่าบรรดาฆาตกรโหดหญิงหรือชายคนใดก็ตามที่มือเปื้อนเลือดไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม
จะต้องชดใช้หนี้กรรมที่ได้กระทำไว้อย่างสาสม
หากไร้เสียซึ่งสิ่งสำคัญดังกล่าวแล้วก็อาจจะทำให้เกิดการทำลายล้างมนุษย์ผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนล้านๆคนขึ้นอีกอย่างไม่ต้องสงสัย
ดิฉันย้อนนึกถึงสมัยที่ยังเป็นนักเรียนอยู่นั้น
พวกเราเคยตั้งคำถามกันว่า โดยพื้นฐานแล้วมนุษย์ดีหรือเลว?
ที่ค่ายเบอร์เคเนา-เอาชวิตซ์ทุกคนจะต้องตอบคำถามนี้เป็นเสียงเดียวกันว่ามนุษย์เลว! ความเชื่ออย่างนี้เป็นการยืนยันตามปรัชญาของนาซี
ที่พวกสมุนฮิตเลอร์เชื่อว่าเป็นสิ่งถูกต้อง โดยถือว่ามนุษย์เผ่าอื่นที่ต่อต้านนโยบายของพรรคนาซีเป็นสัตว์ที่โง่และชั่วร้ายจำเป็นต้องกำจัดให้สิ้นซาก
อาชญากรรมที่ร้ายรงที่สุดอย่างหนึ่งที่บรรดา”เดนมนุษย์”ทั้งหลายกระทำกับพวกเรา
ก็คือ
การที่พวกเขาประสบความสำเร็จในการรณรงค์จนพวกเราแทบว่าจะกลายเป็นสัตว์ชั่วร้ายไปจริงๆ
เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายในการรณรงค์เพื่อให้มนุษยชาติอื่นๆลดตัวลงมาเป็นสัตว์ที่ชั่วร้ายเช่นนั้นจริงๆ
พวก”เดนมนุษย์นาซี”ก็สามารถคุยได้ว่าพวกเขาทำสำเร็จตามนโยบายนี้จริงๆ
ดังตัวอย่างเช่น
ผู้ที่เคยเป็นเพื่อนกันมาตลอดก็ยุติลงด้วยการเกลียดชังกันจนไม่สามารถประสานกันได้อีกเลย
ญาติพี่น้องท้องเดียวกันก็ลงมือต่อสู้กันเพื่อให้ได้มาซึ่งขนมปังเพียงชิ้นเดียว
มนุษย์ที่เคยซื่อสัตย์สุจริตก็เปลี่ยนเป็นโจรขโมยตัวยง
สามารถขโมยทุกสิ่งทุกอย่างได้เมื่อมีโอกาส
บ่อยครั้งที่หัวหน้าคนงานที่เป็นชาวยิวได้ทุบตีคนงานที่เป็นคนยิวด้วยกัน
สภาพสังคมที่ค่ายเบอร์เคเนาก็เหมือนกับสังคมอื่นๆที่พวกนักปรัชญานาทีให้การยกย่อง
โยยึดถือทฤษฎีที่ว่า”อำนาจคือธรรม”
ในสังคมเช่นนี้คนจะให้ความเคารพนับถือกันก็เพราะมีอำนาจเท่านั้น
คนที่อ่อนแอหรือชนชราไม่ต้องไปหวังว่าจะได้รับความปรานีจากใครๆ
ในประเทศอียิปต์แม้ว่าพวกทาสที่ก่อสร้างพีระมิดส่วนหนึ่งได้เสียชีวิตไปขณะที่ทำงาน
แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังมีโอกาสได้เห็นโครงสร้างของพีระมิดซึ่งเป็นผลงานจากฝีมือของพวกเขาก่อตัวสูงขึ้นทีละน้อยๆ
แต่พวกนักโทษในค่ายเอาส์ชวิตซ์-เบอร์เคเนาถูกเกณฑ์ให้ขนกองหินไปยังที่หนึ่งแต่จะต้องขนกลับมายังที่เดิมในวันรุ่งขึ้น
สิ่งที่นักโทษได้เห็น ก็คือ การกระทำที่ไร้ประโยชน์
ผู้ที่อ่อนแอมีสภาพไม่ผิดอะไรกับสัตว์
ไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงความอิ่ม
มีชีวิตอยู่ด้วยการรับประทานเพียงเศษอาหารที่เลวยิ่งกว่าสัตว์และไม่เพียงพอกับความหิวโหยที่อัดแน่นอยู่ภายใน
สิ่งที่บรรดานักโทษร้องขอนั้นก็เพียงขอให้หนาวน้อยลงมาบ้าง
ให้ลดความบ่อยในการเฆี่ยนตีลงมาบ้าง
ให้มีฟางที่จะใช้ปูบนกระดานหยาบๆในกรงขังเพิ่มขึ้นมาสักนิดหนึ่ง
ให้มีน้ำดื่มเต็มแก้วถึงแม้มันจะเป็นน้ำที่มาจากแหล่งน้ำสกปรกในค่ายก็ตาม
และประการสุดท้าย ก็ขอให้เหล่านาซีผู้โหดร้าย ได้มีพลังทางศีลธรรมสักอย่างที่จะช่วยพยุงตนเองไม่ให้จมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความชั่วร้ายจนหมดตัวอย่างนั้น
ถึงอย่างไรก็ตามเท่าที่ผ่านมา
ดิฉันได้เห็นนักโทษเป็นจำนวนมากยังยึดมั่นในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์จนกระทั่งวาระสุดท้ายแห่งชีวิต
แต่แม้ว่าพวกนาซีจะประสบความสำเร็จในการลดความเป็นมนุษย์ของพวกนักโทษโดยทำการทรมานร่างกายของพวกเขาอย่างหนักได้ก็ตาม
แต่ก็ไม่สามารถลดความสูงส่งทางด้านศีลธรรมในจิตใจชองนักโทษเหล่านี้ได้
ด้วยเหตุผลเพียงเล็กน้อยเท่านี้เองที่ทำให้ดิฉันยังไม่หมดศรัทธาในตัวมนุษย์เสียทีเดียว
ในสภาพที่ป่าเถื่อนของค่ายเอาส์ชวิตซ์-เบอร์เคเนา
ถ้าหากว่าทุกคนไม่ทำตัวผิดวิสัยมนุษย์ต่อมนุษย์ด้วยกันบ้างแล้ว
ความหวังของดิฉันคงจะเป็นจริงขึ้นมาได้บ้าง
ก็เพราะความหวังเช่นนี้แหละที่เป็นน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจดิฉันมีชีวิตอยู่มาได้ตราบเท่าทุกวันนี้.
จบบริบูรณ์
บทที่ 26 กว่าจะได้เสรีภาพ
ทหารหน่วยเอสเอสเดินประกบพวกเราทั้งสองข้างไปตามถนนเอาส์ชวิตซ์
คืนนั้นอากาศหนาวเย็นมีหิมะตกมาก
ความหนาวเหน็บมีมากจนชุดขาดๆของพวกเราไม่สามารถให้ความอบอุ่นได้
เสียงปืนใหญ่ที่ดังแว่วอยู่ในระไกลก็ค่อยๆได้ยินดังชัดเจนยิ่งขึ้น
เสียงของมันดังกึกก้องใกล้เข้ามาและมีระยะถี่ขึ้นๆ
ลำแสงของขีปนาวุธที่ยิงเข้าหากันมองเห็นเป็นประกายวูบวาบจับท้องฟ้าเป็นระยะๆ
นั่นแสดงว่ากองทัพรัสเซียกำลังทำการโจมตีกองทหารเยอรมันอย่างหนัก
เสียงประสานกันของปืนใหญ่ที่ดังอยู่ในระยะไกล เป็นราวกับเสียงดนตรีขับกล่อมการอำลาค่ายนรกของพวกเราได้เป็นอย่างดี
พวกเยอรมันบังคับให้พวกเราเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้นอีก
ทหารหน่วยเอสเอสที่คุมมาต่างก็แสดงอาการตื่นตระหนกไปตามๆกัน
ได้ใช้แส้เฆี่ยนตีพวกเราให้วิ่ง
จนกระทั่งพวกเราเหนื่อยหอบและเหงื่อเปียกชุ่มเสื้อผ้าจนลืมความหนาวเหน็บไปได้ขั่วขณะ
ส่วนพวกสุนัขก็ดูเหมือนจะรู้ว่านายของพวกมันกำลังตกอยู่ในอันตราย
ได้แสดงความดุร้ายมากขึ้นเป็นทวีคูณ
มันต่างแยกเขี้ยวส่งเสียงคู่คำรามพร้อมที่จะเล่นงานนักโทษคนใดก็ตามที่แตกแถวออกไป
ค่ายเอาส์ชวิตซ์ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีแสงไฟฟ้าส่องสว่างไสวบัดนี้ได้ตกอยู่ในความมืด
เมื่อ 2-3
ชั่วโมงก่อนหน้านี้พวกเราเคยตั้งตาคอยการเดินทางครั้งนี้ด้วยความกระวนกระวายและขณะนี้ก็ได้เดินทางมาแล้วทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่าจะถูกนำไปที่ไหนแบะทั้งไม่รู้ด้วยว่าพวกนาซีจะเล่นเกมอะไรอีกก่อนที่พวกเราจะได้รับอิสรภาพ
ถึงแม้ว่าจะมีประสบการณ์อยู่กับพวกเยอรมันมาหลายเดือนแต่พวกเราก็เดาไม่ถูกว่าความโหดร้ายอะไรบ้างกำลังรอคอยพวกเราอยู่ข้างหน้า
นักโทษหญิง 6,000
คนเดินเป็นทิวแถวไปตามถนนในย่านชนบทที่กำลังปกคลุมไปด้วยหิมะ
เกือบทุกอย่างก้าวของพวกเราได้พบซากศพที่หิมะปกคลุมอยู่ไม่มิดศีรษะยังโผล่ขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน
นั่นแสดงว่าได้มีทักโทษกลุ่มอื่นอพยพไปก่อนหน้านี้แล้ว
พอเห็นศพเหล่านี้พวกเราก็พอจะอนุมานได้ว่าเป็นศพของพวกนักโทษที่ถูกสังหารเพราะเคยเห็นพวกทหารหน่วยเอสเอสสังหารนักโทษโดยปราศจากเหตุผลนี้มานักต่อนักแล้ว
ในคืนแรกของการเดินทางดิฉันสังเกตเห็นว่ามีเพื่อนนักโทษจำนวนไม่น้อยเมื่อยล้าหมดแรงเดินไม่ไหวออกจากแถวไปอยู่ตามมุมถนน
แล้วขอขึ้นรถม้าคันหนึ่งที่ทหารหน่วยเอสเอสขับตามหลังขบวนเดินเท้าของพวกเรามา
ดิฉันคิดในใจว่านักโทษเหล่านั้นช่างฉลาดเฉียบแหลมอะไรอย่างนั้น
จึงอยากคิดจะทำเช่นนั้นบ้างเพื่อจะได้ช่วยประหยัดแรงเอาไว้
ได้คอยจับตามองดูรถม้าคันนั้นที่ขับรับนักโทษตามรายทางมาอย่างช้าๆ
แต่พอมันเข้ามาใกล้ก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่านักโทษที่นั่งอยู่บนรถเหล่านั้นไม่ใช่พวกเดิมที่นั่งอยู่ในครั้งแรกเสียแล้ว
คงจะมีอะไรเกิดขึ้นกับนักโทษอีกแล้วละสิดิฉันคิด
โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับเพื่อนแพทย์คนหนึ่งได้ช่วยให้ดิฉันเข้าใจเรื่องนี้ได้ดีขึ้น
เพื่อนแพทย์คนนี้ชื่อแพทย์หญิงโรสซาเป็นหญิงวัยสูงอายุจากประเทศเชโกสโลวะเกีย
เดินมาได้ไม่นานก็หมดแรงไปตามวัย
เมื่อดิฉันเห็นเช่นนั้นก็ได้เข้าไปช่วยเหลือแต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
เธอยังเดินรั้งท้ายขบวนอยู่ตลอดเวลาและเธอขอร้องให้ดิฉันปล่อยให้เธอเดินอยู่ตามลำพัง
แต่ด้วยความสงสารดิฉันจึงบอกไปว่าจะช่วยประคองเธอไปจนถึงที่สุดแต่เธอก็ยังไม่ยอมอยู่ดี
เมื่อถูกขอร้องมากๆดิฉันเลยทิ้งเธอแล้วเดินจากมาทั้งๆที่วิตกเหมือนกันว่าการปล่อยเธอไว้เช่นนั้นไม่ใช่เรื่องดีนัก
แต่ก็ไม่ได้คิดเยว่าเธอจะต้องถึงกับเสียชีวิต
และเมื่อดิฉันหันหลังกลับไม่มองอีกครั้งหนึ่งก็เห็นทหารหน่วยเอสเอส
5 คนเดินตามหลังขบวนมาอย่างกระชั้นชิด
ทหารหน่วยเอสเอสคนหนึ่งได้ยกมือขวายื่นไปทางแพทย์หญิงโรสซาซึ่งกำลังยืนอยู่กลางถนน
แพทย์หญิงโรสซาเห็นท่าทางของทหารคนนั้นก็รู้อย่างแน่ขัดว่าอะไรจะเกิดขึ้น
มองเห็นเธอยกมือขึ้นป้องหน้าด้วยความกลัวอย่างสุดขีด มีเสียงปืนระเบิดขึ้นหนึ่งนัด
พร้อมกับร่างของแพทย์หญิงโรสซาล้มลงขาดใจตายอยู่กลางถนนนั่นเอง
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ทำให้ดิฉันพอจะเข้าใจถึงชะตากรรมของผ็ที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเดินตามหลังและของผู้ที่ถูกนำตัวขึ้นรถม้าคันนั้นมาได้เป็นอย่างดี
กับทั้งยังพอเข้าใจด้วยว่าทำไมถึงมีซากศพกว่า 119
ศพนอนตายเกลื่อนกลาดอยู่ตามสองข้างถนนที่เดินทางผ่านมา
ทั้งนี้ยังไม่นับซากศพอีกจำนวนหนึ่งที่อยู่ในคูสองข้างถนนทั้งๆที่เพิ่งจะออกเดินทางกันมาชั่วระยะเวลาเพียง
20 นาทีเท่านั้นเอง
พวกทหารหน่วยเอสเอสที่คุมนักโทษเดินทางมาในครั้งนี้ล้วนแล้วแต่ติดปืนกลและระเบิดมือมาแทบทั้งสิ้น
พวกเขาได้รับคำสั่งมาว่าในกรณีที่กองทหารรัสเซียตามทันก็ให้สังหารนักโทษทั้ง 6,000
คนนี้ทันทีเพื่อไม่ให้ทหารรัสเซียปลดปล่อยใครได้แม้แต่คนเดียว
ดิฉันจึงมีความแน่ใจว่าพวกเรากำลังเดินไปสู่ความตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ดังนั้นความคิดที่จะหลบหนีก็ได้ผุดขึ้นมาในใจอีกครั้งหนึ่ง
สมองของดิฉันต้องทำงานหนักและในที่สุดก็ได้ตัดสินใจว่าจะไม่หลบหนีไปคนเดียว
ดิฉันได้เดินไปหาแม็กดาและรุซซาเล่าให้เธอทั้งสองฟังถึงสิ่งที่ได้เห็นมา รวมทั้งแผนการที่จะหลบหนีไปในครั้งนี้
ซึ่งเพื่อนทั้งสองคนก็ได้ตกลงใจที่จะหลบหนีไปด้วยกันแต่ต้องรอคอยโอกาสเหมาะเสียก่อน
.ในขณะที่ขบวนของนักโทษเดินผ่านหมู่บ้านต่างๆของชาวโปแลนด์ไปนั้น
เมื่อได้แลเห็นการดำเนินชีวิตเป็นปกติสุขของชาวบ้านก็ทำให้เกิดความรู้สึกหลายๆอย่างที่ยากต่อการบรรยาย
เช่น
เมื่อเห็นบ้านที่มีหน้าต่างติดม่านเอาไว้ก็นึกถึงความสุขและอิสรภาพของผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้น
ครั้นมองเห็นบ้านที่มีป้ายชื่อและเวลาทำงานของแพทย์ที่ติดอยู่หน้าบ้านก็ยิ่งทำให้หวนรำลึกถึงความหลังครั้งที่เคยมีความสุขและความอบอุ่นอยู่กับครอบครัวมากยิ่งขึ้น
ยิ่งเดินไปนานเท่าใดจำนวนนักโทษในขบวนของพวกเราก็ยิ่งลดลงๆ
พวกเราทั้งสามคนพยายามที่จะเดินให้อยู่ในแถวข้างหน้าๆเผื่อว่าเมื่อหยุดพักเหนื่อยสักครู่ก็จะไม่ทำให้ต้องถ่อยร่นไปอยู่ข้างหลังมากนัก
ในการเดินทางในคืนแรกนั้นพวกเราสามคนสามารถรักษาระดับการเดินไว้อย่างคงที่
ทั้งดิฉันและเพื่อนอีก 2 คนพยายามเตือนสติซึ่งกันและกัน
เพื่อให้เดินอยู่ในแถวหน้าของขบวนต่อไป
แต่เนื่องจากขณะนั้นเป็นเวลากลางคืนความมืดทำให้ไม่สามารถเดินเป็นแถวอย่างมีระเบียบได้
แถวหน้าประมาณ 5 แถวเดินทิ้งช่วงห่างออกไปข้างหน้า กลุ่มนั้นยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ
เพื่อนๆจึงตกมาอยู่เป็นแถวแรกของขบวนใหญ่ตอนกลาง
ในขณะที่เดินไปกับขบวนใหญ่นั้นมีนักโทษชาวโปแลนด์ซึ่งเดินอยู่ใกล้ๆเกิดการทะเลาะวิวาทกันขึ้น
บรรยากาศเช่นนี้ทำให้เกิดความรำคาญ จึงได้สะกิดชวนกันหนีให้พ้นจากกลุ่มที่ทะเลาะกันโดยพยายามจะวิ่งตามกลุ่มแรกที่ทิ้งห่างพวกเราไปข้างหน้า
แต่พวกนั้นเดินไปรวดเร็วมากจนตามไม่ทัน
พวกเราทั้งสามคนตกอยู่ในฐานะลำบากเสียแล้ว
จะกลับไปเข้ากลุ่มหลังก็ไม่ได้เพราะตอนที่พวกเราวิ่งออกมานั้นทหารหน่วยเอสเอสเห็นเงาของพวกเราวิ่งฝ่าความมืดไปโดยไม่รู้ว่าเป็นใครได้ตะโกนขึ้นมาว่า
“สตีเฮ็น บลีเบน(หยุดนะ)”
ซึ่งเมื่อใดที่พวกเขาตะโกนเช่นนี้ก็จะมีเสียงปืนดังติดตามมาเสมอ
ดิฉันตัดสินใจวิ่งออกจากขบวนโดยมีแม็กดากับรุซซาวิ่งตามมาติดๆ
พวกเราวิ่งไปหมอบอยู่หลังกองหิมะเพื่อให้รอดพ้นจากวิถีกระสุนของยามรักษาการณ์ของเยอรมัน
โชคยังเป็นของพวกเราเพราะท้องฟ้ายังไม่สางทำให้พวกยามรักษาการณ์เยอรมันมองเห็นเป้าไม่ถนัดนัก
พวกเรารีบคลานมาจนถึงสันถนนซึ่งสามารถใช้เป็นที่กำบังลูกปืนของยามรักษาการณ์เยอรมันได้เป็นอย่างดี
จากจุดนี้พวกเราสอดส่ายสายตาหาทางหนีต่อไปและก็บังเอิญเห็นหอคอยโบสถ์อยู่ไม่ไกลนักจึงออกวิ่งมุ่งหน้าตรงไปทางนั้น
พวกเราวิ่งไปจนถึงหมู่บ้านของชาวโปแลนด์เล็กๆแห่งหนึ่งแล้วก็วิ่งตรงไปที่โบสถ์แห่งนั้น
ซึ่งขณะนั้นมีชายคนหนึ่งยืนเฝ้าประตูโบสถ์อยู่
พอเห็นสภาพของพวกเราก็คงจะเดาออกว่ากำลังหลบหนีมา
เขาได้ชี้มือไปทางบ้านหลังหนึ่งท่าทางแสดงให้รู้ว่าต้องการให้พวกเราเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในบ้านหลังนั้น
ในขณะเดียวกันนั้นก็มีทหารหน่วยลาดตระเวนเอสเอสกลุ่มหนึ่งเดินตรงมาทางสนามหญ้าหน้าโบสถ์
เมื่อเห็นทหารเยอรมันเหล่านั้นพวกเราก็รีบวิ่งหลบเข้าไปมนบ้านหลังนั้นทันที
บริเวณบ้านหลังนั้นกว้างขวางใหญ่โตมาก
ใกล้ๆบ้านหลังนั้นมียุ้งเล็กๆอยู่หลังหนึ่งประตูยุ้งปิดสนิทแต่มีรอยแตกอยู่ที่ฝาผนังด้านหนึ่ง
มันราวกับว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงประทานสิ่งนี้ให้พวกเราทั้ง
3 คนรีบคลานเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในยุ้งแล้วปีนไปอยู่บนชั้นเพดานซึ่งอยู่สูงเกือบติดหลังคาแล้วเอาฟางมาคลุมตัวเอาไว้
ทหารลาดตระเวนหน่วยเอสเอสซึ่งคงเห็นเงาของพวกเราวิ่งมาจึงวิ่งติดตามมาที่สนามหญ้าหน้าโบสถ์แต่โชคดีเหลือเกินที่พวกทหารเหล่านี้ไม่ได้ติดตามพวกเราแต่ได้มาตามหาเด็กชายกลุ่มหนึ่ง
แม่บ้านของบ้านหลังนั้นได้บอกกับทหารหน่วยลาดตระเวนว่าไม่มีกลุ่มเด็กชายแปลกหน้าเข้ามาในบริเวณนี้เลย
ที่พวกยามเห็นเงาคะคุ่มวิ่งมานั้นอาจจะเป็นเงาของลูกทั้ง 3 คนของเธอก็ได้
แต่พวกยามหน่วยลาดตระเวนไม่ยอมเชื่อเหตุผลที่ชี้แจงจึงได้เข้าตรวจค้นหาจนทั่วบ้าน
เสร็จแล้ก็เดินมุ่งหน้ามาทางยุ้งที่พวกเรา 3 คนหลบซ่อนตัวอยู่
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลใดพวกเขาได้ตัดสินใจหยุดค้นเสียเฉยๆบอกว่าจะมาค้นอีกครั้งในตอนเย็น
พวกเราทั้ง 3
คนดีใจกับความโชคดีที่พวกทหารเยอรมันไม่ยอมมาค้นที่ยุ้งและได้เดินจากไปได้ไม่นานนัก
เจ้าของบ้านก็ได้ให้สาวใช้ขึ้นมาค้นหาจนพบพวกเราอยู่บนเพดานยุ้ง จากนั้นชายเจ้าของบ้านก็ปีนติดตามขึ้นมาบอกกับกับเราว่าจะไม่แจ้งเรื่องนี้ให้ทหารเยอรมันได้รู้
แต่ได้ร้องให้พวกเราหลบหนีไปจากที่นี่
หลังจากที่ได้เจรจากันอยู่นานเขาก็ยินยอมผ่อนปรนให้โยให้เราพักอยู่ในยุ้งนั้นอีก
1 วันกบ 1 คืน และในช่วงเวลานั้นภรรยาของเจ้าของบ้านก็เมตตานำอาหารมาให้เรารับประทานด้วย
มันเป็นเวลานานแล้วที่พวกเราไม่เคยรับประทานอาหารดีๆเช่นนี้
พอเห็นก็เลยนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร
หลังจากที่คิดอยู่นานจึงจำได้ว่ามันคือขนมปังทาน้ำมันหมูหรือน้ำมันอะไรสักอย่าง
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงขนมปังทาน้ำมันและรับประทานอยู่ในยุ้ง
แต่พวกเราก็รับประทานมันอยู่ในท่ามกลางของเสรีชน
มันจึงอร่อยราวกับอาหารทิพย์ในสรวงสวรรค์
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้นเจ้าของบ้านได้มาปลุกให้เราติดตามไปยังที่ซ่อนแห่งใหม่
ได้วางมาตรการรักษาความปลอดภัยโยเตือนว่าหากไปพบทหารลาดตระเวนเยอรมันเข้าก็ให้ทั้งสองฝ่ายทำทีว่าไม่รู้จักกัน
มาตรการรักษาความปลอดภัยขอ’งชายเจ้าของบ้านมีผลจริงๆเพราะในขณะที่พวกเรากำลังเดินไปยังที่หลบซ่อนแห่งใหม่อยู่นั้นก็ได้พบกับหน่วยลาดคระเวนเยอรมันเข้าพอดี
แต่ก่อนที่อะไรจะเกอดขึ้นก็มีขีปนาวุธลูกหนึ่งที่ยิงมาจากกองทัพรัสเซียซึ่งบุกเข้ามาใกล้เกิดระเบิดกลางอากาศ
สะเก็ดระเบิดตกลงมาใกล้บริเวณนั้น
พวกทหารหน่วยลาดตระเวนรีบพากันวิ่งหาหาที่หลบซ่อนกันจ้าละหวั่น
ในช่วงนี้เองพวกเราก็หนีไปยังบ้านที่จะเป็นที่หลบภัยแห่งใหม่
เจ้าของบ้านหลังใหม่ให้พวกเราเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในคอกม้า
แต่ในวันรุ่งขึ้นก็ได้ให้พวกเราไปอยู่ในห้องที่ดีที่สุดห้องหนึ่งซึ่งใช้เป็นห้องนอน
ในห้องนี้สองตายายเจ้าของบ้าน บุตรสาวและแม็กดานอนรวมอยู่รวมกันอยู่บนเตียง
ส่วนดิฉันกับรุซซานอนอยู่ด้วยกันที่พื้นห้อง
ย่านนี้เป็นที่ซึ่งมีทหารเยอรมันเข้ามาพักอยู่เสมอเพราะพื้นที่รอบๆนั้นยังเป็นพื้นที่ยึดครองจึงไม่ปลอดภัยที่จะออกไปเดินนอกบ้าน
เช้าวันหนึ่งดิฉันเกิดชะล่าใจคิดว่าคงไม่มีทหารเยอรมันมาเห็นจึงได้เข้าครัวทำขนมคุกกี้แบบทรานซิลวาเนียให้ครอบครัวที่มาพักอยู่ด้วยลองรับปะทาน
ขณะที่กำลังทำขนมกันอยู่นั้นก็มีทหารเยอรมันคนหนึ่งโผล่พรวดเข้ามาในครัวอย่างไม่คาดฝัน
เขาจ้องมองมาที่ดิฉันด้วยความประหลาดใจแล้วตั้งคำถามว่าเป็นใคร
ทำไมเมื่อก่อนหน้านี้เขาจึงไม่เคนเห็นหน้า
ดิฉันโกหกเขาว่าเป็นญาติของเจ้าของบ้านหลังนี้
ขณะนี้คุณแม่กำลังป่วยหนักนอนซมอยู่ที่บ้านอีกหลังหนึ่ง ไม่ค่อยได้ออกไปไหนมาไหนเพราะจะต้องดูแลรักษาคุณแม่
เขาจะเชื่อดิฉันหรือไม่ก็ไม่ทราบทว่าตั้งแต่วันนั้นมาเขาก็มาตีสนิทกับดิฉันและสมาชิกในครอบครัวของเจ้าของบ้าน
บางครั้งเขามีช็อกโกแลตติดมือมาฝากดิฉันด้วย
ครั้งหนึ่งเขามากับเพื่อนอีกหลายคนและคะยั้นคะยอให้ดิฉันร่วมเล่นไพ่ด้วย
เพื่อนๆของดิฉันซึ่งอยู่อีกห้องหนึ่งพากันแอบมองด้วยความชื่นชมยินดีที่ดิฉันทำตัวเป็นมิตรกับทหารเยอรมันทั้งๆที่เกลียดแสนเกลียดเพราะพวกเขาเป็นพวกเดียวกับฆาตกรที่สังหารบุคคลที่ดิฉันรัก
เสียงปืนใหญ่ที่กำลังรบกันดังมากยิ่งขึ้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าขณะนี้ทหารรัสเซียกำลังบุกใกล้เข้ามาทุกขณะ พวกทหารเยอรมันซึ่งตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในบริเวณนี้จึงได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมเพื่อถอนตัวหนี
ดิฉันได้เห็นพวกเขาวางกับระเบิดไว้ตามจุดต่างๆและวันหนึ่งมันก็ได้ระเบิดก่อนเวลาทำให้ทหารเยอรมันเสียชีวิตไป
2 นาย
จากการสนทนากับทหารเยอรมันเหล่านี้ทำให้ดิฉันรู้ความเห็นของเขาว่า
สถานการณ์การรบฝ่ายเยอรมันกำลังเสียเปรียบเป็นอย่างมาก
แต่กระนั้นก็ตามพวกเขาก็ยังไม่ยอมรับว่าจะพ่ายแพ้สงคราม
พวกเขาจะกล่าวอยู่เสมอว่าประเทศเยอรมันยังมีความเข้มแข็ง
จะไม่ยอมแพ้สงครามเป็นอันขาด
ดิฉันไม่ประหลาดใจเลยที่ได้ยินเช่นนี้
เพราะว่าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่ลงข่าวเกี่ยวกับการสู้รบ
ก็ล้วนแต่ลงข่าวในทางทีจะเสริมสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ทหารเยอรมันทั้งสิ้น
ในช่วงสัปดาห์แรกที่ดิฉันได้อ่านหนังสือพิมพ์
ข่าวในหนังสือพิมพ์ยังคงรายงานว่าประเทศเยอรมันยังเป็นฝ่ายรุก
แต่ในสัปดาห์ต่อมาหนังสือพิมพ์ประโคมข่าว่าประเทศเยอรมันกำลังตกอยู่ในอันตราย
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม”วีรบุรุษชาวเยอรมันจะสามารถปกป้องประเทศเยอรมันไว้ได้”
และอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมาหนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวว่า”ขอให้พระผู้เป็นเจ้าจงปกปักรักษาประเทศเยอรมันไว้ด้วยเถิด
เพราะประเทศเยอรมันทำสงครามครั้งนี้ในนามของพระผู้เป็นเจ้า”
มันคงจะเป็นบุญของดิฉันที่รอดชีวิตออกมาจากค่ายกักกันและจากการอพยพอันแสนหฤโหดมาได้
ซ้ำยังได้มีโอกาสมาเห็นกองทหารเยอรมันที่ถอยร่นเนื่องจากประสบกับการพ่ายแพ้อย่างยับเยิน
ดิฉันไม่เคยลืมคืนวันหนึ่งที่ทหารแซปเปอร์สวมหมวกสีขาวอยู่ในสภาพอ่อนระโหยโรยแรงเข้ามาพักในบ้านหลังน้อยๆของชาวโปแลนด์หลังนี้
พวกเขามานั่งอยู่ในห้องนอน ห้องครัว
และทุกหนทุกแห่งเต็มไปหมด กินละดื่มทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ขวางหน้า
โยไม่ได้เลือกว่ามันจะเป็นอะไร
ขณะหิมะที่จับอยู่บนหมวกสีขาวของแต่ละคนเริ่มละลายหยดลงมาที่พื้น
บางทีพวกเขาอาจจะไมเคยได้รับการเลี้ยงดูและการบริการที่ดีอย่างนี้มาเลยตั้งแต่ฮิตเลอร์ประกาศตั้ง”มหาอาณาจักรที่สาม(Third Reich)”แห่งประเทศเยอรมันก็ได้
ดิฉันเห็นแล้วก็ชื่นชมในสิ่งที่ตนไม่เคยเห็นมาก่อน
มันเป็นภาพของ”พวกเดนมนุษย์”นั่งกอดปืนพิงฝาบ้านด้วยความอ่อนเพลีย
บางคนก็นอนแผ่หลับสนิทที่พื้น
ความสุขที่ได้เห็นภาพเหล่านี้เป็นเพียงความสุขชั่วระยะสั้นๆเพราะต่อมาเมื่อทหารเยอรมันถอยทัพพวกเขาก็ได้กวาดต้อนเอาผู้หญิงเป็นจำนวนมากไปจากหมู่บ้านนี้และดิฉันเองก็เป็นหนึ่งในจำนวนหญิงที่ถูกจับไปในครั้งนี้ด้วย
ดิฉันพร้อมกับหญิงคนอื่นๆถูกมัดมือทั้งสองข้างเหมือนเป็นทาส
โยงไปผูกไว้กับรถม้า ถูกบังคับให้เดินตามรถม้าไปอย่างนั้นเป็นเวลานานถึง 3 วัน 3
คืน
แต่ดิฉันก็พอมีกำลังใจอยู่บ้างตรงที่ได้เห็นภาพต่างๆในขบวนการเดินทางครั้งนี้
เห็นตามถนนคราคร่ำไปด้วยเหล่าทหารเยอรมันกำลังล่าถอย
รวมทั้งพวกที่ให้ความร่วมมือกับพวกทหารเยอรมันทำการปล้นสะดมผู้อื่นมาเป็นเวลาหลายปีก็ได้ร่วมเดินทางมาในครั้งนี้ด้วย
ทหารเยอรมันที่ล่าลอยเหล่านี้อยู่ในสภาพตื่นตระหนกและเสียขวัญอย่างสิ้นเชิง
จะเห็นได้จากการที่ขนอาวุธยุทโธปกรณ์และปืนกลใส่รถบรรทุกขับมาในขบวนด้วย
พวกม้าศึกต่างก็วิ่งกระทืบเท้าด้วยความตื่นตระหนก
ได้ลัดคนที่นั่งอยู่บนหลังตกลงมาที่พื้นถนนบ่อยครั้ง
พวกชาวบ้านที่ถูกจับมาทั้งหมดได้ถูกเกณฑ์ให้เดินนำทางรถบรรทุกติดตรากาชาดที่พวกเรากลัวนักกลัวหนาในค่ายเอาส์ชวิตซ์
เดี๋ยวนี้ถูกใช้บรรทุกทหารเยอรมันที่ได้รับบาดเจ็บไปยังที่ปลอดภัย
ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในภาวะสับสนอลหม่าน
การพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงของพวกเยอรมันจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เพียงแต่ยังไม่รู้ว่ามันจะเป็นวันใดเท่านั้นเอง
เมื่อดิฉันหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้ไม่กี่วันก็ทำให้แทบคลั่ง
ป่านนี้หมู่บ้านโปแลนด์เล็กๆที่เพิ่งจากมานั้นคงจะได้รับการปลดปล่อยไปแล้ว
ซึ่งหากดิฉันไม่ถูกจับตัวมาเสียก่อนก็คงจะได้รับอิสรภาพไปแล้วเช่นกัน
ความรู้สึกที่แทบคลั่งนี้เองทำให้ดิฉันเริ่มใช้ฟันแทะเชือกที่มัดข้อมือเพื่อหาหนทางไปสู่อิสรภาพอีกครั้ง
มีหญิงเป็นจำนวนมากทั้งที่แต่งงานแล้วและยังไม่ได้แต่งงานถูกผู้ข้อมือโยงมากับรถม้าเช่นเดียวกับดิฉัน
หลายคนทนความหนาว
ความหิวและความทารุณโหดร้ายในการเดินทางครั้งนี้ไม่ไหวได้เสียชีวิตในระหว่างทาง
แต่ศพเหล่านั้นก็ยังคงผูกติดกับรถม้าอยู่เช่นเดิมและรถม้าก็ลากศพเหล่านั้นไปตามท้องถนน
พวกเยอรมันไม่ได้ให้ความสนใจใดๆเลยเพราะคิดอยู่เพียงอย่างเดียวว่า
ทำอย่างไรถึงจะหนีไปให้พ้นจากดินแดนที่กำลังถูกคุกคามจากกองทัพรัสเซีย
คืนวันที่ 3
ของการเดินทางพวกเยอรมันพาพวกเราไปแวะพักนอนในคอกม้า
พวกเขาเองก็มานอนอยู่ที่พื้นคอกม้ากับพวกเราด้วย
แต่ก่อนที่จะนอนได้ตั้งวงดื่มสุรารวมทั้งคนที่จับดิฉันมาจากหมู่บ้านด้วย เขาได้สุรามา
2 ขวดเลยทั้งวงดื่มกับเพื่อนๆ
ในกลางดึกของคืนนี้เองดิฉันก็ประสบผลสำเร็จในการใช้ฟันแทะเชือก
หลังจากพยายามแทะมันมาถึง 3 วันเชือกก็หลุดจากข้อมือทั้งสองข้างของดิฉันแล้ว
แต่เหงือกเจ็บปวดและมีเลือดไหลออกมามาก
ยิ่งไปกว่านั้นผลของการแทะเชือกก็ทำให้ฟันแถวหน้าหักเสียหายอย่างยับเยิน
ทุกคนกำลังหลับสนิทด้วยความเหนื่อยอ่อน
เสียงกรนดังสนั่นประสานกันจนแทบไม่ได้ยินเสียงอื่นใด
ดิฉันพยายามจะหลบหนีจากกลุ่มของผู้นอนหลับใหลเหล่านี้
แต่ในขณะที่ย่องออกมานั้นคนขับรถม้าคันที่โมงดิฉันมาเกิดรู้สึกตัวเอาข้อศอกยันพื้นพยุงตัวจะลุกขึ้น
แม้ว่าเขาจะเมาแต่ก็คงมีสติที่จะจับปืนขึ้นมายิงทันทีที่รู้ว่าดิฉันกำลังจะหลบหนี
ดิฉันจึงตัดสินใจทันทีว่าไม่เขาก็ดิฉันต้องตายกันไปข้างหนึ่ง
จึงรีบคว้าขวดสุราที่วางอยู่ใกล้ๆขึ้นมากระหน่ำตีที่ศีรษะของคนขับรถม้าที่กำลังผงกขึ้นมานั้นอย่างสุดแรงเกิด
ชวดแตกกระจายและเยอรมันคนนั้นหน้าฟุบลงกับพื้น
เมื่อดิฉันวิ่งไปที่ประตูคอกม้า ได้หันกลับมามองแวบหนึ่ง เห็นเขาแน่นิ่งไม่ไหวติง
ดิฉันเป็นโรคเกลียดเยอรมันจนขึ้นสมอง
แม้แต่จะคิดฆ่าพวกเขาสักคนก็ยังรู้สึกขยะแขยงไปเสียแล้ว
บรรยากาศบนท้องถนนยังมี่อะไรเปลี่ยนแปลง หากแต่มีพวกทหารเยอรมันที่กำลังถอยร่นมามีจำนวนเพิ่มมากยิ่งขึ้น
ดิฉันไม่กล้าที่จะเสี่ยงหนีไปทางถนนทางด้านหน้า
เพราะกลัวว่าจะต้องพบกับทหารเยอรมันพวกเดิม จึงพยายามจะหลบหนีไปทางถนนด้านหลัง
แต่ก็ต้องมาเจอสภาพอย่างเดียวกันคือถนนด้านหลังก็คับคั่งไปด้วยขบวนอพยพของพวกทหารเยอรมันที่กำลังถอยทัพกลับมา
เมื่อไม่มีทางเลือกอย่างอื่นดิฉันจึงได้ตัดสินใจเดินลัดเลาะหลบซ่อนตัวไปตามบ้านเรือนและพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้ทหารเยอรมันพบเห็น
เมื่อหลบซ่อนตัวลัดเลาะไปตามบ้านเรือนต่างๆนานหลายชั่วโมง
ในที่สุดก็มองเห็นหญิงชาวนาคนหนึ่งจึงรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหาพูดข้อร้องให้เธอช่วยเหลือ
แต่มีทหารเยอรมันยังอยู่ในบ้านเธอจึงไม่สามารถให้ดิฉันเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในบ้านของเธอได้
แต่เธอก็มีเมตตาพาดิฉันไปที่ฝั่งแม่น้ำพร้อมกับชี้ไปที่บ้านที่กำลังจุดไฟสว่างไสวอยู่อีกฟากหนึ่งของฝั่งแม่น้ำ
กล่าวว่า ถ้าดิฉันสามารถว่ายน้ำไปถึงฝั่งโน้นได้ก็จะปลอดภัยเพราะว่าทหารเยอรมันได้ถอนตัวออกไปจากหมู่บ้านทางฝั่งโน้นไปแล้ว
ตอนนั้นเป็นช่วงเดือนกุมภาพันธ์
แม่น้ำเต็มไปด้วยแพน้ำแข็งขนาดใหญ่มากมาย
ซึ่งก็เป็นที่แน่นอนว่าน้ำในแม่น้ำจะต้องหนาวเย็นมาก
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ก็เริ่มสว่างแล้วการว่ายข้ามแม่น้ำจึงอาจเป็นอันตรายได้ถ้ามีคนมาพบเห็นเข้า
แต่ดิฉันหวนนึกถึงสมัยที่อยู่ในค่ายนาซีแล้วยังรอดพ้นจากห้องรมก๊าซพิษได้ทั้งๆที่โดยทั่วไปแล้วมันไม่มีโอกาสที่จะเป็นไปได้
แล้วทำไมตอนนี้จะรอดชีวิตจากการข้ามแม่น้ำนี้ไม่ได้
เมื่อคิดเช่นนี้ก็เลยตัดสินใจเดินไปที่ฝั่งแม่น้ำขณะที่เดินจากหญิงชาวนาที่แสนดีคนนั้นออกมา
ดิฉันเห็นเธอทำท่าสวดมนต์วิงวอนพระผู้เป็นเจ้าแล้วเอามือทั้งสองข้างปิดตา
ดิฉันได้พุงตัวลงในน้ำอันหนาวเย็นจนกลายเป็นน้ำแข็งโยไม่ได้ถอดเสื้อผ้าออก
ท้องฟ้าเกือบจะสว่างอบยู่แล้วเมื่อดิฉันว่ายไปถึงฝั่งตรงข้าม
หมู่บ้านฝั่งนี้ยังไม่ได้รับการปลดปล่อยเพียงแต่ทหารเยอรมันเพิ่งจะถอนตัวออกไปเท่านั้น
บ้านที่จุดไฟสว่างไสวอยู่นั้นไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่เลย
ต่อมาในภายหลังก็ได้รู้มาว่าผู้ที่อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้หลบไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ
เนื่องจากหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่กลางป่า
เป็นจุดที่กำลังถูกโจมตีอย่างหนัก
ทั้งฝ่ายเยอรมันและรัสเซียต่างระดมยิงปืนใหญ่มาตกที่จุดนี้
เมื่อดิฉันว่ายน้ำไปถึงปรากฏว่ามีการต่อสู้กันอย่างรุนแรงมาก
ถึงขั้นแตกหักเลยทีเดียว ในตอนกลางคืนรัสเซียได้นำลูกระเบิดที่เรียกว่าเทียนสะตาลิน(Stalin Candles)มาทิ้งซึ่งทำให้อาณาบริเวณนี้สว่างไสวอยู่เป็นเวลานาน
ดิฉันได้เห็นภาพที่ยากต่อการลืมเลือนได้
มันอาจเป็นเพราะต้องการจะเห็นความพินาศของพวกเยอรมันหรือเพราะตื่นตกใจมากเกินไปอย่างใดอย่างหนึ่ง
ทำให้ดิฉันไม่วิ่งหนีจากฉากการปะทะกันระหว่างทหารรัสเซียกับทหารเยอรมันในครั้งนี้
เมื่อทหารรัสเซียนำระเบิดสะตาลินแคนเดิ้ลมาทิ้งนั้น
บ้านเรือนในหมู่บ้านก็หายไปในชั่วพริบตา กระสุนปืนที่ยิงมาจากทั้ง 2
ฝ่ายแหวกอากาศเสียงหวีดหวิวอย่างน่ากลัว หลังจากปะทะกันอย่างหนักแล้วก็สามารถเห็นข้อแตกต่างระหว่างเสียงของม้าศึกที่กำลังตื่นตกใจ เสียงรถยนต์วิ่ง
และเสียงร้องตะโกนที่มาจากทั้งสองฝ่าย
ทางด้านซ้ายมือซึ่งเป็นด้านของการรัสเซียนั้น
เสียงดังกล่าวดังชัดเจนยิ่งขึ้น
แต่ในขณะเดียวกันเมื่อสังเกตเสียงดังกล่าวทางด้านขวามือซึ่งเป็นด้านของเยอรมัน เสียงดังจะค่อยๆลดลง ซึ่งแดงว่าฝ่ายเยอรมันเป็นฝ่ายพ่ายแพ้จากการปะทะกันในครั้งนี้และกำลังล่าถอยไปอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากปะทะกันระหว่างกองทหารของทั้งสองฝ่ายผ่านไป
เจ้าของบ้านหลังที่จุดไฟสว่างไสวในตอนที่ดิฉันข้ามน้ำมา ก็ออกมาจากที่หลบภัย
เห็นดิฉันว่ายน้ำมาจึงได้พยายามตามหาและก็แน่ใจว่าดิฉันคงจะเสียชีวิตไปแล้วในระหว่างการยิงประทะกัน
และเมื่อพวกชาวนาออกจากที่หลบซ่อนในถ้ำมาพบว่าดิฉันยังมีชีวิตอยู่ก็ต่างพากันคิดว่าดิฉันเป็นพวกแม่มดหมอผีพยายามที่จะไม่สบตาด้วย
ดิฉันเก็บความดีใจไว้เงียบๆโดยไม่ได้อธิบายให้พวกเขาฟังถึงความยินดีที่มีอย่างเหลือล้นและลึกซึ้งที่ได้เห็นกองทหารรัสเซียมีชัยชนะต่อกองทหารเยอรมัน
พวกชาวนาในหมู่บ้านมีความเห็นตรงกันว่าอีก 3
วันทหารรัสเซียก็จะเดินทางถึงหมู่บ้าน แต่ความเห็นนั้นผิดถนัด
เพราะในคืนเดียวกันนั้นเองกองทหารรัสเซียสามารถบุกตะลุยเข้ามาปลดปล่อยหมู่บ้านแห่งนี้ได้สำเร็จ
โฉมหน้าของหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
เมื่อไม่นานมานี้พวกเราเห็นแต่กองทหารเยอรมันกับเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสและได้ยินแต่สียงคำสั่งบัญชาการของพวกเยอรมันอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง
แต่มาบัดนี้พวกเราได้ยินภาษาใหม่ซึ่งเป็นภาษาที่แปลกหูสำหรับพวกเราและได้เห็นกองทหารกองใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
แต่ผู้ที่เข้ามาใหม่เหล่านี้เป็นพวกที่นำของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมามอบให้แก่พวกเรา ของขวัญชิ้นนี้คือเสรีภาพที่ทุกคนใฝ่หา.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)