.ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาดิฉันได้พยายามทุกวิถีทางที่จะสืบเสาะค้นหาร่องรอยของสามี
แต่ละครั้งที่มีรถขนย้ายนักโทษชายผ่านไปผ่ามาทางค่ายของพวกเรา
ดิฉันก็จะรีบวิ่งไปชะเง้อดูที่รั้วลวดหนามด้วยความตื่นเต้าระทึกใจ
สายตาของดิฉันจ้องจับไปที่ผู้ถูกเนรเทศเพศชายทุกคนที่อยู่ในชุดแต่งการขาดๆด้วยความหวังว่าจะได้เห็นสามีอยู่ในกลุ่มของผู้ชายเหล่านั้นบ้าง
แต่ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยังไม่พบร่องรอยของเขา
ด้วยจิตใจที่รำลึกถึงเขาบวกกับความห่วงใยถึงกับได้ฝันเห็นเขาหลายครั้ง
ในฝันครั้งหนึ่งเห็นเขาทำงานอยู่ในเหมืองแร่โดยยืนแช่อยู่ในน้ำลึกท่วมเข่า
อีกคืนหนึ่งก็ได้ฝันเห็นเขากำลังทุบหินอยู่ในเหมืองแร่
ในฝันดิฉันได้พยามตะโกนร้องเรียกเขานับเป็นร้อยๆครั้งแต่ไม่รู้ว่าเขาได้ยินหรือไม่
เพราะเห็นเขายังก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปโยไม่หันมามอง
ขอให้ท่านผู้อ่านลองจินตนาการดูเถิดว่าดิฉันจะรู้สึกดีใจและปลื้มใจเพียงใดเมื่อจู่ๆในตอนปลายเดือนที่
6แห่งการติดตามข่าวดิฉันได้รู้ข่าวจากสมาชิกขององค์การใต้ดินว่าสามีทำงานอยู่ในค่ายบูนา
ซึ่งอยู่ห่างจากค่ายของพวกเราไปประมาณ 25 ไมล์
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่าเขาทำงานเป็นศัลยแพทย์ประจำโรงพยาบาลในค่ายแห่งนั้นซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยครบถ้วนกว่าในโรงพยาบาลของพวกเรามาก
หลังจากที่ได้รับแจ้งข่าวนี้แล้วดิฉันเฝ้าแต่คิดอยู่อย่างเดียวว่าจะต้องไปพบกับเขาให้ได้แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรล่ะ?
ดิฉันคิดวางแผนอย่างนั้นอย่างนี้เป็นร้อยเป็นพันแผนและในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะดำเนินตามแผนอย่างหนึ่ง
คือในค่ายของเรามีคุกที่ใช้ควบคุมคนวิกลจริตอยู่ในคุกหนึ่ง
พวกผู้นำค่ายของพวกเรานี้ดูออกจะบ้าบอคอแตกเอาการอยู่ทีเดียว
มีอย่างที่ไหนทีคนปกติกลับถูกจับส่งตัวไปสังหารในห้องรมก๊าซพิษแต่คนวิกลจริตกลับปล่อยให้มีชีวิตต่อไป
แต่เขาก็มีเหตุผลเหมือนกันที่กระทำเช่นนี้
คือที่เขาให้ความสนใจคนวิกลจริตก็เพราะต้องการนำคนเหล่านี้ไปให้นักวิชาการแพทย์ทดลองค้นคว้าในสิ่งที่เขาต้องการอยากจะรู้
ในสัปดาห์หนึ่งๆพวกคนวิกลจริตในค่ายของพวกเราได้ถูกนำตัวไปที่สถานีทดลองค้าคว้าที่ค่ายบูนาประมาณ
2-3
ครั้งและหลังจากเสร็จสิ้นการทดลองในแต่ละครั้งแล้วพวกวิกลจริตก็จะถูกนำกลับมายังค่ายเบอร์เคเนาอีก
ในการนำพวกวิกลจริตไปส่งที่ค่ายบูนานี้พวกเยอรมันจะใช้รถพยาบาลติดเครื่องหมายกาชาดซึ่งพวกเราเรียกรถชนิดนี้กันว่า”รถบรรทุกมรณะ”
เพราะมันถูกใช้เป็นรถบรรทุกเหยื่อสังหารไปยังห้องรมก๊าซพิษด้วย
ในการนำตัวพวกวิกลจริตไปในแต่ละครั้งจะมีเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลติดตามไปด้วย
2-3 คน
ดิฉันจึงคิดหาวิธีการที่จะปลอมตัวเป็นพยาบาลร่วมเดินทางไปกับพวกวิกลจริตด้วย
แต่จะทำอย่างไรล่ะ?
แผนการนี้กระทำได้ด้วยความยากลำบากมากและก็เสี่ยงอันตรายอยู่ไม่ใช่น้อย
เพราะประการแรกนั้นดิฉันไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับคุกที่ขังคนวิกลจริตเลยและที่นั่นเขาก็มีพยาบาลประจำของเขาอยู่แล้ว :ซึ่งแต่ละคนก็เป็นที่รู้จักของบรรดาเจ้าที่หน่วยเอสเอสเป็นอย่างดี
เมื่อเป็นเช่นนี้ดิฉันคงจะต้องเสี่ยงต่อการถูกจับได้ถ้าบังเอิญไปทำหน้าที่เป็นพยาบาลคนใดคนหนึ่งแทนพยาบาลเหล่านั้น
ประการที่ 2 คนวิกลจริตที่ถูกนำตัวไปนั้นก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะได้กลับคืนมายังคุกอีก
เพราะเมื่อการทดลองค้นคว้ากระทำสำเร็จตามวัตถุประสงค์แล้ว
คนวิกลจริตเหล่านั้นก็จะถูกนำตัวไปสังหารในห้องรมก๊าซพิษ
ซึ่งพวกเจ้าที่โรงพยาบาลที่ไปกับคนวิกลจริตเหล่านั้นก็อาจถูกนำตัวไปสังหารพร้อมกันนั้นด้วย
แต่อันตรายเหล่านี้ยังไม่มีน้ำหนักพอที่จะมาทำให้ดิฉันเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย
ดิฉันจึงได้ตัดสินใจยอมเสี่ยงชีวิตพร้อมที่จะเผชิญกับมัน
เพราะเท่าที่อยู่ในค่ายกักกันนี้ก็ไม่ใช่อยู่ด้วยการเสี่ยงชีวิตดอกหรือ?
ดิฉันสามารถติดต่อส่งจดหมายไปให้สามีได้สำเร็จโดยได้บอกไปในจดหมายว่าจะเดินทางไปพบกับเขาไม่วันใดก็วันหนึ่งในไม่ช้านี้
ต่อมาไม่นานก็ได้รับจดหมายตอบมา
ซึ่งทางเขาได้แนะนำมาว่าดิฉันไม่ควรเสี่ยงชีวิตไปพบเขา พร้อมทั้งได้แจกแจงให้เห็นถึงอันตรายที่จะติดตามมา
อย่างไรก็ตามก็ได้เสนอแนะมาว่าถ้าดิฉันไม่สามารถเปลี่ยนใจได้ก็ควรจะไปติดต่อทำความตกลงกับหัวหน้าแพทย์ประจำคุกคนวิกลจริตเสียก่อนเขาอาจจะเห็นใจช่วยเหลือกก็ได้
ต่อมาดิฉันได้ติดต่อกับนายแพทย์ผู้นั้นและได้วางแผนร่วมกับเขาอยู่นานโดยดิฉันเสนอกับเขาว่าจะทำเป็นกลวิกลจริตเสียเองแต่เขาไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดนี้
และในที่สุดก็ตกลงกันได้ว่าดิฉันจะทำหน้าที่เป็นพยาบาลควบคุมคนวิกลจริตไปที่ค่ายบูนาในเที่ยวที่จะมาถึงนี้
.ในการเดินทางไปกับรถบรรทุกมรณะครั้งนี้มีพยาบาลร่วมเดินทางไปด้วย
2 คนทำหน้าที่ควบคุมดูแลพวกคนวิกลจริตจำนวน 7-8 คน พยาบาลทั้ง 2
คนนั่งรวมอยู่กับพวกวิกลจริต นอกจากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสอีก 3 คน
ทำหน้าที่ควบคุมการเดินทางไปด้วย
เมื่อนำคนวิกลจริตขึ้นรถบรรทุกมรณะเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสก็มาปิดประตูรถแล้วขึ้นไปนั่งอยู่ข้างหน้าคู่กับคนขับ
ดิฉันไม่เคยลืมเหตุการณ์ของการเดินทางไปกับคนวิกลจริตครั้งนี้เลย
คือในขณะที่นั่งไปในรถนั้นพวกวิกลจริตได้แสดงพฤติกรรมต่างๆจนดูสับสนวุ่นวายกันไปหมด
เช่น ทะเลาะเบาะแว้งทุบตีกัน ส่งเสียงร้องตะโกนโหวกเหวกไปตลอดทาง
ดิฉันกันเพื่อนพยาบาลพยายามเข้าไปห้ามปรามเพื่อให้เกิดความสงบแต่ก็ไม่เป็นผล
พวกที่ไม่ทะเลาะกันก็หันมากอดจูบเราทั้งสองคนเมื่อเราต่อว่าต่อขานว่าไม่ให้ทำก็ถ่มน้ำลายใส่หน้าแล้วยังแถมชี้หน้าด่าเราอย่างเสียๆหายๆอีกด้วย
ขณะที่รถล่านผ่านเมืองเอาส์ชวิตซ์ดิฉันมองผ่านช่องกระจกรถออกไป
ก็ได้เห็นอีกโลกหนึ่งซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากโลกของค่ายกักกันอย่างสิ้นเชิง
ประชาชนในเมืองนี้ต่างมีอิสระ
บ้างก็เดินอยู่ตามท้องถนน บ้างก็ยืนเข้าคิวรอขึ้นรถ บ้างก็เดินออกจากโบสถ์
บ้างก็กำลังเข้าไปซื้อของในร้าน
พวกแม่บ้านกำลังถือตะกร้าออกจ่ายตลาด
ส่วนพวกเด็กๆก็เล่นกันอยู่อย่างสนุกสนาน ไม่มีใครใช้แส้หรือกระบองไล่ทุบตีกัน
เสื้อผ้าที่แต่ละคนสวมใส่ก็ไม่มีเครื่องหมายสามเหลี่ยมติดไว้ที่หน้าอก
มันไม่น่าเป็นไปได้ว่าจะมีโลกเช่นนี้ นี่ดิฉันฝันไปหรือเปล่า?
รถยังแล่นต่อไป และเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอส 3
คนที่นั่งอยู่ข้างกับคนขับหันกลับมามองดูเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในรถอยู่บ่อยๆ
เมื่อเห็นภาพต่างๆในรถกากันหัวเราะอย่างสนุกสนานครื้นเครง
ที่พวกเขาเฮฮาสนุกสานกันนั้นก็เพราะเห็นหญิงวิกลจริตคนหนึ่งรูปร่างผอมโซเหมือนโครงกระดูกเดินได้เล่นพิเรนทร์ใช้มือแยงแหย่เข้าไปในอวัยวะเพสของตัวเองเพื่อสำเร็จความใคร่หลายต่อครั้ง
หญิงวิกลจริตอีกหนึ่งก็ไม่เบา
ได้ลงไปนอนจอดจูบลูบไล้และ”เล่นเพื่อนกัน”อย่างเมามันอยู่ที่พื้นรถ
ส่วนอีกคนเป็นศาสตราจารย์สาขาวิชาคณิตศาสตร์ก็ได้แสดงความบ้าออกมาอีกแบบหนึ่ง
โดยวางท่าทางเหมือนกับว่าอยู่ในห้องบรรยายในมหาวิทยาลัยคุยฟุ้งอยู่คนเดียวว่าปัญหาสงครามที่เกิดขึ้นอยู่นี้จะต้องแก้ด้วยการอาศัยวิชาคณิตศาสตร์
ว่าแล้วก็ตั้งสมการโดยสมมุติ X เท่ากับนายเชอร์ชิลนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ Y เท่ากับประธานาธิบดีรูสเวลท์แห่งสหรัฐอเมริก
Z เท่ากับนายสตาลินผู้นำของสหภาพโซเวียต และ V เท่ากับฮิตเลอร์ผู้นำของเยอรมัน
ในขณะที่ท่านศาสตราจารย์หญิงกำลังแก้ปัญหาสงครามด้วยการเข้าสมการอยู่นั้น
พวกผู้หญิงวิกลจริตอีกพวกหนึ่งก็แหกปากร้องเอะอะโวยวายจนฟังไม่ได้ศัพท์
ถ้าหากดิฉันอยู่ในรถนานกว่านี้อีก 2-3 วันก็คงจะบ้าตามไปด้วยแน่ๆ
ในที่สุดรถบรรทุกมรณะก็เกดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางคือค่ายบูนา
พวกบุรุษพยาบาลที่นั่นได้พากันมาช่วยพวกเรานำคนวิกลจริตลงจากรถแล้วนำตัวเข้าไปในโรงพยาบาล
พวกเราเดินตามพวกหญิงวิกลจริตไปถึงแผนกศัลยกรรมของโรงพยาบาลและที่ตรงนี้เองที่ดิฉันได้เผชิญหน้ากับสามี
ทันที่ที่เขาเหลือบมาเห็นดิฉันหน้าของเขาก็ซีดเผือดลงไปอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนตัวดิฉันเองก็งงงันจนพูดอะไรไม่ออก
เขาดูเป็นคนอ่อนแอร่างกายทรุดโทรมและแก่ลงไปกว่าเดิมมาก
ผมของเขาเปลี่ยนเป็นสีเทา เขาสวมเสื้อคลุมแพทย์สีขาวแต่เมื่อก้มลงมองไปด้านล่างก็เห็นเขาสวมชุดนักโทษ
เราไม่ได้กล่าวทักทายกันเพราะเกรงว่าพวกยามหน่วยเอสเอสจะเกิดความสงสัย
พวกหญิงวิกลจริตที่พวกเราพามานั้นดุถูกนำตัวเข้าไปในห้องทดลองแล้วถูกฉีดด้วยยาที่ผลิตขึ้นมาใหม่
ซึ่งมีผลทำให้เกิดอาการช็อกในระบบประสาท
การทดลองครั้งนี้อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างใกล้ชิดของนายแพทย์เยอรมันผู้หนึ่งซึ่งจะบันทึกเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการทดลองไว้เป็นอย่างดี
ในขณะที่การทดลองพวกวิกลจริตยังดำเนินอยู่นั้น
เจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอส 3 คนที่มากับพวกเรา
ได้เลี่ยงเข้าไปหาอะไรมารับประทานในสำนักงานของผู้อำนวยการโรงพยาบาล
ดิฉันจึงฉวยโอกาสตอนนี้ไปพบกับสามีในห้องผ่าตัดในท่ามกลางเครื่องมือทางการแพทย์และในบรรยากาศที่เหม็นคลุ้งไปด้วยกลิ่นยาสลบ
ซึ่งเมื่อเทียบเทียบกันแล้วอุปกรณ์การแพทย์ที่ที่ดีกว่าของพวกเราที่ค่ายเบอร์เคเนามากจนแทบจะเทียบกันไม่ได้เลย
เราสองคนต่างรู้สึกตื่นตันใจที่ได้มาพบกันอีกครั้งหนึ่ง
แต่ก็เกิดความว้าวุ่นใจจนไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดอะไรก่อน เพราะหลังจากที่เราได้พบกันในครั้งก่อนแล้วนั้นอะไรเกิดขึ้นกับเราอย่างมากมายจนนับไม่ถ้วน
อีกอย่างหนึ่งนั้นจิตใจของเราก็เต็มตื้นไปด้วยความเศร้าโศกจนพูดอะไรไม่ออก
แม้แต่ชื่อของบุตรชาย 2 คนของเรา ชื่อบิดามารดาของดิฉันและชื่อเพื่อนๆของเราอีกมากมายที่ได้ถูกสังหารไปแล้วนั้น
ก็ติดอยู่แค่ริมฝีมากเท่านั้น เราไม่ได้เอ่ยชื่อของคนเหล่านั้นแม้แต่คนเดียว
เขาเป็นคนเริ่มต้นพูดขึ้นมาก่อน
ด้วยการใช้คำพูดที่แสดงออกถึงความสุขุมเยือกเย็นเพียงไม่กี่ประโยค
โยเขาได้เล่าถึงชีวิตและความสุขที่เขาได้รับจากการที่ได้ช่วยเหลือบรรเทาความทุกข์ยากของนักโทษเป็นจำนวนมากมาย
ซึ่งในแต่ละวันเขาจะขลุกอยู่ที่โต๊ะผ่าตัดตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น
เขาพยายามปลอบโยนดิฉันไม่ให้ท้อแท้ใจ
โดยบอกว่างานที่พวกเราทำอยู่นี้เป็นงานที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่น
พวกเราจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อพิสูจน์สิ่งที่พวกเราได้พบเห็นมาและจะทำอย่างนี้จนหาชีวิตจะหาไม่
และในที่สุดเขาได้ขอร้องไม่ให้ดิฉันเสี่ยงชีวิตมาพบกับเขาที่ค่ายบูนาอีกเพราะว่าจะไม่มีการนำคนวิกลจริตมาทดลองค้นคว้าอีกต่อไปแล้วซึ่งดิฉันได้รู้มาในภายหลังว่าการนำคนวิกลจริตไปค่ายบูนาในครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายจริงตามที่สามีบอก
เวลาที่เราสองคนอยู่ด้วยกันผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก
พวกคนวิกลจริตถูกนำตัวออกจากห้องทดลองมาขึ้นรถบรรทุกมรณะด้วยอาการอ่อนเพลียจากการถูกทดลองหลายครั้ง
แล้วดิฉันก็ได้อำลาสามีมาขึ้นรถ
เมื่อขึ้นมานั่งบนรถบรรทุกมรณะนั้นแล้วก็ได้หันกลับไปมองที่โรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง
ก็เห็นสามีมายืนส่งอยู่ที่ประตูโรงพยาบาลด้วยใบหน้าหมองคล้ำเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
นั่นคือภาพสุดท้ายของเขาที่ดิฉันยังจดจำได้
หลังจากวันนั้นมาดิฉันได้รู้เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาจากนักโทษคนหนึ่งซึ่งเป็นสมาชิกของขบวนการใต้ดินของฝรั่งเศส
เขาผู้นี้บอกว่า ค่ายบูนาได้ถูกอพยพโยกย้ายไปอยู่ที่อื่นและพวกนักโทษในค่ายได้ถูกบังคับให้เดินทางไกลไปยังที่ตั้งแห่งใหม่ด้วย
ในขณะที่พวกนักโทษกำลังเดินกันอยู่นั้นก็มีนักโทษชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งเหน็ดเหนื่อยมากจนถึงกับเป็นล้มล้มลง
สามีของดิฉันเห็นเช่นนั้นก็ได้ก้มตัวลงไปประคองและเตรียมจะฉีดยาบำรุงเพื่อให้มีเรี่ยวแรงเดินทางต่อไป
ซึ่งเขาได้ตัดสินใจทำเช่นนี้ทั้งๆที่รู้ดีว่ามันเป็นการละเมิดคำสั่งของพวกเยอรมัน
ทันใดนั้นเองยามหน่วยเอสเอสคนหนึ่งเห็นเข้าจึงใช้ปืนพกยิงสามีของดิฉันและนักโทษฝรั่งเศสคนนั้นฟุบลงไปนอนสิ้นใจตายอย่างสงบอยู่ที่พื้นดิน
ดิฉันฟังคำบอกเล่านี้ด้วยน้ำตานองหน้า
ใจหนึ่งก็รู้สึกเสียใจและอาลัยอาวรณ์ที่เขามาด่วนจากไปโดยที่ดิฉันไม่มีโอกาสได้ช่วยเหลืออะไรได้เลย
แต่อีกใจหนึ่งนั้นก็รู้สึกปลงตกว่า เขาหมดเวรหมดกรรมไปแล้ว
ไม่ต้องมาทนทุกข์ยากลำบากอยู่กับความโหดร้ายของพวกนาซีอีกต่อไป.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น