Ads

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 8 เมื่อต้องโทษประหาร



วันเวลาผ่านไปชีวิตของเราก็ผ่านไปอย่างเลื่อนลอยไร้ความหวังและจุดหมายปลายทาง พวกเยอรมันยังไม่ได้ให้เราทำงานอะไรเลย คงปล่อยให้นั่งนอนกันอยู่ในคุก จนรู้สึกรำคาญใจแทบคลั่ง ในแต่ละวันกิจกรรมที่ทำมีอยู่สิ่งเดียวคือเข้าไปเข้าแถวรอเรียกชื่อ

ดิฉันผ่ายผอมลงไปจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เมื่อร่างกายอ่อนแอเช่นนี้ประกอบกับมีฝนตกลงมามากและอากาศก็เย็นลงๆโรคภัยไข้เจ็บก็มาเยือนเป็นธรรมดา ในระยะแรกๆอาการไข้ไม่รุนแรงมากนัก แต่ต่อมาวันหนึ่งอาการหนักมาเป็นพิเศษ ดิฉันจึงได้ไปขอยืมผ้าขนสัตว์เก่าๆผืนหนึ่งของเพื่อนนักโทษมาปิดหลังเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น 

เพื่อนดิฉันอีกคนชื่อแม็กดาก็มีอาการเจ็บคอ เธอจึงเอาอย่างโดยนำเศษผ้ามาหุ้มคอบ้าง ซึ่งปกติพวกเยอรมันจะไม่ให้ทำเช่นนี้แต่ดิฉันกับแม็กดาคิดว่านางฮัสเซผู้ควบคุมค่ายคงจะไม่เข้ามาตรวจ หรือถ้าหากเข้ามาเราก็คงจะเอาออกทันก่อนที่นางจะเห็นแต่เหตุการณ์มันกลับตาลปัตรเกินคาด 

นางฮัสเซเข้ามาตรวจในคุกอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวและจับเราได้ จึงถูกเฆี่ยนตีอย่างหนักในโทษฐานละเมิดวินัยค่าย ในที่สุดก็ถูกกำหนดให้เราเป็นบุคคลที่จะถูก”คัดเลือกวิถีชีวิต” ซึ่งก็เท่ากับว่าถูกตัดสินประหารชีวิตทั้งๆที่มันเป็นความผิดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น 

ในวัน”คัดเลือกตัวนักโทษ”นั้นนอกจากเราสองคนแล้วก็ยังมีนักโทษอื่นๆในคุกอีกเป็นจำนวนมากถูก”คัดเลือกตัว” ในครั้งนี้ด้วย และเมื่อคัดเลือกตัวเสร็จแล้วพวกสารวัตรก็มาไล่ต้อนเราไปทางประตูค่าย บอกให้หยุดรออยู่ที่นั่นจนกว่ารถบรรทุกที่จะนำไปยังห้องรมก๊าซพิษจะมาถึง

เรื่องการคัดเลือกตัวนักโทษ ห้องรมก๊าซพิษและเตาเผาศพนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เราถกเถียงกันในคุกมานานแล้ว เพื่อนๆต่างเชื่อว่าเป็นเรื่องที่กุกันขึ้นมาในลักษณะข่าวลือมากกว่าที่จะเป็นจริง

แต่สำหรับดิฉันแล้วได้ทราบมาเป็นอย่างดีว่า”การคัดเลือก”หมายถึงการนำนักโทษไปสังหารในห้องรมก๊าซพิษ หรือถูกนำตัวไปยิงเป้านั่นเอง และก็มีอีกหลายคนเหมือนกันที่รู้ความลับนี้ แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เพื่อนๆส่วนใหญ่เข้าใจได้ ซึ่งก็คงจะเหมือนกับที่ดิฉันกำลังเขียนบันทึกความทรงจำอยู่ในขณะนี้ ดิฉันก็ประสบกับความลำบากที่จะให้ท่านผู้อ่านวาดภาพมองเห็นสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเราในค่ายได้อย่างชัดเจน

เราอยู่ห่างจากสิ่งที่เรียกว่า”โรงงานทำขนมปัง”เพียงไม่กี่ร้อยหลา มิหนำซ้ำขณะยืนรอคอยรถบรรทุกอยู่นั้นก็ได้กลิ่นเหม็นไหม้เนื้อและเส้นผมมนุษย์ที่ลมพัดโชยมาจากโรงงานทำขนมปังนั้นเสียอีกด้วย

แน่นอนที่สุดว่าเขาคงกำลังเผาศพคนทั้งเป็นอยู่ในโรงงานทำขนมปังนี้ แต่ถึงกระนั้นนักโทษส่วนมากแม้จะถูกคุมขังอยู่ที่นี่นานเป็นเดือนๆแล้วก็ยังไม่เชื่อว่ามันจะเป็นไปได้

ทำไมล่ะพวกเขาจึงไม่ยอมรับความจริงดังกล่าว? ดิฉันเคยถามตัวเองอยู่หลายครั้ง บางทีอาจจะเป็นเพราะพวกเขายังเคลือบแคลงสงสัยอยู่ หรือไม่ก็เพราะยังไม่ต้องการจะรับทราบอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ แม้กระทั่งเมื่อถึงตอนที่ถูกผลักเข้าไปในห้องรมก๊าซพิษแล้ว ก็ยังมีหลายคนที่ไม่ยอมเชื่อว่าเป็นห้องรมก๊าซพิษ นางแม็กดาเป็นคนหนึ่งที่ชอบมองโลกในแง่ดีเช่นว่านี้

ดิฉันจึงตกอยู่ในฐานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่เสมอ คือไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดีกับคนที่ไม่ยอมเชื่อว่ามีห้องรมก๊าซพิษและเตาเผาศพในค่าย ดิฉันควรจะปล่อยให้พวกเขาคิดต่อไปว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องเหลวไหลที่พวกหัวหน้าคุกซาซิสต์นำมาใช้เป็นเครื่องมือข่มขู่เพื่อให้นักโทษเกิดความเกรงกลัวเท่านั้น หรือว่าควรจะให้ความกระจ่างแก่เพื่อนเพื่อว่าพวกเขาจะได้ไม่เสนอตัวเข้ารับการคัดเลือกในครั้งต่อไป

ขณะที่เรากำลังรอรถบรรทุกอยู่นั้นพวกสารวัตรและนักโทษชาวเยอรมันได้ออกไปยืนต่อแขนเป็นวงกลมล้อมเราเอาไว้ ดิฉันกระซิบบอกแม็กดาให้วิ่งหนีฝ่าวงล้อมออกไปแต่เธอส่ายหน้าตอบว่า”ไม่หรอก ค่ายแห่งนี้มีนโหดแค่ไหนเธอก็น่าจะรู้ ที่ใหม่ที่เขาจะนำเราไปคงดีกว่าค่ายแห่งนี้เป็นแน่ หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรฉันก็จะไม่ยอมหนีไป”

“โง่บัดซบสิ้นดี” ดิฉันด่าแม็กดา

“เราถูกคัดเลือกให้ไปรับโทษต่างหาก สถานที่ซึ่งเขาจะส่งเราไปเป็นที่เลวร้ายที่สุดรู้ไว้ด้วย แกจะไปกับฉันมั้ย”

“ไม่”แม็กดาตอบอย่างเด็ดเดี่ยว

“งั้นฉันจะหนีไปคนเดียว” ดิฉันกล่าวกับแม็กดาด้วยความโกรธ

ที่โบราณว่า”พูดง่ายแต่ทำยาก”นั้นเป็นความจริง  เพราะในทันทีที่ดิฉันเริ่มวางแผนจะหนีอยู่นั้นผู้ทำหน้าที่คัดเลือกล่วงรู้แผนการนี้และได้ตะโกนบอกว่า

“ระวังนะสารวัตร มีบางคนกำลังคิดจะหลบหนีไป”

แน่นอนที่สุดในหมู่พวกเราจะต้องมีเกลือเป็นหนอน ไม่เช่นนั้นพวกเยอรมันคงไม่รู้แผนนี้เป็นแน่ เพื่อนๆหักหลังดิฉันเพราะเหตุใด?  แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่ากำลังบ่ายหน้าไปสู้ความตาย แต่เขาก็น่าจะรู้ว่าที่ใหม่ที่เขาถูกเฟ้นตัวให้ไปอยู่นั้นน่าจะไม่มีอะไรดีขึ้นกว่าเดิม ดิฉันคิดว่าคนพวกนี้แหละที่อิจฉาคนอย่างดิฉันที่อาจช่วยตนเองให้รอดพ้นจากชะตากรรมเดียวกับพวกเขา ขณะที่พวกเขาเองไม่กล้าพอที่จะเสี่ยงหนีอย่างดิฉัน

ดิฉันตัวสั่นงันงกเพราะกลัวพวกเยอรมันจะรู้ว่าเป็นคนที่คิดจะหลบหนีนั้น ดิฉันจำเป็นต้องอยู่ในแถวต่อไปแต่ก็ได้พยายามถอยร่นออกไปอยู่ทางข้างหลังๆเพื่อให้ห่างจากเพื่อนๆที่อยู่ข้างหน้ามากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ขณะที่กำลังพยายามเดินถอยหลังอยู่นั่นเอง รถบรรทุกที่จะลำเลียงเราไปเข้าห้องรมก๊าซพิษก็มาถึงพอดี 

ด้วยสัญชาตญาณกลัวภัยบรรดานักโทษต่างถอยหนีไม่เป็นขบวน ในวินาทีฉุกละหุกนั้นก็เผอิญเหลือบไปเห็นไม้ตะพดอันหนึ่งตกอยู่ที่พื้นดิน ซึ่งไม้พะพดนี้ในค่ายเอาส์ชวิตซ์ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของการมีอำนาจวาสนา 

คนชั้นระดับหัวหน้าเท่านั้นจึงจะได้รับอนุญาตให้ใช้ ดิฉันก้มลงเก็บไม้ตะพดนั้นมาถือไว้ในมือแล้วเดินไปรวมกลุ่มของพวกสารวัตรที่มาจากคุกอื่นพอได้โอกาสเหมาะดิฉันก็วิ่งเต็มฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังโรงครัว 

นางแม็กดาซึ่งเปลี่ยนใจในช่วงชุลมุนนั้นก็ก็ได้วิ่งตามไปด้วย เมื่อวิ่งไปถึงโรงครัวก็เป็นเวลาเดียวกับพวกนักโทษกำลังยืนอยู่ด้านหน้าโรงครัว ดิฉันจึงเดินเข้าไปข้างในทำทีว่าเป็นคนระดับหัวหน้ามาตรวจความเรียบร้อยในการแจกอาหาร 

และได้เสนอตัวเป็นผู้ทำหน้าที่ควบคุมคนที่จะหามหม้อซุปไปยังคุกต่างๆโดยวิธีนี้ดิฉันเลยสามารถเดินผ่านคุกต่างๆไปจนกระทั่งถึงคุกของตัวเอง

ฝ่ายนางแม็กดาก็ทำตามอย่างดิฉันและก็ได้กลับมาถึงคุกของเราเช่นกัน เมื่อถึงคุกดิฉันได้ขอเปลี่ยนเสื้อผ้ากับนักโทษหญิงคนหนึ่ง แล้วเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในกรงขัง

ดิฉันเก็บตัวเงียบๆอยู่ในกรงขังไม่ยอมออกไปไหนมาไหนจนกระทั่งถึงเวลาที่จะต้องออกไปรอเรียกชื่อในครั้งต่อไป  มีนักโทษไม่กี่คนที่สงสัยว่าดิฉันกลับมาได้อย่างไร ซึ่งดิฉันก็ได้โกหกคนเหล่านี้อย่างหน้าตาเฉยว่า พวกเยอรมันเข้าใจผิดคิดว่าดิฉันเป็นอีกคนหนึ่ง ซึ่งที่จริงดิฉันไม่ได้เป็นบุคคลที่จะถูกคัดเลือกตัวไปแต่อย่างใด

ท่านผู้อ่านอาจเกิดความสงสัยว่าทำไมดิฉันจึงต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายกับนักโทษคนอื่นด้วย? ซึ่งแม้จะอยู่ในชุดเดิมดิฉันก็มั่นใจว่านางฮัสเซคงจะจำไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะในค่ายมีนักโทษหญิงกว่า 30000 คน นางน่าจะแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร แต่ก็ได้ถือหลักว่า”กันไว้ดีกว่าแก้” ดิฉันจึงได้ตัดสินใจเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย เพื่อไม่ให้นางฮัสเซมีโอกาสเห็นดิฉันในชุดเดิม

ดิฉันโกหกเพื่อนๆจนพากันหลงเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่สามารถตบตานางอีก้าหัวหน้าคุกของดิฉันได้ ในวันรุ่งขึ้นคนที่ทำหน้าที่แบ่งอาหารคนหนึ่งได้มาปลุกดิฉันตั้งแต่เช้า เธอเป็นคนใช้ส่วนตัวของนางอีก้าได้มาขู่ดิฉันว่า

“อีก้าให้ฉันมาบอกแกว่า เธอต้องการรองเท้าบู๊ทของแกเพื่อเป็นการปิดปาก ถ้าแกไม่ยอมให้เธอก็จะเปิดเผยความจริงทุกอย่างให้นางฮัสเซได้รู้จนหมดเปลือก”

ครั้งแรกดิฉันพยายามขัดขืนโยให้เหตุผลว่า

“ดิฉันกำลังป่วยเป็นไข้นะคะ และตอนนี้ฝนก็ตกอยู่เป็นประจำ ถ้าให้รองเท้าบู๊ทอีก้าไปเสียแล้ว ดิฉันก็ไม่มีรองเท้าจะใส่”

“แกไม่ต้องวิตกไปหรอก” คนแบ่งอาหารคนนั้นตอบ

“อีก้าจะหารองเท้าใหม่ให้แกใส่แทนรองเท้าบู๊ทคู่นี้”

เป็นอันว่าการเจรจาต่อรองระหว่างดิฉันกับคนแบ่งอาหารยุติลงด้วยดี  ดิฉันยอมมอบรองเท้าบู๊ทให้เธอไป

ในเช้าวันนั้นเองดิฉันก็ได้รองเท้ามาจากอีก้าคู้หนึ่ง แต่อนิจจามันเป็นรองเท้าข้างเดียวกัน คือเป็นข้างซ้ายทั้งสองข้าง สภาพของมันก็ขาดจนไม่มีชิ้นดี แถมไม่มีพื้นรองเสียอีกด้วย

แต่ดิฉันก็ไม่กล้าเอะอะโวยวายหรือต่อล้อต่อเถียงกับนางอีก้าต่อไป ปล่อยให้เรื่องเงียบไปเสียเฉยๆเพราะดิฉันยังต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไปนั่นแหละ.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น