Ads

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 3 คุกแดนที่ยี่สิบหก



เราได้เดินทางมาถึงคุกที่พวกเยอรมันกำหนดไว้ให้เป็นที่คุมขัง บริเวณรอบๆคุกแห่งนี้มีลวดหนามกั้นไว้อย่างแน่นหนา บนเสาคอนกรีตแต่ละต้นขึงลวดหนามและติดหลอดไฟฟ้าสว่างจ้าอยู่ตลอดเวลา เป็นสัญญาณเตือนให้นักโทษทุกคนตระหนักว่า ลวดหนามแต่ละเส้นล้วนแล้วแต่มีกระแสไฟฟ้าแรงสูงปล่อยเอาไว้

ครั้นเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสไขกุญแจลูกมหึมาซึ่งล็อคประตูเอาไว้ออกแล้ว เราก็ถูกกวาดต้อนเข้าไปข้างใน เมื่อผู้ถูกเนรเทศกลุ่มสุดท้ายเดินผ่านธรณีประตูเข้าไปหมดแล้ว เจ้าหน้าที่ก็มาปิดประตูล็อคกุญแจทันที

เราทิ้งชีวิตในอดีตไว้ข้างนอกประตูนั่นเอง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทุกคนมีสภาพกลายเป็นทาส ต้องทนทุกข์ทรมานกับความหิวโหยและความหนาวเย็นของอากาศ ตกอยู่ในความควบคุมของพวกผู้คุม โดยไม่มีความหวังใดๆทั้งสิ้น เราหลายคนร้องไห้น้ำตานองหน้า ขณะเดินตามผู้นำทางของเราไปยังบ้านหลังใหม่ ซึ่งมีชื่อว่า”คุกแดนที่ 26”

ก่อนจะเล่าเรื่องต่อไป ใคร่ขออนุญาตท่านผู้อ่านได้อธิบายให้เห็นความสำคัญของค่ายกักกันเชลย 2 แห่งของเยอรมัน คือ ค่ายเบอร์เคเนา(Birkenau) หรือที่เรียกว่าเอาส์ชวิตซ์สอง และค่ายเอาส์ชวิตซ์(Auschwitz) ทั้งสองค่ายนี้ต่างมีชื่อในด้านความโหดร้ายทารุณพอๆกัน ซึ่งประวัติศาสตร์จะต้องจารึกความเลวร้ายของมันเอาไว้ชั่วกาลนาน 

ค่ายทั้งสองแห่งนี้แยกออกจากกันโดยมีทางรถไฟแล่นผ่าน เมื่อตอนที่ผู้ทำหน้าที่คัดเลือกสั่งให้ผู้ถูกเนรเทศซึ่งรวมกันอยู่ที่ชานชาลาสถานีรถไฟ ให้แยกไป ทางซ้าย บ้าง ทางขวา บ้างนั้น เป็นการแยกผู้ถูกเนรเทศเพื่อส่งมายังค่ายทั้งสองนี้ 

ค่ายเอาส์ชวิตซ์หนึ่งเป็นค่ายประหารชีวิตนักโทษและเป็นค่ายทาส แม้ว่าขีวิตนักโทษในค่ายแห่งนี้จะมีความลำบากยากเข็ญเพียงใด แต่ก็ถือว่ายังดีกว่าค่ายเอาส์ชวิตซ์สองอยู่บ้าง ทั้งนี้เพราะค่ายเอาส์ชวิตซ์สอง(เบอร์เคเนา) เป็นค่ายสำหรับใช้ประหารชีวิตนักโทษเป็นส่วนใหญ่ 

ด้วยเหตุนี้เองจึงแทบไม่มีใครมีโอกาสบันทึกเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวและเบื้องหลังความเป็นมาของมันไว้ได้ มันเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงถึงความผิดอย่างมหันต์ของบรรดาผู้นำเยอรมัน ซึ่งแทบจะไม่มีใครกล่าวถึง ทั้งไม่มีใครยอมรับว่ามีอยู่ จนกระทั่งกองกำลังของฝ่ายพันธมิตรได้เข้าไปยึดและเปิดเผยให้ชาวโลกได้รู้ความลับทั้งหมด

ที่ค่ายเอาส์ชวิตซ์หนึ่ง ยังเป็นค่ายที่น่าสะพรึงกลัวมากที่สุด เพราะในนั้นมีโรงงานผลิตยุทธปัจจัยอยู่หลายโรง อาทิ โรงงาน ดี.เอ.(D.A.W.)โรงงานซีเมนส์(Siemens) และโรงงานกรุปป์(Krupp) ล้วนแล้วแต่เป็นโรงงานผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อใช้ในสงคราม 

นักโทษที่ถูกเกณฑ์ให้มาทำงานในโรงงานเหล่านี้ต่างมีอภิสิทธิ์และมีเกียรติสูง เมื่อเทียบกับนักโทษพวกอื่นๆ แม้แต่ผู้ที่ไม่ได้ทำงานฝ่ายผลิต ก็ยังโชคดีกว่าพวกนักโทษที่ถูส่งตัวไปค่านเบอร์เคเนา ทั้งนี้เพราะเหตุว่า นักโทษที่ถูกส่งไปยังค่ายเบอร์เคเนาส่วนใหญ่ เป็นเพียงผู้กำลังรอคอยวาระที่จะถูกนำตัวไปเข้าห้องก๊าซพิษและถูกนำไปเผาทั้งเป็นเท่านั้นเอง 

ภารกิจการนำนักโทษผู้โชคร้ายเข้าห้องก๊าซพิษและเผาในที่สุดนี้ เป็นหน้าที่ของกลุ่มบุคคลที่มีชื่อในภาษาเยอรมันว่าหน่วย”คอมมานโด” เจ้าหน้าที่ในค่ายเบอร์เคเนาจะพยายามถุกวิถีทางที่จะปกปิดไม่ให้ผู้ใดทราบว่า ค่ายแห่งนี้เป็นค่ายสำหรับประหารชีวิตนักโทษโยเฉพาะ เมื่อนักโทษในค่ายเอาช์วิตซ์หนึ่งหรือค่ายอื่นๆในบริเวณใกล้เคียงถูกตัดสินว่าเป็นผู้ไร้ประโยชน์ หากมีจำนวนมากเกินกว่าเตาเผาศพในค่ายจะเผาได้ทัน ก็จะถูกส่งตัวไปเข้าเตาเผาศพที่ค่ายเบอร์เคเนาแทน

ดิฉันได้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ทีละน้อยๆเพียงชั่วระยะเวลาไม่กี่สัปดาห์ ในช่วงวันแรกๆที่เข้ามาอยู่ในค่าย เรายังมีความเชื่อว่าจะไม่ถูกใช้ให้ทำงาน ทั้งนี้เพราะไม่มีป้ายว่า”การทำงานคือเสรีภาพ(Arbeit macht frei) เหมือนกับที่เราเคยเห็นในค่ายอื่นๆ แต่นั้นเป็นเพียงกลวิธีของพวกเยอรมันที่จะหลอกให้เยื่อผู้เคราะห์ร้ายตายใจ ปกติแล้วทหารเยอรมันมักจะเห็นพวกเราเป็นเครื่องเล่น เหมือนกับแมวซึ่งทำท่หยอกล้อหนูก่อนที่จะตะครุบเป็นอาหารในที่สุด

คุกแดนที่ 26 เป็นโรงรถเก่าซึ่งนำกระดานหยาบๆมาตีปิดไว้อย่างแข็งแรง ตรงประตูคุกมีแผ่นป้ายโลหะบอกว่า สถานที่แห่งนี้เคยเป็นคอกม้าขนาดใหญ่มาก่อน เห็นได้จากข้อความบนแผ่นป้ายว่า”สัตว์ขี้เรื้อนจะต้องแยกไว้ต่างหากทันที” ทำไมม้าถึงโชคดีอะไรอย่างนั้นนะ?แต่ไม่เห็นมีใครสนใจที่จะใช้มาตรการเช่นนี้กับกับมนุษย์อย่างเราที่ถูกขังไว้ในที่นี้เลยนะ ดิฉันก็ได้แต่คิด

ภายในคุกแยกออกเป็น 2 ส่วน โยมีเตาอิฐขนาดมหึมาสูงประมาณ 14 ฟุต ยาวเกือบ 20 เมตร กั้นกลางเอาไว้ แต่ละด้านแบ่งออกเป็นบล็อก และแต่ละบล็อกมีเตียงแบบสามชั้นวางเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก

ท่านผู้อ่านคะ มันไม่ใช่เตียงอย่างที่เราท่านเคยเห็นหรอกค่ะ แต่มันคือกรงขังที่ทำด้วยไม้ ซึ่งเรียกกันเป็นภาษาเยอรมันว่า”คอยอัส(Koias) แต่ละกรงหรือแต่ละบล็อกยาว 12 ฟุต กว้าง 5 ฟุต ใช้เป็นที่นอนสำหรับคน 17-20 คน เราต้องอยู่กันอย่างแออัดยัดเยียด ไม่มีความสะดวกสบายแม้แต่น้อย

ตอนแรกๆที่เรามาถึง กรงขังเหล่านี้ไม่มีอไรอยู่เลย นอกจากแผ่นกระดานไม้เก่าๆต้องนอนกันบนแผ่นกระดานเหล่านี้ตามมีตามเกิด อีกเดือนหนึ่งต่อมานายทหารเยอรมันจึงได้นำผ้าห่มมาแจก โดยแจกให้เพียงกรงละ 2 ผืน แต่ละผืนก็แสนจะสกปรกและเหม็นสาบ ลองคิดดูซิคะ ผ้าห่มผืนหนึ่งต่อคนสิบคนจะใช้ร่วมกันไปได้อย่างไร

ในเวลาเดียวกัน ผู้ที่อยู่ในกรงขังทุกคนไม่สามารถนอนพร้อมกันได้ เพราะไม่มีที่ว่างจะนอน หลายคนจึงต้องนั่งจับกลุ่มคุยกันโดยไม่ได้นอนตลอดคืน บ้างก็ผุดลุกผุดนั่ง จะเอี้ยวตัวไปมาก็แสนจะลำบากยากเย็น กว่าจะเปลี่ยนอิริยาบถแต่ละทีก็ต้องขอความร่วมมือหรือได้รับความยินยอมจากคนอื่นๆเสียก่อน

ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ หลังคาคุกกำลังอยู่ในระหว่างการซ่อมแซม เมื่อถึงตอนฝนตกน้ำก็ไหลลงมาตามรูรั่ว นักโทษที่อยู่ชั้นบนถูกฝนเปียกปอนไปตามๆกัน ส่วนผืที่อยู่ชั้นติดพื้นก็ใช่ว่าจะอยู่ในสภาพที่ดีว่า เพราะเพราะพื้นลาดซีเมนต์ไว้เฉพาะบริเวณเตาหุงต้มอาหารเท่านั้น นอกนั้นเป็นดินลูกรังที่สกปรกและชื้นและ ฝนตกคราใดมันก็แปรสภาพกลายเป็นทะเลโคลนไปโดยปริยาย ยิ่งไปกว่านั้น พวกที่อยู่ชั้นล่างก็แสนจะอึดอัดแทบไม่มีอากาศหายใจ เนื่องจากหน้าต่างช่องระบายอากาศอยู่สูง

ภายในคุกสกปรกโสโครกเกินที่จะพรรณนา หน้าที่หลักของเราก็คือคอยรักษาความสะอาดอยู่เสมอ การละเมิดสุขบัญญัติใดๆจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง ก็ในเมื่อคุกมีขนาดเล็กและมีผู้หญิงอยู่ถึง 14,000-1,500 คนเช่นนี้ จะให้รักษาความสะอาดได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่มีอุปกรณ์ทำความสะอาด เช่น ไม้กวาด เครื่องถูพื้น ถังใส่น้ำ หรือแม้แต่ผ้าขี้ริ้ว ซึ่งก็ได้พยายามแก้ปัญหานี้กันจนได้ โยได้ตกลงกันให้แต่ละคนซึ่งมีกระโปรงยาวๆช่วยกันตัดชายกระโปรงมาทำเป็นผ้าถูพื้นแก้ขัดไปพลางๆ นอกจากนั้นชายกระโปรงนี้ก็ยังใช้ห่อเศษขยะมูลฝอย ตลอดจนสิ่งปฏิกูลบนพื้น ซึ่งเป็นต้นเหตุให้อากาศเสียที่เราต้องหายใจเข้าไป

ปัญหาที่แก้ได้ยากลำบากยิ่งกว่านั้นก็คือ ภาชนะสำหรับใส่อาหาร ในวันที่สองที่มาถึงได้รับแจกชามประมาณ 20 ใบ ชายี่สิบใดต่อคน 1,500 คน นับว่าเป็นเรื่องตลกมาก แต่ละใบก็มีขนาดเล็กบรรจุอาหารไม่พอรับประทานเลย นอกจากนั้นพวกเยอรมันให้ถังมา 1 ใบ กับหม้อต้มน้ำเล็กๆอีก 1 ใบ ในระยะหลังจึงได้รับแจกชามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ก้ยังไม่เพียงพอกับจำนวนคนอยู่ดี

นักโทษที่ได้รับคัดเคือกให้เป็นหัวหน้าคุกหรือที่เรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า”โบลโควา” ก็ทำแสบเสียอีก โยจะแอบนำหม้อต้มน้ำใบนั้นไปทำเป็นกระโถนรองรับปัสสาวะโยไม่ละอายแก่ใจ แล้วพวกที่เหลือจะทำอย่างไรกัน? 

หากสังเกตดูให้ลึกซึ้งแล้วก็จะเห็นว่า พวกเยอรมันพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะทำให้เราเกิดความขัดแย้งกัน ชิงดีชิงเด่นกัน โกรธเคืองกัน จงเกลียดจงชังกันมากขึ้นๆ

ในตอนเช้าเราต้องรีบกุรีกุจอพากันล้างชามให้สะอาดก่อนที่จะนำไปรับแจกอาหาร ซึ่งอาหารที่ว่านี้ก็มีแต่หัวผักกาดหวานและเนยเทียมเท่านั้น วันแรกๆเรารับประทานอาหารอย่างผะอืดผะอมแทบจะอาเจียนออกมา เพราะอดคิดไม่ได้ว่าชามที่ใส่อาหารเหล่านี้ล้วนเคยถูกใช้เป็นกระโถนรองรับปัสสาวะของใครต่อใครมาก่อนในตอนกลางคืน แต่เมื่อเกิดความหิวโหยมากขึ้นและยังไม่อยากจะอดตาย ก็ต้องทนฝืนใจรับประทานเข้าไป โดยไม่คำนึงถึงว่าชามที่ใส่อาหารนั้นเคยถูกใช้เป็นกระโถนใส่ปัสสาวะมาก่อนหรือไม่ 

ในตอนกลางคืนหลายคนต่างแย่งหาชามมาเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิดเพื่อเอาไว้ใช้เป็นกระโถนใส่ปัสสาวะประจำตัว ก็มันจำเป็นนี่คะ เนื่องจากเราได้รับอนุญาตให้ไปห้องน้ำได้เพียงวันละ 2 ครั้งเท่านั้น ใครปวดแสนปวดอย่างไรก็ต้องทนอดกลั้นเอาไว้ หากใครออกไปนอกคุกในเวลาวิกาลก็ต้องเสี่ยงกับการถูกทหารเอสเอสจับ ซึ่งพวกนี้ได้รับคั่งให้ยิงก่อนค่อยถามเรื่องราวกันทีหลัง แล้วใครล่ะจะกล้าเสี่ยงเอาชีวิตไปแลก.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น