ขณะทำงานอยู่ในโรงพยาบาลหน้าที่ของดิฉันไม่ใช่เพียงแต่ตรวจรักษาคนไข้เท่านั้น
แต่ยังรวมถึงงานเคลื่อนย้ายศพจากโรงพยาบาลไปเก็บยังโรงเก็บอีกด้วย
ซึ่งก่อนที่จะนำศพไปเก็บนั้นต้องช่วยกันทำความสะอาดก่อนเสมอ
นับว่าเป็นงานที่ฝืนความรู้สึกอยู่ไม่น้อย
เนื่องจากศพเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เคยเป็นคนไข้ของเรามาก่อน
ส่วนในทางปฏิบัติก็เกิดความขลุกขลักอยู่ไม่น้อยเพราะขาดแคลนน้ำที่จะนำมาใช้ทำความสะอาด
ซึ่งตามความจริงแล้วอย่าว่าแต่จะนำมาใช้ล้างศพเลย
แม้แต่จะนำมาใช้กับคนไข้ปกติก็แทบจะหาไม่ได้อยู่แล้ว
เมื่อทำความสะอาดศพเสร็จพวกเยอรมันก็จะบังคับให้หามไปยังโรงเก็บ ภายหลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว
ปัญหาที่เจอก็คือหาน้ำและสบู่มาล้างมือได้ยากมาก
ในตอนหามศพไปโรงศพดิฉันกับเพื่อนอีกคนหนึ่งช่วยกันนำศพลงเปลหามไป
โดยมีพวกเยอรมันมาคอยบงการอยู่อย่างใกล้ชิด ซึ่งกว่าจะไปถึงที่เก็บก็แทบแย่
ต้องเดินโซซัดโซเซหามไปเป็นเวลานานถึงครึ่งชั่วโมง
งานหนักเช่นนี้น่าจะเป็นเรื่องของพวกผู้ชายที่บึกบึนแข็งแรงมากกว่าพวกเราผู้หญิงซึ่งเป็นเพศที่อ่อนแอ
เวลาหามไปก็มียามเดินตามไปด้วย ซึ่งจะไม่ยอมให้เราหยุดพักเลยแม้แต่น้อย
ลักษณะการปฏิบัติต่อนักโทษด้วยความทารุณโหดร้ายและขาดมนุษยธรรมเช่นนี้
ถือกันว่าเป็นปกติวิสัยในค่ายเบอร์เคเนา
เมื่อหามศพไปถึงประตูโรงเก็บแล้วก็ช่วยกันลากลงจากเปล
แล้วนำไปกองรวมกันกับศพรายอื่นๆที่นำมาเก็บรวมกันไว้
ในเวลาเหน็ดเหนื่อยมีเหงื่อออกมามากอยากจะเอามือลูบหน้าก็ไม่กล้า
เพราะแต่ละคนมือสกปรกเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำเลือดน้ำหนองของซากศพ
ในบรรดางานที่ดิฉันที่เคยทำมาคงจะไม่มีงานใดที่น่าเกลียดน่ากลัวและฝังอยู่ในความทรงจำเท่ากับงานนี้อีกแล้ว
คิดดูซิคะ ในเวลาลำเอียงศพเข้าไปในโรงเก็บนั้นต้องเหยียบย่ำลงไปบนกองซากศพของคนตาย
ซึ่งหลายต่อหลายศพเสียชีวิตด้วยโรคติดต่อร้ายแรง
ตราบจนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ว่า
ทำไมตอนนั้นตัวเองถึงทำงานหนักและน่าขยะแขยงเช่นนี้ได้โดยไม่เป็นอะไรเลย
ซึ่งแตกต่างจากเพื่อนๆที่เป็นลมล้มพับกันไปหลายราย
ในเวลาทำงานขนศพอยู่นั้นเราจะถูกทุบตีอยู่เสมอเนื่องจากพวกทหารเยอรมันหาว่าทำงานอืดอาดล่าช้าไม่ทันใจ
จึงถือไม้กระบองคอยร้องตะโกนเร่ง
เมื่อทำไม่ทันใจก็จะใช้ไม้กระบองกระหน่ำตีอย่างไม่ปรานี
มีเด็กสาวคนหนึ่งเป็นนักศึกษาจากกรุงวอร์ซอได้มาช่วยเราหามศพอยู่เป็นเวลานาน
เด็กสาวชาวโปแลนด์คนนี้คิดถึงคุณแม่ของเธอมากและมักจะเอาเรื่องนี้มาปรับทุกข์กับเราอยู่เสมอ
เมื่อเอ่ยถึงคุณแม่ทีไรก็จะพูดด้วยความโล่งอกว่า
“คุณแม่ของดิฉันท่านซ่อนตัวอยู่ในภูเขา
ไม่มีทางที่พวกเยอรมันมันจะหาท่านพบแน่”
อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ดิฉันกับเธอกำลังช่วยกันหามศพเข้าไปในโรงเก็บศพนั้น
ไม่ทราบเป็นเพราะอะไรจู่ๆเธอเกิดร้องไห้โฮขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ดิฉันต้องรีบนำตัวออกมาก่อนที่พวกเยอรมันจะพบเห็นเข้า
ซึ่งเมื่อสอบถามความเป็นไปก็ทราบว่าเธอเหลือบไปเห็นศพคุณแม่ที่คิดว่าปลอดภัยแล้วนั้นนอนรวมอยู่ในกองศพในห้องนั้นด้วย
เมื่อพิจารณาจากสภาพของศพต่างๆที่อยู่ในโรงเก็บนั้นแล้วก็พอที่จะอนุมานถึงชีวิตความเป็นอยู่ของนักโทษก่อนเสียชีวิตได้เป็นอย่างดี
นักโทษส่วนมากหลังจากเข้ามาอยู่ในค่ายกักกันเพียงชั่วระยะไม่นาน
ก็จะมีร่างกายผ่ายผอมโซไม่ผิดอะไรกับโครงกระดูดเกินได้
ทั้งนี้เพราะมีอาหารบริโภคไม่เพียงพอนั่นเอง
น้ำหนักตัวจะลดลงจากเดิมประมาณ 50-60 เปอร์เซ็นต์
ส่วนความสูงก็จะลดลงจากเดิมมาก โดยเฉลี่ยแล้วนักโทษจะมีน้ำหนักตัวเหลืออยู่เพียง
60-70 ปอนด์เท่านั้น ซึ่งแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้
การขาดอาหารก็ยังทำให้นักโทษอีกส่วนหนึ่งมีร่างกายผิดปกติอีกด้วย
นักโทษหญิงในค่ายมักมีปัญหาเรื่องประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ
หลังจากกองทัพพันธมิตรเข้าไปปลดปล่อยค่ายเอาส์ชวิตซ์แล้ว
มีศาสตราจารย์ชาวรัสเซียท่านหนึ่งได้ทำการวิจัยพบว่า นักโทษหญิงในค่ายเอาส์ชวิตซ์เก้าในสิบคนมีรังไข่หายไป
เพราะเหตุนี้เองทำให้พวกเธอมีประจำเดือนมาไม่ปกติ
ปัจจัยที่ทำให้รังไข่หายไปนั้นน่าจะมีสาเหตุมาจากสภาพแวดล้อมที่นักโทษหญิงตกอยู่ในสภาวะแห่งความกลัวตลอดเวลานั่นเอง
นอกจากนั้นผงเคมีชนิดหนึ่งที่พวกเยอรมันผสมลงไปในอาหารให้นักโทษรับประทานก็น่าจะเป็นปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ประจำเดือนขาดๆหายไป
มีผู้กล่าวว่า พวกเยอรมันผสมผมเคมีนั่นลงไปในอาหารโยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นักโทษมีความรู้สึกเฉื่อยชาในทางเพศ
ซึ่งในประเด็นนี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้
อย่างไรก็ตามก็เคยได้ทราบมาว่า
ราชินีประจำค่าย,พวกหัวหน้าคุกหญิง,เจ้าหน้าที่แจกอาหารในคุก รวมทั้งพวกคนครัว
ไม่มีปัญหาเรื่องประจำเดือนไมมาตามปกติเลย
ก็เป็นที่น่าสังเกตว่า
คนเหล่านี้ไม่ได้รับประทานอาหารแบบเดียวกับที่ปรุงให้นักโทษธรรมดา
ดิฉันมีเหตุผลเพียงพอที่จะเชื่อว่าพวกเยอรมันใช้ผงเคมีลึกลับชนิดหนึ่งเพื่อทำร้ายพวกเรา
ครั้งหนึ่งได้เคยถามเรื่องนี้กับนักโทษหญิงคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในโรงครัว ซึ่งเธอยืนยันว่ามีคำสั่งให้ผสมสารชนิดนี้ลงไปในอาหารที่นำมาให้พวกเรารับประทานกัน
“จริงๆรึเธอ ช่วยหาผงนั้นให้ฉันหน่อยได้มั้ย”
ดิฉันขอร้องแม่ครัว”เผื่อว่าฉันมีโอกาสอกจากที่นี่ไปจะได้ใช้มันเป็นหลักฐานเล่นงานพวกเยอรมัน”
“ฉันหาผงนั้นให้เธอไม่ได้หรอก”แม่ครัวคนนั้นตอบ”เพราะปกติผู้หญิงเยอรมันจากหน่วยเอสเอสจะเป็นผู้ผสมผงนั้นลงไปในอาหารด้วยตัวของเธอเอง
และในขณะผสมก็จะห้ามไม่ให้ใครเข้าไปใกล้”
เพราะเหตุนี้เองสภาพร่างกายของนักโทษจึงเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าจะเพิ่งเข้ามาอยู่ในค่ายเพียงไม่กี่สัปดาห์ พวกนักโทษจะหมดความกระปรี้กระเปร่าเฉื่อยชาไม่กระฉับกระเฉง
เวลาเดินก็เหมือนคนไม่มีเรี่ยวแรง เมื่อถึงฤดูหนาวกล้ามเนื้อส่วนแขนจะตึง
จะหยิบจับอะไรก็ทำได้ด้วยความยากลำบาก
ส่วนทางด้านสมองนั้นนักโทษก็แสดงออกมาให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมเช่นกัน
กล่าวคือ มีความจำเสื่อม ไม่มีสมาธิ นั่งเหม่อ ใจลอย ไม่สนใจใยดีต่อชีวิต
มีความวางเฉยแม้กระทั่งในตอนที่ถูกนำตัวไปเข้าห้องรมก๊าซพิษ
เมื่อนักโทษมีลักษณะทางสมองเช่นนี้ก็นับว่าง่ายสำหรับพวกเยอรมันที่จะนำไปประหารชีวิต
ดิฉันสามารถบอกได้ว่าระหว่างงานขุดคูใกล้กับเตาเผาศพกับงานเก็บขยะใกล้สถานีรถไฟชนิดไหนเป็นงานงานหนักกว่ากัน
เวลาที่ไปทำงานใกล้สถานีรถไฟเราจะถือถุงขยะใบใหญ่ๆไปด้วย
จะเก็บกวาดเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้ถูกเนรเทศที่เดินทางมาถึงใหม่ๆพากันทิ้งลงมาจากรถไฟ
อาทิ หนังสือพิมพ์จากประเทศต่างๆ กระป๋องปลาซาร์ดีนเปล่า ขวดแตก ของเล่นเด็ก
ช้อนฯลฯ
บางทีก็ไปทำหน้าที่ขนกระเป๋าเดินทางจากสถานีรถไฟไปเก็บไว้ในคลังแคนาดา
แต่ส่วนใหญ่เป็นงานเก็บขยะและของเก่าๆเสียมากกว่า
เมื่อได้ของเต็มถุงแล้วก็นำกลับไปให้นักโทษช่วยกันคัดเลือกอีกทีหนึ่ง เช่น
ที่เป็นเสื้อก็แยกไว้ในกองเสื้อ ที่เป็นของเล่นก็แยกไว้ในกองของเล่น
ที่เป็นขยะก็นำไปทิ้งในกองขยะ
บางทีเราก็ไปพบกล่องกระดาษเปล่าๆผูกเชือกเอาไว้
แต่พอเปิดออกมากลับมีของมีค่าอยู่ข้างใน เช่น กระเป๋าใส่เงินทำด้วยหนัง
ในกล่องกระดาษบางทีก็มีห่อเศษขนมคุกกี้บ้าง มีเนื้อซึ่งทิ้งไว้นานจนเน่าบ้าง
ถ้าวันใดไปพบขนมคุกกี้หรือแฮมเบอร์เกอร์เข้าก็ถือว่าเป็นโชคดีสำหรับปากท้องของเราไป
เวลาที่ไปทำงานขุดคูที่บริเวณใกล้เตาเผาศพก็สามารถได้ยินเสียงร้องโหยหวนของผู้ที่กำลังถูกผลักเข้าไปในห้องรมก๊าซพิษ
เมื่อไปทำงานอยู่ใกล้สถานีรถไฟก็ได้ยินเสียงเซ็งแซ่ของผู้ที่เพิ่งเดินทางมาถึงใหม่ๆคนเหล่านี้มีใบหน้าบ่งบอกถึงความรู้สึกโล่งอกในขณะที่ลงจากรถไฟ
มองจากสีหน้าก็พอจะดูออกว่า
พวกเขากำลังคิดว่าสิ้นสุดกันทีสำหรับการเดินทางที่แสนหฤโหด
บัดนี้เรามาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
จากภาพที่ช่วยประคองกันลงจากรถไฟก็ดี
พับเก็บเสื้อผ้าหรือผ้าพันคออยู่ก็ดี ปลดกระดุมเสื้อคลุมให้พวกเด็กๆก็ดี ฯลฯ
ล้วนแต่ทำให้ดิฉันย้อนรำลึกถึงความหลังเมื่อครั้งที่เดินทางมาถึงค่ายแห่งนี้ใหม่ๆ
ซึ่งดิฉันเองตอนนั้นก็เคยมีความโล่งอกเหมือนกับคนเหล่านี้
แต่ในที่สุดความฝันทั้งหลายก็พลันสลายไป
เราจะช่วยพวกเขาไม่ให้ทำผิดพลาดเหมือนอย่างที่ดิฉันเคยทำอย่างไรดีนะ?
ดิฉันคิดในขณะที่พวกที่มาใหม่กำลังเดินผ่านไปที่โต๊ะเจ้าหน้าที่คัดเลือกผู้ถูกเนรเทศ
ในขั้นแรกดิฉันได้ไปยืนตรงจุดที่ผู้ถูกเนรเทศหญิงจะเดินผ่าน
แล้วคอยกระซิบบอกผู้ที่กำลังจะเดินผ่านไปเข้าแถวตรงหน้าเจ้าหน้าที่ว่า
“บอกเขานะคะว่า ลูกชายของคุณอายุเกิน 12 ปีแล้ว อย่าให้ลูกสาวของคุณบอกเขาว่าป่วยนะคะ...บอกให้ลูกชายของคุณยืนตัวตรงๆนะคะ...บอกเขานะคะว่าคุณสบายดีไม่ได้เจ็บป่วย”
เมื่อดิฉันกระซิบบอกผู้ถูกเนรเทศหญิงแต่ละคนต่างหันมามองดิฉันด้วยความสงสัย
แล้วย้อนถามดิฉันว่า”ทำไมล่ะ” พวกเขามองมาที่ดิฉันราวกับจะพูดว่า
“ผู้หญิงเนื้อตัวสกปรกคนนี้มีจุดประสงค์อะไรนะจึงมายืนบอกเราเช่นนี้
เธอคงจะเพี้ยนไปแล้วกระมัง”
แต่ละคนต่างไม่เข้าใจในสิ่งที่ดิฉันกระซิบบอกกันเลย
ซ้ำร้ายยังมองดิฉันด้วยสายตาดูหมิ่นเหยียดหยาม
ต่างไม่เข้าใจว่าผู้หญิงในชุดขาดกะรุ่งกะริ่งเนื้อตัวสกปรกคนนี้พูดถึงเรื่องอะไร
เขาไม่เฉลียวใจแม้แต่น้อยว่าอีกหน่อยตัวเองก็ต้องแต่งตัวอย่างนี้บ้าง
เมื่อเป็นเช่นนี้โศกนาฏกรรมก็ได้อุบัติขึ้นอีกครั้งหนึ่งสุดวิสัยที่ดิฉันจะช่วยได้
แต่ละคนซึ่งต้องการจะช่วยลูกของตนไม่ให้ต้องไปทำงานหนักต่างก็พูดเท็จกับเจ้าหน้าที่เมื่อถูกถามเกี่ยวกับอายุของพวกเด็กๆ
โดยบอกว่าลูกของตนอายุไม่ถึง 12 ปี
ซึ่งก็หมาความว่าเด็กเหล่านั้นจะต้องถูกส่งตัวไปยังห้องรมก๊าซพิษ
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายด้วยเสียงตะโกนโหวกเหวกของพวกเยอรมันผสานกับเสียงพูดคุยกัน
พวกนักโทษก็ถูกแยกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มขวากับกลุ่มซ้าย
ซึ่งหมายถึงกลุ่มที่จะมีชีวิตต่อไป กับกลุ่มที่จะถูกนำตัวไปสังหารนั่นเอง
ในขณะที่ดิฉันกำลังมองดูผู้ถูกเนรเทศเหล่านั้นอยู่
ก็ให้นึกแปลกใจขึ้นมาทันทีเมื่อมองไปเห็นชาย 4 คนซึ่งอยู่ในชุดเล่นกีฬาเดินออกมาจากแถวของผู้ถูกเนรเทศ
ชายทั้ง 4 คนแต่งตัวเรียบร้อยหวีผมเรียบแปล้
หน้าตาค่อนข้างจะซีดเซียวไปหน่อยเพราะเดินทางรอนแรมมาไกล
เมื่อทหารยามรักษาการณ์เห็นเช่นนั้นจึงตรงเข้าไปผลักชายทั้ง 4
คนเพื่อให้กลับเข้าไปเข้าแถวอย่างเดิม แต่ทั้ง 4
คนไม่ยอมพร้อมกับบอกยามนายนั้นว่าต้องการพบ”ผู้บังคับบัญชา”สูงสุดในค่ายแห่งนี้
นายทหารเยอรมันผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่ในบริเวณนั้นเห็นเหตุการณ์นั้นพอดี
จึงให้สัญญาณบอกทหารให้ปล่อยทั้ง 4 คนนั้นมาพบตน
ดิฉันยืนห่างออกไปประมาณ 10
หลา จึงสามารถได้ยินคำสนทนาโต้ตอบระหว่างชายทั้ง 4
คนกับนายทหารเยอรมันผู้นั้นได้อย่างชัดเจน ดิฉันประหลาดใจมากที่ได้ยินชายทั้ง 4
คนพูดภาษาอังกฤษกับนายทหารเยอรมัน
นายทหารเยอรมันผู้นั้นฟังภาษาอังกฤษออก
แต่หลังจากเจรจากันสักครู่หนึ่ง เขาได้ขอร้องให้ชาย 4 คนนั้นพูดภาษเยอรมัน แต่ใน 4
คนนั้นมีเพียงคนเดียวที่พูดภาษาเยอรมันแบบงูๆปลาๆ
จึงทำหน้าที่เป็นล่ามให้กับเพื่อนๆ
ดิฉันจับใจความคำพูดของล่ามผู้นี้ได้ว่า
กำลังโต้เถียงกันในเรื่องที่พวกเยอรมันย้ายพวกเขาจากค่ายแห่งหนึ่งเพื่อให้มาอยู่ที่ค่ายแห่งนี้
โดยแย้งว่าพวกเยอรมันไม่มีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนี้
นายทหารเยอรมันผู้นั้นเมื่อฟังข้อโต้แย้งก็หัวเราะอย่างขบขัน
“พวกเราไม่มีสิทธิ์รึ” เขาถามชายทั้ง 4 คนด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย
“แน่นอน พวกคุณไม่มีสิทธิ์” ชายที่ทำหน้าที่เป็นล่ามตอบแทนเพื่อนๆ
“เพราะพวกเราไม่ได้เป็นยิว”
“เราไม่สนใจว่าพวกคุณเป็นยิวหรือไม่ แต่พวกคุณเป็นคนอเมริกันมิใช่รึ”
นายทหารเยอรมันพูดตอบโต้
“เพราะฉะนั้นผมจึงขอให้พวกคุณปฏิบัติต่อพวกเราตามบทบัญญัติของกฎหมายระหว่างประเทศ
คือส่งพวกเรากลับสหรัฐอเมริกา””ล่ามคนนั้นเจรจา
“ได้ซีครับ” นายทหารเยอรมันตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“เราจะส่งคำร้องของคุณไปยังรัฐบาลเมริกัน
ขอให้พวกคุณอดใจรอจนกว่าเราจะจัดการยื่นข้อเสนอของพวกคุณไปยังกรุงวอชิงตัน”
“พาสุภาพบุรุษทั้ง 4 คนนี้ไปที่ค่ายอเมริกัน”
นายทหารเยอรมันอีกคนหนึ่งออกคำสั่ง
พวกทหารยามทำวันทยาวุธแล้วปฏิบัติตามคำสั่ง โดยพาทหารอเมริกันทั้ง 4
คนออกจากสถานีรถไฟเข้าไปในป่าที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 150 ฟุต
อีก 2-3 นาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด
แต่ด้วยเหตุที่การยิงปืนเป็นเรื่องธรรมดาในค่ายเบอร์เคเนา
ดิฉันจึงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
ส่วนทางด้านสถานีรถไฟในขณะที่พวกนักโทษในค่ายกักกันยังคงเล่นดนตรีต้อนรับเชลยที่มาใหม่อยู่นั้น
แถวของผู้ถูกเนรเทศก็กำลังเคลื่อนตัวเข้ารับการคัดเลือกอย่างช้าๆ
อีก 2-3
สัปดาห์ต่อมาดิฉันกับเพื่อนๆได้กลับมาที่สถานีรถไฟอีกครั้งหนึ่งเพื่อมาขนกระเป๋าของผู้ถูกเนรเทศไปเก็บที่คลังแคนาดา
เราพบกระเป๋าเดินทางกองหนึ่ง ซึ่งแต่ละใบมีลักษณะคล้ายๆกัน
เมื่อเปิดดูข้างในก็พบว่ามีเสื้อเชิ้ทติดเครื่องหมายยศทหารอเมริกัน ไม้ตีเทนนิส
เสื้อสเวตเตอร์ กล้องถ่ายรูป และรูปหมู่เด็กๆอีกหลายรูป
นอกจากนั้นเรายังได้พบแผ่นเสียงพร้อมกับเครื่องเล่นอยู่ในกระเป๋าใบหนึ่งด้วย
นักโทษหญิงสูงอายุคนหนึ่งเกิดอยากฟังขึ้นมาจึงนำแผ่นเสียงไปเปิด
ปรากฏว่าเป็นเพลงแบบที่พวกเด็กๆร้องกันหน้าประตูบ้านในวันคริสต์มาส
มีความไพเราะเพราะพริ้งมาก
เมื่อนักโทษคนอื่นๆได้ยินเสียงเพลงนั้นต่างก็หยุดทำงานหันมาฟังด้วยความแปลกใจ
ยามรักษาการณ์ชาวเยอรมันนายหนึ่งเผอิญได้ยินเสียงแผ่นเสียงนี้ด้วย
ก็รีบวิ่งเข้ามาในห้องแล้วใช้รองเท้าหุ้มข้อเตะเครื่องเปิดแผ่นเสียงและใช้เท้ากระทืบแผ่นเสียงแผ่นนั้นแตกกระจาย
เมื่อยามผู้นั้นเดินออกจากห้องไปแล้ว
ดิฉันลองนำแผ่นเสียงที่แตกกระจายนั้นมาเรียงต่อกันใหม่ แล้วอ่านป้ายชื่อเพลง
ปรากฏว่าเพลงที่เราฟังไปแล้วคือเพลง ไซเลนท์ ไนท์(Silent Night) ขับร้องโดย
บิง ครอสบี(Bing Crosby)
อย่างน้อยที่สุดเสียงเพลงของนักร้องอเมริกันคนนี้ก็ช่วยให้เราเคลิบเคลิ้มจนลืมความทุกข์ยากในค่ายเอาส์ชวิตซ์ไปได้ชั่วขณะ
ขณะที่ดิฉันกำลังจะโยนภาพถ่ายต่างๆที่พบอยู่ในกระเป๋าเดินทางทิ้งในกองขยะอยู่นั้น
ก็เผอิญเหลือบไปเห็นภาพถ่ายหมู่ภาพหนึ่งน่าสนใจมาก
เลยจ้องมองภาพนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์
“เราเคยเห็นคนเหล่านี้ที่ไหนมาก่อนนะ” ดิฉันพยายามคิดทบทวน
ในที่สุดก็จำได้ว่าคนที่อยู่ในภาพเหล่านี้คือคนอเมริกันที่ดิฉันเห็นที่สถานีรถไฟเมื่อ
2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมานั่นเอง
“ค่ายอเมริกันอยู่ที่ไหนคะ”
ดิฉันถามนักโทษหญิงสูงอายุคนที่เปิดแผ่นเสียงเมื่อสักครู่
“แกไม่รู้รึว่า ที่นี่ไม่มีค่ายอเมริกัน”
“แต่ดิฉันได้ยินมาว่ามันมีนี่คะ” ดิฉันเถียง
“แกนี่เถียงคำไม่ตกฟากเลยนะ แกอยากรู้จริงๆใช่มั้ย ฉันจะบอกให้ก็ได้
ค่ายอเมริกันก็อยู่ในที่เดียวกับค่ายคนชราและเด็กนั่นแหละ” นางทำตาเขียวบอกดิฉัน
“ป้าหมายถึงว่า พวกเยอรมันกล้าพอที่จะสังหารพวกอเมริกันทั้ง 4
คนหรือเปล่าคะ” ดิฉันถามด้วยความสงสัย”มันจะเป็นไปได้อย่างไร”
นักโทษหญิงสูงอายุยิ้มด้วยความพึงพอใจ แล้วตอบว่า
“คนอเมริกันนั่นแหละตัวดี เหมาะที่จะถูกจับยัดเข้าไปในเตาเผาศพ
เพราะในสายตาของคนเยอรมัน คนอเมริกันเป็นศัตรูเหมือนๆกับพวกเรา
การฆ่าคนไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับคนเยอรมันแม้แต่น้อย และพวกเขาได้นำคนอเมริกันทั้ง 4
คนไปยิงทิ้งป่าแล้ว นั่นแหละคือค่ายอเมริกัน”.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น