Ads

วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 12 โรงเก็บศพ



ขณะทำงานอยู่ในโรงพยาบาลหน้าที่ของดิฉันไม่ใช่เพียงแต่ตรวจรักษาคนไข้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงงานเคลื่อนย้ายศพจากโรงพยาบาลไปเก็บยังโรงเก็บอีกด้วย ซึ่งก่อนที่จะนำศพไปเก็บนั้นต้องช่วยกันทำความสะอาดก่อนเสมอ นับว่าเป็นงานที่ฝืนความรู้สึกอยู่ไม่น้อย เนื่องจากศพเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เคยเป็นคนไข้ของเรามาก่อน

ส่วนในทางปฏิบัติก็เกิดความขลุกขลักอยู่ไม่น้อยเพราะขาดแคลนน้ำที่จะนำมาใช้ทำความสะอาด ซึ่งตามความจริงแล้วอย่าว่าแต่จะนำมาใช้ล้างศพเลย แม้แต่จะนำมาใช้กับคนไข้ปกติก็แทบจะหาไม่ได้อยู่แล้ว

เมื่อทำความสะอาดศพเสร็จพวกเยอรมันก็จะบังคับให้หามไปยังโรงเก็บ ภายหลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว ปัญหาที่เจอก็คือหาน้ำและสบู่มาล้างมือได้ยากมาก

ในตอนหามศพไปโรงศพดิฉันกับเพื่อนอีกคนหนึ่งช่วยกันนำศพลงเปลหามไป โดยมีพวกเยอรมันมาคอยบงการอยู่อย่างใกล้ชิด ซึ่งกว่าจะไปถึงที่เก็บก็แทบแย่ ต้องเดินโซซัดโซเซหามไปเป็นเวลานานถึงครึ่งชั่วโมง

งานหนักเช่นนี้น่าจะเป็นเรื่องของพวกผู้ชายที่บึกบึนแข็งแรงมากกว่าพวกเราผู้หญิงซึ่งเป็นเพศที่อ่อนแอ เวลาหามไปก็มียามเดินตามไปด้วย ซึ่งจะไม่ยอมให้เราหยุดพักเลยแม้แต่น้อย

 ลักษณะการปฏิบัติต่อนักโทษด้วยความทารุณโหดร้ายและขาดมนุษยธรรมเช่นนี้ ถือกันว่าเป็นปกติวิสัยในค่ายเบอร์เคเนา

เมื่อหามศพไปถึงประตูโรงเก็บแล้วก็ช่วยกันลากลงจากเปล แล้วนำไปกองรวมกันกับศพรายอื่นๆที่นำมาเก็บรวมกันไว้ ในเวลาเหน็ดเหนื่อยมีเหงื่อออกมามากอยากจะเอามือลูบหน้าก็ไม่กล้า เพราะแต่ละคนมือสกปรกเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำเลือดน้ำหนองของซากศพ

ในบรรดางานที่ดิฉันที่เคยทำมาคงจะไม่มีงานใดที่น่าเกลียดน่ากลัวและฝังอยู่ในความทรงจำเท่ากับงานนี้อีกแล้ว คิดดูซิคะ ในเวลาลำเอียงศพเข้าไปในโรงเก็บนั้นต้องเหยียบย่ำลงไปบนกองซากศพของคนตาย ซึ่งหลายต่อหลายศพเสียชีวิตด้วยโรคติดต่อร้ายแรง

ตราบจนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ว่า ทำไมตอนนั้นตัวเองถึงทำงานหนักและน่าขยะแขยงเช่นนี้ได้โดยไม่เป็นอะไรเลย ซึ่งแตกต่างจากเพื่อนๆที่เป็นลมล้มพับกันไปหลายราย

ในเวลาทำงานขนศพอยู่นั้นเราจะถูกทุบตีอยู่เสมอเนื่องจากพวกทหารเยอรมันหาว่าทำงานอืดอาดล่าช้าไม่ทันใจ จึงถือไม้กระบองคอยร้องตะโกนเร่ง เมื่อทำไม่ทันใจก็จะใช้ไม้กระบองกระหน่ำตีอย่างไม่ปรานี

มีเด็กสาวคนหนึ่งเป็นนักศึกษาจากกรุงวอร์ซอได้มาช่วยเราหามศพอยู่เป็นเวลานาน เด็กสาวชาวโปแลนด์คนนี้คิดถึงคุณแม่ของเธอมากและมักจะเอาเรื่องนี้มาปรับทุกข์กับเราอยู่เสมอ เมื่อเอ่ยถึงคุณแม่ทีไรก็จะพูดด้วยความโล่งอกว่า

“คุณแม่ของดิฉันท่านซ่อนตัวอยู่ในภูเขา ไม่มีทางที่พวกเยอรมันมันจะหาท่านพบแน่”

อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ดิฉันกับเธอกำลังช่วยกันหามศพเข้าไปในโรงเก็บศพนั้น ไม่ทราบเป็นเพราะอะไรจู่ๆเธอเกิดร้องไห้โฮขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ดิฉันต้องรีบนำตัวออกมาก่อนที่พวกเยอรมันจะพบเห็นเข้า ซึ่งเมื่อสอบถามความเป็นไปก็ทราบว่าเธอเหลือบไปเห็นศพคุณแม่ที่คิดว่าปลอดภัยแล้วนั้นนอนรวมอยู่ในกองศพในห้องนั้นด้วย

เมื่อพิจารณาจากสภาพของศพต่างๆที่อยู่ในโรงเก็บนั้นแล้วก็พอที่จะอนุมานถึงชีวิตความเป็นอยู่ของนักโทษก่อนเสียชีวิตได้เป็นอย่างดี

นักโทษส่วนมากหลังจากเข้ามาอยู่ในค่ายกักกันเพียงชั่วระยะไม่นาน ก็จะมีร่างกายผ่ายผอมโซไม่ผิดอะไรกับโครงกระดูดเกินได้ ทั้งนี้เพราะมีอาหารบริโภคไม่เพียงพอนั่นเอง

น้ำหนักตัวจะลดลงจากเดิมประมาณ 50-60 เปอร์เซ็นต์ ส่วนความสูงก็จะลดลงจากเดิมมาก โดยเฉลี่ยแล้วนักโทษจะมีน้ำหนักตัวเหลืออยู่เพียง 60-70 ปอนด์เท่านั้น ซึ่งแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ การขาดอาหารก็ยังทำให้นักโทษอีกส่วนหนึ่งมีร่างกายผิดปกติอีกด้วย

นักโทษหญิงในค่ายมักมีปัญหาเรื่องประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ หลังจากกองทัพพันธมิตรเข้าไปปลดปล่อยค่ายเอาส์ชวิตซ์แล้ว มีศาสตราจารย์ชาวรัสเซียท่านหนึ่งได้ทำการวิจัยพบว่า นักโทษหญิงในค่ายเอาส์ชวิตซ์เก้าในสิบคนมีรังไข่หายไป 


เพราะเหตุนี้เองทำให้พวกเธอมีประจำเดือนมาไม่ปกติ ปัจจัยที่ทำให้รังไข่หายไปนั้นน่าจะมีสาเหตุมาจากสภาพแวดล้อมที่นักโทษหญิงตกอยู่ในสภาวะแห่งความกลัวตลอดเวลานั่นเอง

นอกจากนั้นผงเคมีชนิดหนึ่งที่พวกเยอรมันผสมลงไปในอาหารให้นักโทษรับประทานก็น่าจะเป็นปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ประจำเดือนขาดๆหายไป

มีผู้กล่าวว่า พวกเยอรมันผสมผมเคมีนั่นลงไปในอาหารโยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นักโทษมีความรู้สึกเฉื่อยชาในทางเพศ ซึ่งในประเด็นนี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้

อย่างไรก็ตามก็เคยได้ทราบมาว่า ราชินีประจำค่าย,พวกหัวหน้าคุกหญิง,เจ้าหน้าที่แจกอาหารในคุก รวมทั้งพวกคนครัว ไม่มีปัญหาเรื่องประจำเดือนไมมาตามปกติเลย

ก็เป็นที่น่าสังเกตว่า คนเหล่านี้ไม่ได้รับประทานอาหารแบบเดียวกับที่ปรุงให้นักโทษธรรมดา

ดิฉันมีเหตุผลเพียงพอที่จะเชื่อว่าพวกเยอรมันใช้ผงเคมีลึกลับชนิดหนึ่งเพื่อทำร้ายพวกเรา ครั้งหนึ่งได้เคยถามเรื่องนี้กับนักโทษหญิงคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในโรงครัว ซึ่งเธอยืนยันว่ามีคำสั่งให้ผสมสารชนิดนี้ลงไปในอาหารที่นำมาให้พวกเรารับประทานกัน

“จริงๆรึเธอ ช่วยหาผงนั้นให้ฉันหน่อยได้มั้ย” ดิฉันขอร้องแม่ครัว”เผื่อว่าฉันมีโอกาสอกจากที่นี่ไปจะได้ใช้มันเป็นหลักฐานเล่นงานพวกเยอรมัน”

“ฉันหาผงนั้นให้เธอไม่ได้หรอก”แม่ครัวคนนั้นตอบ”เพราะปกติผู้หญิงเยอรมันจากหน่วยเอสเอสจะเป็นผู้ผสมผงนั้นลงไปในอาหารด้วยตัวของเธอเอง และในขณะผสมก็จะห้ามไม่ให้ใครเข้าไปใกล้”


เพราะเหตุนี้เองสภาพร่างกายของนักโทษจึงเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะเพิ่งเข้ามาอยู่ในค่ายเพียงไม่กี่สัปดาห์ พวกนักโทษจะหมดความกระปรี้กระเปร่าเฉื่อยชาไม่กระฉับกระเฉง เวลาเดินก็เหมือนคนไม่มีเรี่ยวแรง เมื่อถึงฤดูหนาวกล้ามเนื้อส่วนแขนจะตึง จะหยิบจับอะไรก็ทำได้ด้วยความยากลำบาก

ส่วนทางด้านสมองนั้นนักโทษก็แสดงออกมาให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมเช่นกัน กล่าวคือ มีความจำเสื่อม ไม่มีสมาธิ นั่งเหม่อ ใจลอย ไม่สนใจใยดีต่อชีวิต มีความวางเฉยแม้กระทั่งในตอนที่ถูกนำตัวไปเข้าห้องรมก๊าซพิษ  เมื่อนักโทษมีลักษณะทางสมองเช่นนี้ก็นับว่าง่ายสำหรับพวกเยอรมันที่จะนำไปประหารชีวิต

ดิฉันสามารถบอกได้ว่าระหว่างงานขุดคูใกล้กับเตาเผาศพกับงานเก็บขยะใกล้สถานีรถไฟชนิดไหนเป็นงานงานหนักกว่ากัน

เวลาที่ไปทำงานใกล้สถานีรถไฟเราจะถือถุงขยะใบใหญ่ๆไปด้วย จะเก็บกวาดเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้ถูกเนรเทศที่เดินทางมาถึงใหม่ๆพากันทิ้งลงมาจากรถไฟ อาทิ หนังสือพิมพ์จากประเทศต่างๆ กระป๋องปลาซาร์ดีนเปล่า ขวดแตก ของเล่นเด็ก ช้อนฯลฯ

บางทีก็ไปทำหน้าที่ขนกระเป๋าเดินทางจากสถานีรถไฟไปเก็บไว้ในคลังแคนาดา แต่ส่วนใหญ่เป็นงานเก็บขยะและของเก่าๆเสียมากกว่า เมื่อได้ของเต็มถุงแล้วก็นำกลับไปให้นักโทษช่วยกันคัดเลือกอีกทีหนึ่ง เช่น ที่เป็นเสื้อก็แยกไว้ในกองเสื้อ ที่เป็นของเล่นก็แยกไว้ในกองของเล่น ที่เป็นขยะก็นำไปทิ้งในกองขยะ

บางทีเราก็ไปพบกล่องกระดาษเปล่าๆผูกเชือกเอาไว้ แต่พอเปิดออกมากลับมีของมีค่าอยู่ข้างใน เช่น กระเป๋าใส่เงินทำด้วยหนัง ในกล่องกระดาษบางทีก็มีห่อเศษขนมคุกกี้บ้าง มีเนื้อซึ่งทิ้งไว้นานจนเน่าบ้าง ถ้าวันใดไปพบขนมคุกกี้หรือแฮมเบอร์เกอร์เข้าก็ถือว่าเป็นโชคดีสำหรับปากท้องของเราไป

เวลาที่ไปทำงานขุดคูที่บริเวณใกล้เตาเผาศพก็สามารถได้ยินเสียงร้องโหยหวนของผู้ที่กำลังถูกผลักเข้าไปในห้องรมก๊าซพิษ เมื่อไปทำงานอยู่ใกล้สถานีรถไฟก็ได้ยินเสียงเซ็งแซ่ของผู้ที่เพิ่งเดินทางมาถึงใหม่ๆคนเหล่านี้มีใบหน้าบ่งบอกถึงความรู้สึกโล่งอกในขณะที่ลงจากรถไฟ มองจากสีหน้าก็พอจะดูออกว่า พวกเขากำลังคิดว่าสิ้นสุดกันทีสำหรับการเดินทางที่แสนหฤโหด บัดนี้เรามาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

จากภาพที่ช่วยประคองกันลงจากรถไฟก็ดี พับเก็บเสื้อผ้าหรือผ้าพันคออยู่ก็ดี ปลดกระดุมเสื้อคลุมให้พวกเด็กๆก็ดี ฯลฯ ล้วนแต่ทำให้ดิฉันย้อนรำลึกถึงความหลังเมื่อครั้งที่เดินทางมาถึงค่ายแห่งนี้ใหม่ๆ ซึ่งดิฉันเองตอนนั้นก็เคยมีความโล่งอกเหมือนกับคนเหล่านี้ แต่ในที่สุดความฝันทั้งหลายก็พลันสลายไป

เราจะช่วยพวกเขาไม่ให้ทำผิดพลาดเหมือนอย่างที่ดิฉันเคยทำอย่างไรดีนะ? ดิฉันคิดในขณะที่พวกที่มาใหม่กำลังเดินผ่านไปที่โต๊ะเจ้าหน้าที่คัดเลือกผู้ถูกเนรเทศ ในขั้นแรกดิฉันได้ไปยืนตรงจุดที่ผู้ถูกเนรเทศหญิงจะเดินผ่าน แล้วคอยกระซิบบอกผู้ที่กำลังจะเดินผ่านไปเข้าแถวตรงหน้าเจ้าหน้าที่ว่า

“บอกเขานะคะว่า ลูกชายของคุณอายุเกิน 12 ปีแล้ว อย่าให้ลูกสาวของคุณบอกเขาว่าป่วยนะคะ...บอกให้ลูกชายของคุณยืนตัวตรงๆนะคะ...บอกเขานะคะว่าคุณสบายดีไม่ได้เจ็บป่วย”

เมื่อดิฉันกระซิบบอกผู้ถูกเนรเทศหญิงแต่ละคนต่างหันมามองดิฉันด้วยความสงสัย แล้วย้อนถามดิฉันว่า”ทำไมล่ะ” พวกเขามองมาที่ดิฉันราวกับจะพูดว่า

“ผู้หญิงเนื้อตัวสกปรกคนนี้มีจุดประสงค์อะไรนะจึงมายืนบอกเราเช่นนี้ เธอคงจะเพี้ยนไปแล้วกระมัง”

แต่ละคนต่างไม่เข้าใจในสิ่งที่ดิฉันกระซิบบอกกันเลย ซ้ำร้ายยังมองดิฉันด้วยสายตาดูหมิ่นเหยียดหยาม ต่างไม่เข้าใจว่าผู้หญิงในชุดขาดกะรุ่งกะริ่งเนื้อตัวสกปรกคนนี้พูดถึงเรื่องอะไร

เขาไม่เฉลียวใจแม้แต่น้อยว่าอีกหน่อยตัวเองก็ต้องแต่งตัวอย่างนี้บ้าง เมื่อเป็นเช่นนี้โศกนาฏกรรมก็ได้อุบัติขึ้นอีกครั้งหนึ่งสุดวิสัยที่ดิฉันจะช่วยได้

แต่ละคนซึ่งต้องการจะช่วยลูกของตนไม่ให้ต้องไปทำงานหนักต่างก็พูดเท็จกับเจ้าหน้าที่เมื่อถูกถามเกี่ยวกับอายุของพวกเด็กๆ โดยบอกว่าลูกของตนอายุไม่ถึง 12 ปี ซึ่งก็หมาความว่าเด็กเหล่านั้นจะต้องถูกส่งตัวไปยังห้องรมก๊าซพิษ

ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายด้วยเสียงตะโกนโหวกเหวกของพวกเยอรมันผสานกับเสียงพูดคุยกัน พวกนักโทษก็ถูกแยกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มขวากับกลุ่มซ้าย ซึ่งหมายถึงกลุ่มที่จะมีชีวิตต่อไป กับกลุ่มที่จะถูกนำตัวไปสังหารนั่นเอง

ในขณะที่ดิฉันกำลังมองดูผู้ถูกเนรเทศเหล่านั้นอยู่ ก็ให้นึกแปลกใจขึ้นมาทันทีเมื่อมองไปเห็นชาย 4 คนซึ่งอยู่ในชุดเล่นกีฬาเดินออกมาจากแถวของผู้ถูกเนรเทศ ชายทั้ง 4 คนแต่งตัวเรียบร้อยหวีผมเรียบแปล้ หน้าตาค่อนข้างจะซีดเซียวไปหน่อยเพราะเดินทางรอนแรมมาไกล

เมื่อทหารยามรักษาการณ์เห็นเช่นนั้นจึงตรงเข้าไปผลักชายทั้ง 4 คนเพื่อให้กลับเข้าไปเข้าแถวอย่างเดิม แต่ทั้ง 4 คนไม่ยอมพร้อมกับบอกยามนายนั้นว่าต้องการพบ”ผู้บังคับบัญชา”สูงสุดในค่ายแห่งนี้

นายทหารเยอรมันผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่ในบริเวณนั้นเห็นเหตุการณ์นั้นพอดี จึงให้สัญญาณบอกทหารให้ปล่อยทั้ง 4 คนนั้นมาพบตน

 ดิฉันยืนห่างออกไปประมาณ 10 หลา จึงสามารถได้ยินคำสนทนาโต้ตอบระหว่างชายทั้ง 4 คนกับนายทหารเยอรมันผู้นั้นได้อย่างชัดเจน ดิฉันประหลาดใจมากที่ได้ยินชายทั้ง 4 คนพูดภาษาอังกฤษกับนายทหารเยอรมัน

นายทหารเยอรมันผู้นั้นฟังภาษาอังกฤษออก แต่หลังจากเจรจากันสักครู่หนึ่ง เขาได้ขอร้องให้ชาย 4 คนนั้นพูดภาษเยอรมัน แต่ใน 4 คนนั้นมีเพียงคนเดียวที่พูดภาษาเยอรมันแบบงูๆปลาๆ จึงทำหน้าที่เป็นล่ามให้กับเพื่อนๆ

ดิฉันจับใจความคำพูดของล่ามผู้นี้ได้ว่า กำลังโต้เถียงกันในเรื่องที่พวกเยอรมันย้ายพวกเขาจากค่ายแห่งหนึ่งเพื่อให้มาอยู่ที่ค่ายแห่งนี้ โดยแย้งว่าพวกเยอรมันไม่มีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนี้

นายทหารเยอรมันผู้นั้นเมื่อฟังข้อโต้แย้งก็หัวเราะอย่างขบขัน

“พวกเราไม่มีสิทธิ์รึ” เขาถามชายทั้ง 4 คนด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย

“แน่นอน พวกคุณไม่มีสิทธิ์” ชายที่ทำหน้าที่เป็นล่ามตอบแทนเพื่อนๆ

“เพราะพวกเราไม่ได้เป็นยิว”

“เราไม่สนใจว่าพวกคุณเป็นยิวหรือไม่ แต่พวกคุณเป็นคนอเมริกันมิใช่รึ” นายทหารเยอรมันพูดตอบโต้

“เพราะฉะนั้นผมจึงขอให้พวกคุณปฏิบัติต่อพวกเราตามบทบัญญัติของกฎหมายระหว่างประเทศ คือส่งพวกเรากลับสหรัฐอเมริกา””ล่ามคนนั้นเจรจา

“ได้ซีครับ” นายทหารเยอรมันตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

“เราจะส่งคำร้องของคุณไปยังรัฐบาลเมริกัน ขอให้พวกคุณอดใจรอจนกว่าเราจะจัดการยื่นข้อเสนอของพวกคุณไปยังกรุงวอชิงตัน”

“พาสุภาพบุรุษทั้ง 4 คนนี้ไปที่ค่ายอเมริกัน” นายทหารเยอรมันอีกคนหนึ่งออกคำสั่ง

พวกทหารยามทำวันทยาวุธแล้วปฏิบัติตามคำสั่ง โดยพาทหารอเมริกันทั้ง 4 คนออกจากสถานีรถไฟเข้าไปในป่าที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 150 ฟุต

อีก 2-3 นาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด แต่ด้วยเหตุที่การยิงปืนเป็นเรื่องธรรมดาในค่ายเบอร์เคเนา ดิฉันจึงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก

ส่วนทางด้านสถานีรถไฟในขณะที่พวกนักโทษในค่ายกักกันยังคงเล่นดนตรีต้อนรับเชลยที่มาใหม่อยู่นั้น แถวของผู้ถูกเนรเทศก็กำลังเคลื่อนตัวเข้ารับการคัดเลือกอย่างช้าๆ


อีก 2-3 สัปดาห์ต่อมาดิฉันกับเพื่อนๆได้กลับมาที่สถานีรถไฟอีกครั้งหนึ่งเพื่อมาขนกระเป๋าของผู้ถูกเนรเทศไปเก็บที่คลังแคนาดา

เราพบกระเป๋าเดินทางกองหนึ่ง ซึ่งแต่ละใบมีลักษณะคล้ายๆกัน เมื่อเปิดดูข้างในก็พบว่ามีเสื้อเชิ้ทติดเครื่องหมายยศทหารอเมริกัน ไม้ตีเทนนิส เสื้อสเวตเตอร์ กล้องถ่ายรูป และรูปหมู่เด็กๆอีกหลายรูป

นอกจากนั้นเรายังได้พบแผ่นเสียงพร้อมกับเครื่องเล่นอยู่ในกระเป๋าใบหนึ่งด้วย นักโทษหญิงสูงอายุคนหนึ่งเกิดอยากฟังขึ้นมาจึงนำแผ่นเสียงไปเปิด ปรากฏว่าเป็นเพลงแบบที่พวกเด็กๆร้องกันหน้าประตูบ้านในวันคริสต์มาส มีความไพเราะเพราะพริ้งมาก เมื่อนักโทษคนอื่นๆได้ยินเสียงเพลงนั้นต่างก็หยุดทำงานหันมาฟังด้วยความแปลกใจ

ยามรักษาการณ์ชาวเยอรมันนายหนึ่งเผอิญได้ยินเสียงแผ่นเสียงนี้ด้วย ก็รีบวิ่งเข้ามาในห้องแล้วใช้รองเท้าหุ้มข้อเตะเครื่องเปิดแผ่นเสียงและใช้เท้ากระทืบแผ่นเสียงแผ่นนั้นแตกกระจาย

เมื่อยามผู้นั้นเดินออกจากห้องไปแล้ว ดิฉันลองนำแผ่นเสียงที่แตกกระจายนั้นมาเรียงต่อกันใหม่ แล้วอ่านป้ายชื่อเพลง ปรากฏว่าเพลงที่เราฟังไปแล้วคือเพลง ไซเลนท์ ไนท์(Silent Night) ขับร้องโดย บิง ครอสบี(Bing Crosby)

อย่างน้อยที่สุดเสียงเพลงของนักร้องอเมริกันคนนี้ก็ช่วยให้เราเคลิบเคลิ้มจนลืมความทุกข์ยากในค่ายเอาส์ชวิตซ์ไปได้ชั่วขณะ

ขณะที่ดิฉันกำลังจะโยนภาพถ่ายต่างๆที่พบอยู่ในกระเป๋าเดินทางทิ้งในกองขยะอยู่นั้น ก็เผอิญเหลือบไปเห็นภาพถ่ายหมู่ภาพหนึ่งน่าสนใจมาก เลยจ้องมองภาพนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์

“เราเคยเห็นคนเหล่านี้ที่ไหนมาก่อนนะ” ดิฉันพยายามคิดทบทวน

ในที่สุดก็จำได้ว่าคนที่อยู่ในภาพเหล่านี้คือคนอเมริกันที่ดิฉันเห็นที่สถานีรถไฟเมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมานั่นเอง

“ค่ายอเมริกันอยู่ที่ไหนคะ” ดิฉันถามนักโทษหญิงสูงอายุคนที่เปิดแผ่นเสียงเมื่อสักครู่

“แกไม่รู้รึว่า ที่นี่ไม่มีค่ายอเมริกัน”

“แต่ดิฉันได้ยินมาว่ามันมีนี่คะ” ดิฉันเถียง

“แกนี่เถียงคำไม่ตกฟากเลยนะ แกอยากรู้จริงๆใช่มั้ย ฉันจะบอกให้ก็ได้ ค่ายอเมริกันก็อยู่ในที่เดียวกับค่ายคนชราและเด็กนั่นแหละ” นางทำตาเขียวบอกดิฉัน

“ป้าหมายถึงว่า พวกเยอรมันกล้าพอที่จะสังหารพวกอเมริกันทั้ง 4 คนหรือเปล่าคะ” ดิฉันถามด้วยความสงสัย”มันจะเป็นไปได้อย่างไร”


นักโทษหญิงสูงอายุยิ้มด้วยความพึงพอใจ แล้วตอบว่า


“คนอเมริกันนั่นแหละตัวดี เหมาะที่จะถูกจับยัดเข้าไปในเตาเผาศพ เพราะในสายตาของคนเยอรมัน คนอเมริกันเป็นศัตรูเหมือนๆกับพวกเรา การฆ่าคนไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับคนเยอรมันแม้แต่น้อย และพวกเขาได้นำคนอเมริกันทั้ง 4 คนไปยิงทิ้งป่าแล้ว นั่นแหละคือค่ายอเมริกัน”.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น