Ads

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 22 เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์



ขณะทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลในค่ายเอฟ.เค.แอล.และค่าอี.ดิฉันเคยให้การรักษาพยาบาลนักโทษชายหลายคนที่เคยตกเป็นเหยื่อให้พวกเยอรมันใช้เป็นหนูตะเภาในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ในค่ายเอาส์ชวิตซ์-เบอร์เคเนา

พวกแพทย์เยอรมันมีผู้ถูกเนรเทศเป็นทาสอยู่ในความปกครองมากมายจึงมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้กับทาสเหล่านี้ตามต้องการ

สิ่งหนึ่งที่เขาทำก็คือนำคนมาใช้ทดลองทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วแพทย์ดีๆที่มีจรรยาบรรณแพทย์เขาจะรังเกียจที่จะใช้มนุษย์มาทดลอง แต่แพทย์นาซีถือว่าตนได้ลาภลอยเลยยินดีที่จะใช้มนุษย์ตาดำๆมาทำการทดลองเพื่อสร้างความก้าวหน้าทางด้านการแพทย์ของตน

พวกแพทย์นาซีนอกจากจะทำการทดลองด้วยตนเองแล้วก็ยังบังคับให้แพทย์ผู้ถูกเนรเทศอีกหลายคนให้เข้าร่วมการทดลองภายใต้การควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ประจำหน่วยเอสเอส

การทดลองที่น่ารังเกียจเช่นนี้ผู้ที่ทำการทดลองอาจจะหาข้อแก้ตัวว่า เป็นการกระทำเพื่อความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และคิดเข้าข้างตนเองว่า ความทุกข์ทรมานของหนูตะเภามนุษย์ผู้โชคร้ายเหล่านี้ จะช่วยให้ผู้อื่นได้รอดพ้นจากความทุกข์ในที่สุด

ทว่าการทดลองที่พวกเยอรมันกระทำกันนั้นมันไม่ได้เกิดประโยชน์ทางด้านวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด ชีวิตมนุษย์เป็นเรือนแสนถูกนำมาสังเวยให้กับการทดลองที่ไม่มีผลอะไรออกมาอย่างชัดแจ้ง

บรรดาแพทย์ผู้ถูกเนรเทศที่ถูกบังคับให้ไปร่วมทำงานดังกล่าวนี้กับพวกเยอรมันต่างก็ตระหนักในข้อนี้เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ยังตระหนักเป็นอย่างดีด้วยว่า แม้ว่าพวกเขาจะล่มหัวจมท้ายทำการทดลองกับพวกเยอรมันอย่างเต็มที่อย่างไร แต่ในที่สุดพวกเขาก็ถูกพวกเยอรมันนำตัวไปเผาในเตาเผาศพอยู่ดีนั่นเอง

ดังนั้นพวกแพทย์ผู้ถูกเนรเทศเหล่านี้จึงได้พยายามทุกวิถีทางที่จะทำลายโครงการ นอกจากนั้นแล้วการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่ถูกหลักการเหล่านี้ก็เป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมเกินกว่าที่จะยอมรับได้

ซึ่งมันก็ไม่ผิดอะไรกับการของเด็กซุกซนที่จับตัวแมลงมาฉีกขาและปีกของมันทิ้ง จะแตกต่างกันอยู่บ้างตรงที่ว่า เด็กทำกับแมลงแต่พวกเยอรมันกระทำกับมนุษย์ตาดำๆเท่านั้นเอง

การทดลองที่นิยมทำกันมากและถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์อย่างหนึ่ง ก็คือ การฉีดเชื้อโรคเข้าไปในร่างกายของนักโทษ ซึ่งพวกแพทย์เยอรมันทำการทดลองไปได้ไม่ตลอด ก็เลิกให้ความสนใจในโครงการนั้นในระยะต่อมา

ผลจึงตกหนักกับพวกนักโทษที่ถูกนำมาเป็นหนูตะเภา พวกที่โชคดีหน่อยก็อาจจะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ส่วนผู้โชคร้ายหน่อยก็ถูกส่งตัวเข้าห้องรมก๊าซพิษไปเลย

บรรดาหนูตะเภามนุษย์เหล่านี้มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้รับการเอาใจใส่ให้การดูแลรักษาภายหลังจากเสร็จสิ้นการทดลองไปแล้ว

เท่าที่ผ่านมานั้นการทดลองก็มักเป็นเรื่องที่เหลวไหลทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น นายแพทย์เยอรมันผู้หนึ่งนำนักโทษมาทดลองเพื่อต้องการจะรู้ว่ามนุษย์ที่ไม่รับแระทานอาหารอะไรเลยนอกจากดื่มน้ำทะเลอย่างเดียวนั้นจะมีชีวิตอยู่ได้นานสักเท่าใด


หรืออย่างแพทย์เยอรมันอีกรายหนึ่งนำนักโทษไปแช่น้ำแข็งเพื่อดูว่ามันจะมีผลต่ออุณหภูมิในร่างกายมนุษย์อย่างไรบ้าง ซึ่งหลังจากผ่านการทดลองทั้ง 2 แบบนี้แล้ว นักโทษก็ไม่ต้องหวังจะได้เข้าโรงพยาบาลเพราะแน่นอนที่สุดว่าพวกเขาจะถูกส่งตัวไปเข้าห้องรมก๊าษพิษ

มีอยู่วันหนึ่งมีพวกพยาบาลหลายคนเข้ามาในโรงพยาบาลของพวกเรามาถามคนไข้ว่า “มีใครนอนไม่หลับกันบ้าง” มีคนไข้ซึ่งตอบว่านอนไม่หลับอยู่ประมาณ 20 คน จึงได้รับแจกยาชนิดหนึ่งเป็นผงสีขาวซึ่งอาจมีมอร์ฟีนเป็นส่วนผสมจากพยาบาลเหล่านั้นมารับประทาน

ผลก็คือในวันรุ่งขึ้นคนไข้ที่รับประทานยานั้นเข้าไปได้เสียชีวิตไปถึง 10 คน พวกพยาบาลได้นำยาชนิดเดียวกันนั้นไปทดลองกับหญิงชราก็มีหญิงชราเสียชีวิตในคืนเดียวกันถึง 70 คน

เมื่อพวกเยอรมันจะค้นคว้าหาวิธีรักษาบาดแผลของคนที่โดนระเบิดฟอสฟอรัสของสหรัฐอเมริกาก็จะใช้ฟอสฟอรัสมาเผาลงที่แผ่นหลังของนักโทษชาวรัสเซียจำนวน 50 คน

 ซึ่งการทดลองครั้งนี้ไม่ได้เกิดผลทางด้านการแพทย์เลยแม้แต่น้อย ชาวรัสเซียซึ่งเป็นหนูตะเภาให้กับการทดลองครั้งนี้คนไหนถ้ายังไม่ตายก็จะถูกนำตัวไปสังหารจนหมดสิ้น

อีกอย่างหนึ่งที่นิยมทำกัน ก็คือ การทดลองกับพวกผู้หญิงที่เพิ่งเดินมามาถึงค่ายใหม่ๆและมีระบบประจำเดือนมาเป็นปกติโดยในระหว่างที่พวกผู้หญิงเหล่านั้นมีประจำเดือนพวกเยอรมันก็จะไปขู่ตะคอกว่า “แกจะถูกยิงเป้าในสองวันนี้แล้วนะ”

ที่กระทำเช่นนี้ก็เพราะต้องการจะรู้ว่า เมื่อผู้หญิงเกิดความตื่นตระหนกกับข่าวร้ายเช่นนี้แล้วจะมีผลอย่างไรต่อการไหลของประจำเดือนบ้าง

ศาสตราจารย์ทางสรีรวิทยาชาวเยอรมันในกรุงเบอร์ลินผู้หนึ่งถึงกับตีพิมพ์บทความในวารสารทางวิทยาศาสตร์ของเยอรมันฉลับหนึ่งว่า เมื่อผู้หญิงได้ยินข่าวร้ายเช่นนี้แล้วจะมีผลถึงกับทำให้เธอตกเลือดได้


นายแพทย์เมงเกเลซึ่งเป็นแพทย์ใหญ่ประจำค่าย ชอบค้นคว้าทดลองกบฝาแฝดและคนแคระ คือ ในตอนที่มีการคัดเลือกครั้งแรกที่สถานีรถไฟนั้น เด็กๆฝาแฝดที่มากับขบวนรถไฟในแต่ละตู้จะถูกกันตัวให้แยกจากมารดาแล้วถูกส่งตัวไปอยู่ในค่ายเอฟ.เค.แอล.

นายแพทย์เมงเกเลจะให้ความสนใจเด็กฝาแฝดเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นฝาแฝดชายหรือฝาแฝดหญิง จะได้รับการเอาอกเอาใจเป็นอย่างดี โดยได้รับอนุญาตให้สวมใส่ผ้าชุดเดิม ให้ไว้ผมทรงเดิมไม่ถูกกล้อนผมเหมือนผู้ถูกเนรเทศรายอื่นๆ

และที่เขาได้แสดงความห่วงใยเด็กฝาแฝดอย่างเห็นได้ชัดก็เมื่อครั้งที่เจ้าหน้าที่เยอรมันทำการกำจัดนักโทษชาวเชโกโดยได้ออกคำสั่งให้ไว้ชีวิตเด็กฝาแฝดถึง12 คู่

เมื่อมาถึงค่ายเอฟ.เค.แอล.แล้วบรรดาฝาแฝดจะถูกนำตัวไปถ่ายรูปในทุกอิริยาบถแล้วก็เริ่มทำการทดลอง ซึ่งก็เป็นการทดลองที่ไม่ต่างอะไรกับเด็กเล่นขายของ

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อนำฝาแฝดไปฉีดสารเคมีอย่างหนึ่งแล้ว นายแพทย์เมงเกเลก็จะคอยสังเกตดูปฏิกิริยาที่จะเกิดขึ้นจากการฉีดสารเคมีนั้น ถ้าเขาไม่ลืมไปเสียก่อน

แม้ว่าจะคอยติดตามผลของการทดลองอย่างใกล้ชิดแต่ก็ไม่มีผลทางวิทยาศาสตร์ใดๆเกิดขึ้น เพราะสารเคมีที่ฉีดเข้าไปนั้นไม่เกิดผลที่น่าสนใจใดๆ เช่น ให้ฝาแฝดทดลองใช้สารเคมีบางอย่าง ซึ่งคาดหมายว่าเมื่อใช้แล้วจะทำให้สีของเส้นผมเปลี่ยนแปลงไป

แต่เมื่อนำเส้นผมนั้นมาตรวจสอบด้วยกล้องจุลทรรศน์มันก็ไม่มีผลอะไรเกิดขึ้น และในที่สุดโครงการทดลองก็ต้องยกเลิกเนื่องจากประสบความส้มเหลวอย่างสิ้นเชิงและไม่คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปเลยแม้แต่น้อย

คนแคระเป็นอีกพวกหนึ่งที่นายแพทย์เมงเกเลให้ความสนใจมาก เขาจะคลั่งไคล้หมั่นเสาะหาคนพวกนี้อยู่เสมอ ยิ่งวันใดได้พบครอบครัวที่มีคนแคระถึง 5 คนเดินทางมากับขบวนรถไฟขบวนเดียวกันด้วยแล้ว วันนั้นเขาก็จะยิ้มระรื่นด้วยความสุขใจ


การที่เขาสนใจคนแคระนั้นก็เป็นลักษณะของคนบ้าคลั่งมากกว่าจะเป็นลักษณะความอยากรู้อยากเห็นของพวกนักปราชญ์ เขาจะนำคนแคระเหล่านี้มาทดลองและสังเกตพฤติกรรมในลักษณะที่ผิดปกติเป็นอย่างมาก คือจะนำมาถ่ายเลือดโดยใช้เลือดต่างกรุ๊ปกัน ซึ่งก็เป็นที่แน่นอนว่ามันจะเกิดผลร้ายกับบรรดาคนแคระเหล่านี้

แต่สำหรับนายแพทย์เมงเกเลแล้วเขาสามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่คำนึงว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับใคร เขาจะทำในสิ่งที่เขาต้องการและจะทำการค้นคว้าทดลองเหมือนกับคนบ้าที่ไม่มีความรู้สึกรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น

มีการค้นคว้าทดลองที่สถานีทดลองแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากค่ายของพวกเราไป เมื่อมองดูเพียงผิวเผินแล้วอาจจะเห็นว่าเป็นการทดลองที่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์กว่าการทดลองแบบอื่นๆ

แต่หากพิจารณากันอย่างถ่องแท้แล้วก็จะเห็นว่าเป็นเพียงการทดลองที่ต้องการทำลายทรัพยากรมนุษย์ด้วยวิธีพิสดารเสียมากกว่า และผู้ที่ทำการค้นคว้าทดลองก็เป็นผู้ปราศจากศีลธรรมจรรยาที่ดี

การทดลองต่างๆในสถานีแห่งนี้มีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อเก็บข้อมูลไปให้รัฐบาลเยอรมันเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะทดลองเกี่ยวกับขีดความสามารถในความอดทนของมนุษย์ เช่น อดทนต่อความหนาว อดทนต่อความร้อน อดทนเมื่ออยู่ในที่สูง

นักโทษหลายพันคนต้องเสียชีวิตไปกับการทดลองที่สถานีแห่งนี้เช่นเดียวกับการทดลองในค่ายอื่นๆ หลังจากเสร็จสิ้นการทดลองที่ต้องใช้เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเป็นจำนวนพันไปแล้ว นักวิทยาศาสตร์เยอรมันก็ได้สรุปผลว่า มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ในน้ำแข็งที่มีอุณหภูมิต่ำากว่าศูนย์องศาได้นานหลายชั่วโมง

นอกจากนั้นแล้วพวกเขาก็ยังสามารถค้นคว้าทดลองจนได้ข้อสรุปว่า จะต้องใช้เวลานานสักเท่าใดและใช้ความร้อนสักเท่าใดจึงจะทำให้มนุษย์สีชีวิตได้

ส่วนการทดลองอีกอย่างหนึ่งที่ใคร่จะนำมากล่าวถึงก็คือ การทดลองที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อจะรู้ว่ามนุษย์สามารถอดทนต่อความหิวได้นานเพียงใด ซึ่งในการทดลองนั้นเขาจะนำนักโทษที่ผอมโซที่สุดในหมู่นักโทษที่เป็นโครงกระดูกเดินได้มาบังคับให้ดื่มน้ำซุปคนละมากๆ

การทดลองแบบนี้จะลงเอยโยผู้ถูกนำมาทดลองนั้นเสียชีวิต แต่ก็มีผู้ถูกเนรเทศบางรายหิวโหยมากจนทนไม่ไหวและยอมอาสาเป็นหนูตะเภาให้พวกเยอรมันทดลอง

ยกตัวอย่างเช่น รายหนึ่งเป็นบุตรชายของอดีตนายกรัฐมนตรีเอ็ม. มีความหิวโหยอาหารจนทนไม่ไหวจึงได้เสนอตัวเป็นหนูตะเภาให้พวกเยอรมันทดลองเกี่ยวกับโรคมาลาเรีย ซึ่งพวกที่ถูกนำมาทดลองเหล่านี้จะได้รับแจกขนมปังเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเป็นเวลา 2-3 วัน

มีการทดลองด้วยการผ่าศพเพื่อวินิจฉัยโรค ซึ่งก็จะนำคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคที่กำลังจะทำการทดลองออกจากโรงพยาบาลไปฆ่าแล้วทำการผ่าศพพิสูจน์

.ในกรณีที่มีคนไข้หลายคนป่วยเป็นโรคเดียวกัน แต่ละคนจะถูกทดลองด้วยวิธีแตกต่างกันและเมื่อทำการทดลองจนเป็นที่พอใจแล้ว พวกเยอรมันก็จะนำคนไข้เหล่านั้นไปสังหาร ทำการผ่าศพและสรุปผลของการทดลอง

แต่โดยทั่วไปเมื่อสังหารคนไข้แล้วผู้ทำการทดลองจะไม่ค่อยสนใจผ่าศพเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะเห็นว่ามีคนไข้อยู่อีกมากมายในค่ายเอาส์ชวิตซ์ที่สามารถนำตัวมาผ่าเพื่อการวินิจฉัยโรคได้

บริษัทไบเออร์เยอรมันเคยส่งขวดยาชนิดหนึ่งมาที่ค่าย ที่ข้างขวดไม่มีสลากแจ้งประเภทของตัวยา ผู้ทดลองจะใช้ยานี้ฉีดให้แก่ผู้ป่วยเป็นวัณโรค ซึ่งก็จะมีผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว

แพทย์ผู้ทำการทดลองจะรอให้ผู้ป่วยตายสนิท จะไม่ส่งไปเข้าห้องรมก๊าซพิษแต่จะทำการผ่าศพเพื่อนำปอดของคนตายรายนี้ส่งไปให้บริษัทไบเออร์เยอรมัน

บริษัทไบเออร์เยอรมันอีกเช่นกันที่นำนักโทษหญิงจำนวน 150 คนออกจากค่ายไปทดลองด้วยตัวยาไม่ทราบชนิด ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นการทดลองเกี่ยวกับฮอร์โมนเพศ


สถาบันไวเจลที่กราโกว์ก็เคยส่งวัคซีนมาที่ค่ายเพื่อให้ทำการทดลองและหาทางปรับปรุงคุณภาพให้ดีขึ้น เหยื่อที่ถูกคัดเลือกมาให้เป็นหนูตะเภาในการทดลองก็คือนักโทษการเมืองชาวฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือพวกสมาชิกของกลุ่มขบวนการใต้ดินในฝรั่งเศส ซึ่งก็เป็นพวกที่เยอรมันต้องการจะกำจัดให้สิ้นซากอยู่แล้ว

มีการรวบรวมอวัยวะต่างๆของมนุษย์ถึง 2000 ชิ้นส่งไปยังมหาวิทยาลัยอินน์สบูกโดยเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้แนะนำว่าจะต้องเป็นอวัยวะของบุคคลที่มีร่างกายแข็งแรงที่ถูกสังหารในห้องรมก๊าซพิษ ถูกแขวนคอ หรือถูกยิงเป้าและที่สำคัญที่สุดต้องเป็นบุคคลที่ถูกสังหารในขณะที่มีสุขภาพแข็งแรง

วันหนึ่งมีโทษหญิงหลายคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวโปแลนด์ได้ถูกนำตัวมาชำแหละเพื่อพดลองหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ โดยการชำแหละกระดูก กล้ามเนื้อและอวัยวะส่วนต่างๆโดยศัลยแพทย์ที่เดินทางมาจากกรุงเบอร์ลินมาทำการทดลองและเฝ้าสังเกตผลครั้งนี้ด้วยตนเอง

การชำแหละนักโทษกระทำอย่างทารุณโหดร้ายเป็นที่สุดโดยนำเหยื่อไปนอนบนโต๊ะผ่าตัดที่ค่ายร้างแห่งหนึ่งแล้วทำการผ่าตัดโดยไม่วางยาสลบ

ขณะที่ทำการผ่าตัดอยู่นั้นบรรดาหนูตะเภามนุษย์แต่ละคนต้องทุกข์ทรมานกันอย่างแสนสาหัสและหลังจากผ่าตัดเสร็จสิ้นแล้วก็ต้องทนทุกข์ทรมานกันอยู่ต่อไปอีกเพราะพวกเยอรมันไม่ได้ให้ยาอะไรเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดแก่ผู้ที่ถูกทดลอง

มีพวกเยอรมันอีกกลุ่มหนึ่งได้นำเลือดนักโทษไปใช้ทดสอบเพื่อก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อยู่เป็นประจำ ซึ่งเลือดนักโทษนี้นอกจากจะถูกนำไปใช้เพื่อการทดลองทางวิทยาศาสตร์แล้วก็ยังถูกนำไปให้พวกทหารเยอรมันที่ได้รับบาดเจ็บในการสู้รบอีกด้วย

โดยเจ้าหน้าที่จะเจาะเลือดนักโทษคนละ 500 ซีซีรวบรวมส่งไปให้กองทัพเยอรมัน ซึ่งเลือดเหล่านี้ก็ได้ถูกนำไปใช้เพื่อช่วยชีวิตของพวกทหารเยอรมันโดยลืมไปเสียสนิทว่ามันเป็นเลือดของคนยิวที่ถูกประณามว่ามีคุณภาพต่ำต้อย


ดิฉันเคยกล่าวมาบ้างแล้วในเรื่องการ”ฉีดยาเข้าหัวใจ” นักโทษเรียกวิธีนี้ว่าฉีดยาพิษเข้าหัวใจ ซึ่งบางครั้งสิ่งที่นำมาฉีดเข้าหัวใจนี้คือน้ำมันเบนซินหรือน้ำมันดิบ 


ในโรงพยาบาลต่างๆใช้วิธีนี้ด้วยเช่นกัน เมื่อต้องการสังหารผู้ป่วยและผู้มีร่างกายกะปลกกะเปลี้ยรวมทั้งบุคคลที่ไม่พึงปรารถนาอื่นๆ

ดิฉันเคยพูดคุยกับนายแพทย์ชาวโปแลนด์ผู้หนึ่งซึ่งเคยถูกบังคับให้ฉีดยาชนิดนี้แก่เพื่อนนักโทษอยู่ถึง 2 วัน

“เมื่อนายแพทย์หน่ายเอสเอสเรียกผมเข้าไปที่โรงพยาบาล”เขาอธิบาย

“ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย เขาก็ได้ออกคำสั่งให้ผมฉีดยาให้คนไข้เข้าที่โพรงหัวใจโดยสั่งให้เดินยาในทันทีที่ปักเข็มเข้าไป”

นายแพทย์ชาวโปแลนด์ได้ปฏิบัติตามคำสั่งทุกอย่าง พอฉีดยาเสร็จนักโทษผู้นั้นก็ล้มลงกับพื้นและนอนตายแน่นิ่งราวกับถูกวางยาสลบ

การทดลองชนิดบ้าคลั่งอีกอย่างหนึ่งคือการนำผู้ป่วยนับร้อยรายไปนอนตากแดดที่ร้อนจัดเพียงเพื่อต้องการจะรู้ว่าผู้ป่วยเหล่านั้นจะมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าใดเมื่อไม่ได้ดื่มน้ำเลย

ห่างจากค่ายของพวกเราไปประมาณ 20ไมล์มีสถานีทดลองอีกอย่างหนึ่งซึ่งกล่าวกันว่าสถานีแห่งนี้มีความเชี่ยวชาญในการผสมเทียมโดยเฉพาะ

พวกแพทย์ที่ถูกส่งไปประจำการอยู่ที่นี่มีคุณสมบัติพิเศษคือถ้าเป็นเพศชายต้องรูปหล่อและถ้าเป็นเพศหญิงก็ต้องสวยเป็นพิเศษ พวกเยอรมันให้ความสำคัญกับการทดลองผสมเทียมนี้มาก

แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่าดิฉันไม่ได้ไปเห็นงานทดลองที่ทำกันอยู่ที่นั่น เพราะสถานีทดลองมีมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดแต่ก็พอมีข้อมูลเรื่องนี้อยู่บ้าง

คือพวกเยอรมันไดนำผู้หญิงจำนวนหนึ่งไปทดลองผสมเทียม แต่การทดลองไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาด ดิฉันเคยรู้จักผู้หญิงที่เคยถูกนำไปผสมเทียมและยังมีชิวิตอยู่แต่พวกเธออายที่จะยอมรับว่าเคยถูกนำไปทดลอง

ผู้หญิงอีกกลุ่มหนึ่งถูกฉีดฮอร์โมนเพศแต่ก็ไม่รู้ว่าสารที่ฉีดเข้าไปนั้นคืออะไร และพวกเยอรมันต้องการให้ผลเป็นอย่างไรหลังจากฉีดฮอร์โมนนี้เข้าไปแล้วหญิงส่วนมากเกินอาการบวมและอักเสบตรงอวัยวะเพศต้องไปรับการผ่าตัดที่คุกหมายเลข 10

ดิฉันรู้ดีว่ามีการทดลองเกี่ยวกับการทำหมันในค่ายเอาส์ชวิตซ์-เบอร์เคเนาโดยการอำนวยการของนายแพทย์ชาวโปแลนด์ผู้หนึ่ง ซึ่งถูกพวกเยอรมันนำตัวไปสังหารก่อนที่ค่ายจะได้รับการปลดปล่อยเพียงไม่กี่วัน

การทดลองเหล่านี้เป็นความพยายามที่เปรียบเทียบกับผลของการทำหมันด้วยวิธีผ่าตัดกับวิธีใช้การฉายรังสีเอกซ์ ขณะที่พวกเราทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลได้เคยเห็นคนไข้หญิงเป็นจำนวนมากถูกนำตัวมาจากสถานีทดลองแห่งนี้ พวกผู้หญิงเหล่านี้มีรอยไหม้เกรียมอันเนื่องมาจากการฉายรังสีเอกซ์อย่างเห็นได้ชัด

พวกเรารู้เรื่องราวของการทดลองนี้จากหญิงที่ถูกนำตัวไปทดลองรวมทั้งจากนายแพทย์ผู้ถูกเนรเทศอื่นๆว่า ผู้ถูกทดลองจะถูกนำตัวไปนอนอยู่ใต้เครื่องฉายรังสีเอกซ์ที่ปล่อยรังสีออกมามากๆ

และในช่วงที่ทำการฉายรังสีเอกซ์อยู่นี้ก็จะมีการหยุดฉายรังสีเป็นช่วงๆเพื่อตรวจสอบดูว่าหญิงเหล่านั้นจะยังสามารถร่วมเพศได้หรือไม่

การทดลองนี้กระทำกันอยู่ในคุกหมายเลข 21 โดยมีเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสคอยควบคุมอย่างใกล้ชิด เมื่อนายแพทย์ยืนยันว่ารังสีเอกซ์ทำลายระบบสืบพันธุ์อย่างสิ้นเชิงแล้วหญิงเคราะห์ร้ายผู้นั้นก็จะถูกนำตัวไปสังหารในห้องรมก๊าซพิษ

บางครั้งเมื่อฉายรังสีเอกซ์กับเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายบางรายต้องใช้เวลานานกว่าจะให้ผลตามต้องการ เหยื่อการทดลองเหล่านั้นก็จะถูกนำตัวไปผ่าตัดทำหมันแทน


ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1944 พวกเยอรมันทำหมันให้แก่ด็กชายที่มีอายุระหว่าง 13-17 ปีจำนวนถึง 1000 คนโดยมีการลงทะเบียนชื่อและวันเดือนปีที่ทำหมันเอาไว้ด้วย

อีก 2-3สัปดาห์ต่อมาเด็กเหล่านี้ก็ถูกเรียกตัวมาที่คุกหมายเลข 21 อีกครั้งและได้นำตัวเข้าไปสอบถามในห้องทดลองถึงผลของการทำหมันว่า ยังมีความรู้สึกต้องการทางเพศอยู่หรือไม่ ยังสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองอยู่หรือไม่ ความทรงจำเสียไปหรือยังดีอยู่ ฯลฯ

จากนั้นพวกเยอรมันก็ให้เด็กหนุ่มเหล่านั้นใช้มือสำเร็จความใคร่ ใครที่ไม่เกิดความรู้สึกทางเพศและอวัยวะไม่แข็งตัวเขาก็จะช่วยปลุกกำหนัดโดยการใช้มือลูบคลำที่ลูกอัณฑะ

ขณะที่ช่วยตัวเองกำลังจะหลั่งน้ำอสุจิออกมานั้นพวกนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันก็จะใช้เครื่องมือชนิดหนึ่งเป็นแท่งโลหะแข็งสอดใส่เข้าไปในท่อปัสสาวะไปรองรับน้ำอสุจิออกมา

 ซึ่งการกระทำเช่นนี้ก่อให้เกิดความเจ็บปวดกับพวกเด็กๆเป็นอย่างมาก จากนั้นน้ำอสุจิจะถูกนำไปพิสูจน์โดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อวิจัยว่าตัวสเปิร์มยังแข็งแรงอยู่หรือไม่

ในปี ค.ศ. 1944 พวกเยอรมันได้ส่งกล้องจุลทรรศน์ชนิดเรืองแสงมาให้ใช้ตรวจสอบว่าตัวสเปิร์มของผู้ใดมีชีวิตอยู่และของผู้ใดไม่มีชีวิต

บางครั้งพวกเยอรมันก็ผ่าตัดเอาลูกอัณฑะไปเพียงหนึ่งในสี่บ้าง ครึ่งหนึ่งบ้าง ตัดไปทั้งหมดบ้าง นำไปใส่ในหลอดดองด้วยยาฟอร์มาลีน 10 เปอร์เช็นต์ แล้วส่งไปตรวจสอบด้วยกล้องจุลทรรศน์ที่เมืองเบรสเลา

ในตอนผ่าตัดลูกอัณฑะนั้นจะฉีดยาชาชนิดหนึ่งเข้าไปก่อน พวกเด็กที่ถูกตัดลูกอัณฑะเหล่านี้จะถูกแยกออกจากเด็กอื่นๆนำไปควบคุมตัวไว้มนคุกหมายเลข 21 และมีคนคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด

เมื่อผลการทดลองสำเร็จเรียบร้อยแล้วรางวัลที่พวกเด็กเหล่านี้ได้รับคือถูกส่งตัวไปเข้าห้องรมก๊าซพิษ

ดิฉันยังจำเหตุการณ์เกี่ยวกับการทดลองที่กระทำกับเด็กหนุ่มชาวโปแลนด์วัย 20 ปีคนหนึ่งชื่อครูเอนวัลด์ได้ โดยศาสตราจารย์เกลาเบอร์ได้สั่งให้ทำหมันเด็กคนนี้ด้วยวิธีการฉายรังสีเอกซ์

หลังจากทดลองไปได้ 2 เดือนแล้วปรากฏว่ารังสีเอกซ์ไม่สามารถทำให้เด็กเป็นหมันได้ตามต้องการ จึงได้ถูกนำตัวไปที่คุกหมายเลข 21 เพื่อทำการผ่าตัดลูกอัณฑะออกทั้งหมด

แต่รังสีเอกซ์ที่ใช้ในการทดลองไปแล้วนั้นได้ทำให้อวัยวะเพศของเด็กหนุ่มไหม้เกรียมและต่อมามันก็กลายเป็นมะเร็ง เด็กนุ่มได้รับความทุกข์ทรมานมาก เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 1945 เด็กคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลที่ค่ายเบอร์เคเนา

วิธีการเหล่านี้ได้ถูกนำมาใช้ทำหมันนักโทษหญิงด้วยเช่นกัน แต่บางครั้งพวกเยอรมันจะใช้รังสีคลื่นสั้นทำหมันให้แก่ผู้หญิง ซึ่งก็สร้างความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่บริเวณท้องน้อย จากนั้นแพทย์ก็จะมาตรวจดูอาการแล้วให้ศัลยแพทย์ทำการผ่าตัดเอามดลูกและรังไข่ออก

ศาสตราจารย์ชูมันและนายแพทย์เวิร์ดได้ทดลองด้วยวิธีนี้หลายครั้งกับเด็กสาวอายุ 16-17 ปี ในหมู่เด็กสาวทั้งหมด 50 คนที่ถกนำตัวไปทดลองแบบนี้ มีผู้รอดชีวิตได้เพียง 2 คนเท่านั้น คือ เบลลา ซิมสกี และดอรอ บู เยนนา มาจากเมืองลาโลนิกา

ทั้ง 2 คนเล่าให้ดิฉันฟังว่าถูกนำตัวไปนอนอยู่ใต้เครื่องฉายรังสีคลื่นสั้น แล้วเจ้าหน้าที่ก็นำแผ่นโลหะแผ่นหนึ่งวางลงที่หน้าท้องส่วนอีกแผ่นหนึ่งรองไว้ที่ด้านหลังแล้วปล่อยกระแสไฟฟ้าตรงไปยังรังไข่

รังสีคลื่นสั้นนี้ถูกปล่อยออกมารุนแรงมากจนบริเวณหน้าท้องของผู้ถูกทดลองไหม้เกรียม หลังจากได้รับการดูแลรักษาอยู่ 2 เดือนเด็กเหล่านั้นก็ไปรับการผ่าตัดทำหมันอีกครั้งหนึ่ง

มีเด็กสาวอีกกลุ่มหนึ่งเป็นชาวดัตช์เกือบทั้งหมด ก็ได้ถูกนำคัวไปทดลองด้วยเช่นกัน ผ็ที่รู้เหตุผลของการทดลองในครั้งนี้คือนายแพทย์กลาเบิร์ก สูตินรีแพทย์ชาวเยอรมันจากเมืองกัตโตวิตซ์

การทดลองทำหมันโดยวิธีนี้ใช้เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าและสารเหลวๆสีขาวข้นฉีดเข้าไปในอวัยวะเพศ ซึ่งทำให้เกิดอาการสวบแสบปวดร้อนและเนื้อไหม้พองไปหมด เขาจะฉีดในลักษณะนี้ทุกๆ 4 สัปดาห์ หลังจากฉีดแล้วแต่ละครั้งก็จะมีการฉายรังสีพร้อมๆกันไปด้วย

ในขณะเดียวกันนี้นักโทษหญิงกลุ่มเดียวกันนี้ก็ได้ถูกนำตัวไปให้แพทย์อีกคนหนึ่งทำการทดลองด้วยวิธีอื่นๆอีก คือโดยการฉีดเซรุ่มเข้าไปที่บริเวณทรวงอกคนละประมาณ 2-9 เข็มๆละประมาณ 5 ซีซี ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเซรุ่มชนิดใดกันแน่

รู้แต่เพียงว่าปฏิกิริยาของมันทำให้หน้าอกของผู้ที่ถูกทดลองบวมปูดขึ้นมาโตขนาดเท่ากำปั้น สร้างความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส

มีเด็กบางคนถูกฉีดเซรุ่มชนิดนี้เข้าไปถึง 100 ครั้งและบางรายก็ถูกฉีดที่เหงือกแทนที่จะเป็นที่หน้าอก ซึ่งหลังจากผ่านการทดสอบมานานพอสมควรแล้วเด็กหญิงเหล่านั้นก็ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ไร้ประโยชน์และถูกนำตัวไปสังหารในที่สุด

ครั้งหนึ่งพวกเราเคยคุยกับนักโทษชาวเยอรมันคนหนึ่งซึ่งเป็นนักสังคมสงเคราะห์ และได้ถามถึงเหตุผลที่พวกเยอรมันทำหมันและคัดลูกอัณฑะของพวกนักโทษ

ชาวเยอรมันผู้นี้ก่อนที่ตะถูกจับมาอยู่ในค่ายกักกันเป็นผู้ที่สนใจการเมืองของประเทศเยอรมันมาก ซ้ำยังรู้จักบุคคลสำคัญในวงการเมืองเยอรมันหลายคน

เขาบอกว่าพวกเยอรมันมีเหตุผลทางด้านภูมิรัฐศาสตร์อยู่เบื้องหลังการทดลองต่างๆ คือถ้าหากพวกเยอรมันสามารถทำหมันคนเผ่าอื่นที่ไม่ใช่คนเผ่าเยอรมันได้ทั้งหมด หลังจากที่เยอรมันชนะสงครามแล้วผู้ที่ถูกทำหมันเหล่านี้ก็จะไม่สามารถสืบเชื้อสายแพร่ลูกหลานมาเป็นอันตรายต่อเยอรมันได้อีกต่อไป

ขณะเดียวกันผู้ที่เป็นหมันเหล่านี้ก็ยังสามารถเป็นกรรมการผู้ใช้แรงงานรับใช้ประเทศเยอรมันได้ต่อไปอีก ถึง 30 ปี ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นแล้วปนะชากรเยอรมันก็จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น พอที่จะเข้าครอบครองพื้นที่ประเทศต่างๆในยุโรปได้ทุกประเทศ ส่วนผู้ที่ถูกทำหมันแล้วนั้นก็จะล้มตายและสูญพันธุ์ไปในที่สุด

เมื่อพูดถึงการทดลองต่างๆเหล่านี้ทำให้ดิฉันนึกถึงเด็กสาวชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งชื่อยอร์แจตต์ซึ่งมาเสียชีวิตในโรงพยาบาลของพวกเรา ในวันคริสต์มาส ค.ศ. 1944 คือหลังจากยอร์แจตต์ถูกใช้เป็นหนูตะเภาในการทดลองทำหมันแล้ว

เธอได้กลับเข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากหลังผ่านการทดลองแล้วนั้น อวัยวะเพศของเธอเสียหายยับเยินจนไม่สามารถจะร่วมเพศกับใครได้อีก

ยอร์แจตต์มีคนรักเป็นชาวโปแลนด์และเขาก็จะมาเยี่ยมในวันที่เธอกลับเข้ามารักษาตัวในโรงพยาบาล แต่จอร์แจตต์ได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ยอมพบหน้าคนรัก คือแทนที่จะยอมรับปมด้อยที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เธอกลับอยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

คนรักของยอร์แจตต์ได้มาที่โรงพยาบาลตามที่ได้พูดไว้ แต่ยอร์แจตต์กลับหนีขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงชั้นที่ 3 เอาผ้าห่มคลุมหน้านอนนิ่งทำเหมือนตาย ปล่อยให้พวกเราคอยรับหน้าคนรักของเธอแทน

พวกเราได้บอกกับชายหนุ่มตามที่ยอร์แจตต์เธอสั่งไว้

“ยอร์แจตต์เสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน โน่นไงศพของเธอ”

อนิจจา!! แทนที่ชายหนุ่มจะเดินไปที่เตียงซึ่งยอร์แจตต์นอนแสร้งทำตายอยู่นั้น เขากลับเดินตรงไปที่เตียงของหญิงสาวอีกคนหนึ่งซึ่งมาจากเมืองกราโกว์และได้มอบของขวัญที่เตรียมมาจะให้ยอร์แจตต์นั้นให้แก่เธอผู้นี้แทน


ฝ่ายยอร์แจตต์ถึงแม้ผ้าจะคลุมหน้าอยู่แต่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ได้โดยตลอด  เธอเกิดความน้อยใจและเสียใจมาก และอีก 2-3 วันต่อมาเธอก็ได้ดื่มยาพิษฆ่าตัวตายโดยที่ไม่มีใครสามารถช่วยชีวิตไว้ได้ทัน.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น