ขณะทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลในค่ายเอฟ.เค.แอล.และค่าอี.ดิฉันเคยให้การรักษาพยาบาลนักโทษชายหลายคนที่เคยตกเป็นเหยื่อให้พวกเยอรมันใช้เป็นหนูตะเภาในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ในค่ายเอาส์ชวิตซ์-เบอร์เคเนา
พวกแพทย์เยอรมันมีผู้ถูกเนรเทศเป็นทาสอยู่ในความปกครองมากมายจึงมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้กับทาสเหล่านี้ตามต้องการ
สิ่งหนึ่งที่เขาทำก็คือนำคนมาใช้ทดลองทางวิทยาศาสตร์
ซึ่งโดยทั่วไปแล้วแพทย์ดีๆที่มีจรรยาบรรณแพทย์เขาจะรังเกียจที่จะใช้มนุษย์มาทดลอง
แต่แพทย์นาซีถือว่าตนได้ลาภลอยเลยยินดีที่จะใช้มนุษย์ตาดำๆมาทำการทดลองเพื่อสร้างความก้าวหน้าทางด้านการแพทย์ของตน
พวกแพทย์นาซีนอกจากจะทำการทดลองด้วยตนเองแล้วก็ยังบังคับให้แพทย์ผู้ถูกเนรเทศอีกหลายคนให้เข้าร่วมการทดลองภายใต้การควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ประจำหน่วยเอสเอส
การทดลองที่น่ารังเกียจเช่นนี้ผู้ที่ทำการทดลองอาจจะหาข้อแก้ตัวว่า
เป็นการกระทำเพื่อความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และคิดเข้าข้างตนเองว่า
ความทุกข์ทรมานของหนูตะเภามนุษย์ผู้โชคร้ายเหล่านี้
จะช่วยให้ผู้อื่นได้รอดพ้นจากความทุกข์ในที่สุด
ทว่าการทดลองที่พวกเยอรมันกระทำกันนั้นมันไม่ได้เกิดประโยชน์ทางด้านวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด
ชีวิตมนุษย์เป็นเรือนแสนถูกนำมาสังเวยให้กับการทดลองที่ไม่มีผลอะไรออกมาอย่างชัดแจ้ง
บรรดาแพทย์ผู้ถูกเนรเทศที่ถูกบังคับให้ไปร่วมทำงานดังกล่าวนี้กับพวกเยอรมันต่างก็ตระหนักในข้อนี้เป็นอย่างดี
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ยังตระหนักเป็นอย่างดีด้วยว่า
แม้ว่าพวกเขาจะล่มหัวจมท้ายทำการทดลองกับพวกเยอรมันอย่างเต็มที่อย่างไร
แต่ในที่สุดพวกเขาก็ถูกพวกเยอรมันนำตัวไปเผาในเตาเผาศพอยู่ดีนั่นเอง
ดังนั้นพวกแพทย์ผู้ถูกเนรเทศเหล่านี้จึงได้พยายามทุกวิถีทางที่จะทำลายโครงการ
นอกจากนั้นแล้วการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่ถูกหลักการเหล่านี้ก็เป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมเกินกว่าที่จะยอมรับได้
ซึ่งมันก็ไม่ผิดอะไรกับการของเด็กซุกซนที่จับตัวแมลงมาฉีกขาและปีกของมันทิ้ง
จะแตกต่างกันอยู่บ้างตรงที่ว่า
เด็กทำกับแมลงแต่พวกเยอรมันกระทำกับมนุษย์ตาดำๆเท่านั้นเอง
การทดลองที่นิยมทำกันมากและถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์อย่างหนึ่ง
ก็คือ การฉีดเชื้อโรคเข้าไปในร่างกายของนักโทษ
ซึ่งพวกแพทย์เยอรมันทำการทดลองไปได้ไม่ตลอด ก็เลิกให้ความสนใจในโครงการนั้นในระยะต่อมา
ผลจึงตกหนักกับพวกนักโทษที่ถูกนำมาเป็นหนูตะเภา
พวกที่โชคดีหน่อยก็อาจจะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล
ส่วนผู้โชคร้ายหน่อยก็ถูกส่งตัวเข้าห้องรมก๊าซพิษไปเลย
บรรดาหนูตะเภามนุษย์เหล่านี้มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้รับการเอาใจใส่ให้การดูแลรักษาภายหลังจากเสร็จสิ้นการทดลองไปแล้ว
เท่าที่ผ่านมานั้นการทดลองก็มักเป็นเรื่องที่เหลวไหลทั้งสิ้น
ยกตัวอย่างเช่น นายแพทย์เยอรมันผู้หนึ่งนำนักโทษมาทดลองเพื่อต้องการจะรู้ว่ามนุษย์ที่ไม่รับแระทานอาหารอะไรเลยนอกจากดื่มน้ำทะเลอย่างเดียวนั้นจะมีชีวิตอยู่ได้นานสักเท่าใด
หรืออย่างแพทย์เยอรมันอีกรายหนึ่งนำนักโทษไปแช่น้ำแข็งเพื่อดูว่ามันจะมีผลต่ออุณหภูมิในร่างกายมนุษย์อย่างไรบ้าง
ซึ่งหลังจากผ่านการทดลองทั้ง 2 แบบนี้แล้ว
นักโทษก็ไม่ต้องหวังจะได้เข้าโรงพยาบาลเพราะแน่นอนที่สุดว่าพวกเขาจะถูกส่งตัวไปเข้าห้องรมก๊าษพิษ
มีอยู่วันหนึ่งมีพวกพยาบาลหลายคนเข้ามาในโรงพยาบาลของพวกเรามาถามคนไข้ว่า
“มีใครนอนไม่หลับกันบ้าง” มีคนไข้ซึ่งตอบว่านอนไม่หลับอยู่ประมาณ 20 คน จึงได้รับแจกยาชนิดหนึ่งเป็นผงสีขาวซึ่งอาจมีมอร์ฟีนเป็นส่วนผสมจากพยาบาลเหล่านั้นมารับประทาน
ผลก็คือในวันรุ่งขึ้นคนไข้ที่รับประทานยานั้นเข้าไปได้เสียชีวิตไปถึง
10 คน
พวกพยาบาลได้นำยาชนิดเดียวกันนั้นไปทดลองกับหญิงชราก็มีหญิงชราเสียชีวิตในคืนเดียวกันถึง
70 คน
เมื่อพวกเยอรมันจะค้นคว้าหาวิธีรักษาบาดแผลของคนที่โดนระเบิดฟอสฟอรัสของสหรัฐอเมริกาก็จะใช้ฟอสฟอรัสมาเผาลงที่แผ่นหลังของนักโทษชาวรัสเซียจำนวน
50 คน
ซึ่งการทดลองครั้งนี้ไม่ได้เกิดผลทางด้านการแพทย์เลยแม้แต่น้อย
ชาวรัสเซียซึ่งเป็นหนูตะเภาให้กับการทดลองครั้งนี้คนไหนถ้ายังไม่ตายก็จะถูกนำตัวไปสังหารจนหมดสิ้น
อีกอย่างหนึ่งที่นิยมทำกัน ก็คือ
การทดลองกับพวกผู้หญิงที่เพิ่งเดินมามาถึงค่ายใหม่ๆและมีระบบประจำเดือนมาเป็นปกติโดยในระหว่างที่พวกผู้หญิงเหล่านั้นมีประจำเดือนพวกเยอรมันก็จะไปขู่ตะคอกว่า
“แกจะถูกยิงเป้าในสองวันนี้แล้วนะ”
ที่กระทำเช่นนี้ก็เพราะต้องการจะรู้ว่า
เมื่อผู้หญิงเกิดความตื่นตระหนกกับข่าวร้ายเช่นนี้แล้วจะมีผลอย่างไรต่อการไหลของประจำเดือนบ้าง
ศาสตราจารย์ทางสรีรวิทยาชาวเยอรมันในกรุงเบอร์ลินผู้หนึ่งถึงกับตีพิมพ์บทความในวารสารทางวิทยาศาสตร์ของเยอรมันฉลับหนึ่งว่า
เมื่อผู้หญิงได้ยินข่าวร้ายเช่นนี้แล้วจะมีผลถึงกับทำให้เธอตกเลือดได้
นายแพทย์เมงเกเลซึ่งเป็นแพทย์ใหญ่ประจำค่าย
ชอบค้นคว้าทดลองกบฝาแฝดและคนแคระ คือ
ในตอนที่มีการคัดเลือกครั้งแรกที่สถานีรถไฟนั้น
เด็กๆฝาแฝดที่มากับขบวนรถไฟในแต่ละตู้จะถูกกันตัวให้แยกจากมารดาแล้วถูกส่งตัวไปอยู่ในค่ายเอฟ.เค.แอล.
นายแพทย์เมงเกเลจะให้ความสนใจเด็กฝาแฝดเป็นพิเศษ
ไม่ว่าจะเป็นฝาแฝดชายหรือฝาแฝดหญิง จะได้รับการเอาอกเอาใจเป็นอย่างดี
โดยได้รับอนุญาตให้สวมใส่ผ้าชุดเดิม
ให้ไว้ผมทรงเดิมไม่ถูกกล้อนผมเหมือนผู้ถูกเนรเทศรายอื่นๆ
และที่เขาได้แสดงความห่วงใยเด็กฝาแฝดอย่างเห็นได้ชัดก็เมื่อครั้งที่เจ้าหน้าที่เยอรมันทำการกำจัดนักโทษชาวเชโกโดยได้ออกคำสั่งให้ไว้ชีวิตเด็กฝาแฝดถึง12
คู่
เมื่อมาถึงค่ายเอฟ.เค.แอล.แล้วบรรดาฝาแฝดจะถูกนำตัวไปถ่ายรูปในทุกอิริยาบถแล้วก็เริ่มทำการทดลอง
ซึ่งก็เป็นการทดลองที่ไม่ต่างอะไรกับเด็กเล่นขายของ
ยกตัวอย่างเช่น
เมื่อนำฝาแฝดไปฉีดสารเคมีอย่างหนึ่งแล้ว นายแพทย์เมงเกเลก็จะคอยสังเกตดูปฏิกิริยาที่จะเกิดขึ้นจากการฉีดสารเคมีนั้น
ถ้าเขาไม่ลืมไปเสียก่อน
แม้ว่าจะคอยติดตามผลของการทดลองอย่างใกล้ชิดแต่ก็ไม่มีผลทางวิทยาศาสตร์ใดๆเกิดขึ้น
เพราะสารเคมีที่ฉีดเข้าไปนั้นไม่เกิดผลที่น่าสนใจใดๆ เช่น
ให้ฝาแฝดทดลองใช้สารเคมีบางอย่าง ซึ่งคาดหมายว่าเมื่อใช้แล้วจะทำให้สีของเส้นผมเปลี่ยนแปลงไป
แต่เมื่อนำเส้นผมนั้นมาตรวจสอบด้วยกล้องจุลทรรศน์มันก็ไม่มีผลอะไรเกิดขึ้น
และในที่สุดโครงการทดลองก็ต้องยกเลิกเนื่องจากประสบความส้มเหลวอย่างสิ้นเชิงและไม่คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปเลยแม้แต่น้อย
คนแคระเป็นอีกพวกหนึ่งที่นายแพทย์เมงเกเลให้ความสนใจมาก
เขาจะคลั่งไคล้หมั่นเสาะหาคนพวกนี้อยู่เสมอ ยิ่งวันใดได้พบครอบครัวที่มีคนแคระถึง
5 คนเดินทางมากับขบวนรถไฟขบวนเดียวกันด้วยแล้ว
วันนั้นเขาก็จะยิ้มระรื่นด้วยความสุขใจ
การที่เขาสนใจคนแคระนั้นก็เป็นลักษณะของคนบ้าคลั่งมากกว่าจะเป็นลักษณะความอยากรู้อยากเห็นของพวกนักปราชญ์
เขาจะนำคนแคระเหล่านี้มาทดลองและสังเกตพฤติกรรมในลักษณะที่ผิดปกติเป็นอย่างมาก
คือจะนำมาถ่ายเลือดโดยใช้เลือดต่างกรุ๊ปกัน ซึ่งก็เป็นที่แน่นอนว่ามันจะเกิดผลร้ายกับบรรดาคนแคระเหล่านี้
แต่สำหรับนายแพทย์เมงเกเลแล้วเขาสามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่คำนึงว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับใคร
เขาจะทำในสิ่งที่เขาต้องการและจะทำการค้นคว้าทดลองเหมือนกับคนบ้าที่ไม่มีความรู้สึกรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น
มีการค้นคว้าทดลองที่สถานีทดลองแห่งหนึ่ง
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากค่ายของพวกเราไป
เมื่อมองดูเพียงผิวเผินแล้วอาจจะเห็นว่าเป็นการทดลองที่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์กว่าการทดลองแบบอื่นๆ
แต่หากพิจารณากันอย่างถ่องแท้แล้วก็จะเห็นว่าเป็นเพียงการทดลองที่ต้องการทำลายทรัพยากรมนุษย์ด้วยวิธีพิสดารเสียมากกว่า
และผู้ที่ทำการค้นคว้าทดลองก็เป็นผู้ปราศจากศีลธรรมจรรยาที่ดี
การทดลองต่างๆในสถานีแห่งนี้มีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อเก็บข้อมูลไปให้รัฐบาลเยอรมันเท่านั้น
ซึ่งส่วนใหญ่จะทดลองเกี่ยวกับขีดความสามารถในความอดทนของมนุษย์ เช่น
อดทนต่อความหนาว อดทนต่อความร้อน อดทนเมื่ออยู่ในที่สูง
นักโทษหลายพันคนต้องเสียชีวิตไปกับการทดลองที่สถานีแห่งนี้เช่นเดียวกับการทดลองในค่ายอื่นๆ
หลังจากเสร็จสิ้นการทดลองที่ต้องใช้เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเป็นจำนวนพันไปแล้ว นักวิทยาศาสตร์เยอรมันก็ได้สรุปผลว่า
มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ในน้ำแข็งที่มีอุณหภูมิต่ำากว่าศูนย์องศาได้นานหลายชั่วโมง
นอกจากนั้นแล้วพวกเขาก็ยังสามารถค้นคว้าทดลองจนได้ข้อสรุปว่า
จะต้องใช้เวลานานสักเท่าใดและใช้ความร้อนสักเท่าใดจึงจะทำให้มนุษย์สีชีวิตได้
ส่วนการทดลองอีกอย่างหนึ่งที่ใคร่จะนำมากล่าวถึงก็คือ
การทดลองที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อจะรู้ว่ามนุษย์สามารถอดทนต่อความหิวได้นานเพียงใด
ซึ่งในการทดลองนั้นเขาจะนำนักโทษที่ผอมโซที่สุดในหมู่นักโทษที่เป็นโครงกระดูกเดินได้มาบังคับให้ดื่มน้ำซุปคนละมากๆ
การทดลองแบบนี้จะลงเอยโยผู้ถูกนำมาทดลองนั้นเสียชีวิต
แต่ก็มีผู้ถูกเนรเทศบางรายหิวโหยมากจนทนไม่ไหวและยอมอาสาเป็นหนูตะเภาให้พวกเยอรมันทดลอง
ยกตัวอย่างเช่น
รายหนึ่งเป็นบุตรชายของอดีตนายกรัฐมนตรีเอ็ม. มีความหิวโหยอาหารจนทนไม่ไหวจึงได้เสนอตัวเป็นหนูตะเภาให้พวกเยอรมันทดลองเกี่ยวกับโรคมาลาเรีย
ซึ่งพวกที่ถูกนำมาทดลองเหล่านี้จะได้รับแจกขนมปังเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเป็นเวลา 2-3
วัน
มีการทดลองด้วยการผ่าศพเพื่อวินิจฉัยโรค
ซึ่งก็จะนำคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคที่กำลังจะทำการทดลองออกจากโรงพยาบาลไปฆ่าแล้วทำการผ่าศพพิสูจน์
.ในกรณีที่มีคนไข้หลายคนป่วยเป็นโรคเดียวกัน
แต่ละคนจะถูกทดลองด้วยวิธีแตกต่างกันและเมื่อทำการทดลองจนเป็นที่พอใจแล้ว
พวกเยอรมันก็จะนำคนไข้เหล่านั้นไปสังหาร ทำการผ่าศพและสรุปผลของการทดลอง
แต่โดยทั่วไปเมื่อสังหารคนไข้แล้วผู้ทำการทดลองจะไม่ค่อยสนใจผ่าศพเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เพราะเห็นว่ามีคนไข้อยู่อีกมากมายในค่ายเอาส์ชวิตซ์ที่สามารถนำตัวมาผ่าเพื่อการวินิจฉัยโรคได้
บริษัทไบเออร์เยอรมันเคยส่งขวดยาชนิดหนึ่งมาที่ค่าย
ที่ข้างขวดไม่มีสลากแจ้งประเภทของตัวยา ผู้ทดลองจะใช้ยานี้ฉีดให้แก่ผู้ป่วยเป็นวัณโรค
ซึ่งก็จะมีผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว
แพทย์ผู้ทำการทดลองจะรอให้ผู้ป่วยตายสนิท
จะไม่ส่งไปเข้าห้องรมก๊าซพิษแต่จะทำการผ่าศพเพื่อนำปอดของคนตายรายนี้ส่งไปให้บริษัทไบเออร์เยอรมัน
บริษัทไบเออร์เยอรมันอีกเช่นกันที่นำนักโทษหญิงจำนวน
150 คนออกจากค่ายไปทดลองด้วยตัวยาไม่ทราบชนิด
ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นการทดลองเกี่ยวกับฮอร์โมนเพศ
สถาบันไวเจลที่กราโกว์ก็เคยส่งวัคซีนมาที่ค่ายเพื่อให้ทำการทดลองและหาทางปรับปรุงคุณภาพให้ดีขึ้น
เหยื่อที่ถูกคัดเลือกมาให้เป็นหนูตะเภาในการทดลองก็คือนักโทษการเมืองชาวฝรั่งเศส
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือพวกสมาชิกของกลุ่มขบวนการใต้ดินในฝรั่งเศส
ซึ่งก็เป็นพวกที่เยอรมันต้องการจะกำจัดให้สิ้นซากอยู่แล้ว
มีการรวบรวมอวัยวะต่างๆของมนุษย์ถึง 2000
ชิ้นส่งไปยังมหาวิทยาลัยอินน์สบูกโดยเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้แนะนำว่าจะต้องเป็นอวัยวะของบุคคลที่มีร่างกายแข็งแรงที่ถูกสังหารในห้องรมก๊าซพิษ
ถูกแขวนคอ
หรือถูกยิงเป้าและที่สำคัญที่สุดต้องเป็นบุคคลที่ถูกสังหารในขณะที่มีสุขภาพแข็งแรง
วันหนึ่งมีโทษหญิงหลายคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวโปแลนด์ได้ถูกนำตัวมาชำแหละเพื่อพดลองหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์
โดยการชำแหละกระดูก
กล้ามเนื้อและอวัยวะส่วนต่างๆโดยศัลยแพทย์ที่เดินทางมาจากกรุงเบอร์ลินมาทำการทดลองและเฝ้าสังเกตผลครั้งนี้ด้วยตนเอง
การชำแหละนักโทษกระทำอย่างทารุณโหดร้ายเป็นที่สุดโดยนำเหยื่อไปนอนบนโต๊ะผ่าตัดที่ค่ายร้างแห่งหนึ่งแล้วทำการผ่าตัดโดยไม่วางยาสลบ
ขณะที่ทำการผ่าตัดอยู่นั้นบรรดาหนูตะเภามนุษย์แต่ละคนต้องทุกข์ทรมานกันอย่างแสนสาหัสและหลังจากผ่าตัดเสร็จสิ้นแล้วก็ต้องทนทุกข์ทรมานกันอยู่ต่อไปอีกเพราะพวกเยอรมันไม่ได้ให้ยาอะไรเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดแก่ผู้ที่ถูกทดลอง
มีพวกเยอรมันอีกกลุ่มหนึ่งได้นำเลือดนักโทษไปใช้ทดสอบเพื่อก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อยู่เป็นประจำ
ซึ่งเลือดนักโทษนี้นอกจากจะถูกนำไปใช้เพื่อการทดลองทางวิทยาศาสตร์แล้วก็ยังถูกนำไปให้พวกทหารเยอรมันที่ได้รับบาดเจ็บในการสู้รบอีกด้วย
โดยเจ้าหน้าที่จะเจาะเลือดนักโทษคนละ 500
ซีซีรวบรวมส่งไปให้กองทัพเยอรมัน ซึ่งเลือดเหล่านี้ก็ได้ถูกนำไปใช้เพื่อช่วยชีวิตของพวกทหารเยอรมันโดยลืมไปเสียสนิทว่ามันเป็นเลือดของคนยิวที่ถูกประณามว่ามีคุณภาพต่ำต้อย
ดิฉันเคยกล่าวมาบ้างแล้วในเรื่องการ”ฉีดยาเข้าหัวใจ”
นักโทษเรียกวิธีนี้ว่าฉีดยาพิษเข้าหัวใจ
ซึ่งบางครั้งสิ่งที่นำมาฉีดเข้าหัวใจนี้คือน้ำมันเบนซินหรือน้ำมันดิบ
ในโรงพยาบาลต่างๆใช้วิธีนี้ด้วยเช่นกัน
เมื่อต้องการสังหารผู้ป่วยและผู้มีร่างกายกะปลกกะเปลี้ยรวมทั้งบุคคลที่ไม่พึงปรารถนาอื่นๆ
ดิฉันเคยพูดคุยกับนายแพทย์ชาวโปแลนด์ผู้หนึ่งซึ่งเคยถูกบังคับให้ฉีดยาชนิดนี้แก่เพื่อนนักโทษอยู่ถึง
2 วัน
“เมื่อนายแพทย์หน่ายเอสเอสเรียกผมเข้าไปที่โรงพยาบาล”เขาอธิบาย
“ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย
เขาก็ได้ออกคำสั่งให้ผมฉีดยาให้คนไข้เข้าที่โพรงหัวใจโดยสั่งให้เดินยาในทันทีที่ปักเข็มเข้าไป”
นายแพทย์ชาวโปแลนด์ได้ปฏิบัติตามคำสั่งทุกอย่าง
พอฉีดยาเสร็จนักโทษผู้นั้นก็ล้มลงกับพื้นและนอนตายแน่นิ่งราวกับถูกวางยาสลบ
การทดลองชนิดบ้าคลั่งอีกอย่างหนึ่งคือการนำผู้ป่วยนับร้อยรายไปนอนตากแดดที่ร้อนจัดเพียงเพื่อต้องการจะรู้ว่าผู้ป่วยเหล่านั้นจะมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าใดเมื่อไม่ได้ดื่มน้ำเลย
ห่างจากค่ายของพวกเราไปประมาณ
20ไมล์มีสถานีทดลองอีกอย่างหนึ่งซึ่งกล่าวกันว่าสถานีแห่งนี้มีความเชี่ยวชาญในการผสมเทียมโดยเฉพาะ
พวกแพทย์ที่ถูกส่งไปประจำการอยู่ที่นี่มีคุณสมบัติพิเศษคือถ้าเป็นเพศชายต้องรูปหล่อและถ้าเป็นเพศหญิงก็ต้องสวยเป็นพิเศษ
พวกเยอรมันให้ความสำคัญกับการทดลองผสมเทียมนี้มาก
แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่าดิฉันไม่ได้ไปเห็นงานทดลองที่ทำกันอยู่ที่นั่น
เพราะสถานีทดลองมีมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดแต่ก็พอมีข้อมูลเรื่องนี้อยู่บ้าง
คือพวกเยอรมันไดนำผู้หญิงจำนวนหนึ่งไปทดลองผสมเทียม
แต่การทดลองไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาด ดิฉันเคยรู้จักผู้หญิงที่เคยถูกนำไปผสมเทียมและยังมีชิวิตอยู่แต่พวกเธออายที่จะยอมรับว่าเคยถูกนำไปทดลอง
ผู้หญิงอีกกลุ่มหนึ่งถูกฉีดฮอร์โมนเพศแต่ก็ไม่รู้ว่าสารที่ฉีดเข้าไปนั้นคืออะไร
และพวกเยอรมันต้องการให้ผลเป็นอย่างไรหลังจากฉีดฮอร์โมนนี้เข้าไปแล้วหญิงส่วนมากเกินอาการบวมและอักเสบตรงอวัยวะเพศต้องไปรับการผ่าตัดที่คุกหมายเลข
10
ดิฉันรู้ดีว่ามีการทดลองเกี่ยวกับการทำหมันในค่ายเอาส์ชวิตซ์-เบอร์เคเนาโดยการอำนวยการของนายแพทย์ชาวโปแลนด์ผู้หนึ่ง
ซึ่งถูกพวกเยอรมันนำตัวไปสังหารก่อนที่ค่ายจะได้รับการปลดปล่อยเพียงไม่กี่วัน
การทดลองเหล่านี้เป็นความพยายามที่เปรียบเทียบกับผลของการทำหมันด้วยวิธีผ่าตัดกับวิธีใช้การฉายรังสีเอกซ์
ขณะที่พวกเราทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลได้เคยเห็นคนไข้หญิงเป็นจำนวนมากถูกนำตัวมาจากสถานีทดลองแห่งนี้
พวกผู้หญิงเหล่านี้มีรอยไหม้เกรียมอันเนื่องมาจากการฉายรังสีเอกซ์อย่างเห็นได้ชัด
พวกเรารู้เรื่องราวของการทดลองนี้จากหญิงที่ถูกนำตัวไปทดลองรวมทั้งจากนายแพทย์ผู้ถูกเนรเทศอื่นๆว่า
ผู้ถูกทดลองจะถูกนำตัวไปนอนอยู่ใต้เครื่องฉายรังสีเอกซ์ที่ปล่อยรังสีออกมามากๆ
และในช่วงที่ทำการฉายรังสีเอกซ์อยู่นี้ก็จะมีการหยุดฉายรังสีเป็นช่วงๆเพื่อตรวจสอบดูว่าหญิงเหล่านั้นจะยังสามารถร่วมเพศได้หรือไม่
การทดลองนี้กระทำกันอยู่ในคุกหมายเลข 21
โดยมีเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสคอยควบคุมอย่างใกล้ชิด
เมื่อนายแพทย์ยืนยันว่ารังสีเอกซ์ทำลายระบบสืบพันธุ์อย่างสิ้นเชิงแล้วหญิงเคราะห์ร้ายผู้นั้นก็จะถูกนำตัวไปสังหารในห้องรมก๊าซพิษ
บางครั้งเมื่อฉายรังสีเอกซ์กับเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายบางรายต้องใช้เวลานานกว่าจะให้ผลตามต้องการ
เหยื่อการทดลองเหล่านั้นก็จะถูกนำตัวไปผ่าตัดทำหมันแทน
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1944
พวกเยอรมันทำหมันให้แก่ด็กชายที่มีอายุระหว่าง 13-17 ปีจำนวนถึง 1000
คนโดยมีการลงทะเบียนชื่อและวันเดือนปีที่ทำหมันเอาไว้ด้วย
อีก
2-3สัปดาห์ต่อมาเด็กเหล่านี้ก็ถูกเรียกตัวมาที่คุกหมายเลข 21
อีกครั้งและได้นำตัวเข้าไปสอบถามในห้องทดลองถึงผลของการทำหมันว่า
ยังมีความรู้สึกต้องการทางเพศอยู่หรือไม่ ยังสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองอยู่หรือไม่
ความทรงจำเสียไปหรือยังดีอยู่ ฯลฯ
จากนั้นพวกเยอรมันก็ให้เด็กหนุ่มเหล่านั้นใช้มือสำเร็จความใคร่
ใครที่ไม่เกิดความรู้สึกทางเพศและอวัยวะไม่แข็งตัวเขาก็จะช่วยปลุกกำหนัดโดยการใช้มือลูบคลำที่ลูกอัณฑะ
ขณะที่ช่วยตัวเองกำลังจะหลั่งน้ำอสุจิออกมานั้นพวกนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันก็จะใช้เครื่องมือชนิดหนึ่งเป็นแท่งโลหะแข็งสอดใส่เข้าไปในท่อปัสสาวะไปรองรับน้ำอสุจิออกมา
ซึ่งการกระทำเช่นนี้ก่อให้เกิดความเจ็บปวดกับพวกเด็กๆเป็นอย่างมาก
จากนั้นน้ำอสุจิจะถูกนำไปพิสูจน์โดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อวิจัยว่าตัวสเปิร์มยังแข็งแรงอยู่หรือไม่
ในปี ค.ศ. 1944 พวกเยอรมันได้ส่งกล้องจุลทรรศน์ชนิดเรืองแสงมาให้ใช้ตรวจสอบว่าตัวสเปิร์มของผู้ใดมีชีวิตอยู่และของผู้ใดไม่มีชีวิต
บางครั้งพวกเยอรมันก็ผ่าตัดเอาลูกอัณฑะไปเพียงหนึ่งในสี่บ้าง
ครึ่งหนึ่งบ้าง ตัดไปทั้งหมดบ้าง นำไปใส่ในหลอดดองด้วยยาฟอร์มาลีน 10 เปอร์เช็นต์
แล้วส่งไปตรวจสอบด้วยกล้องจุลทรรศน์ที่เมืองเบรสเลา
ในตอนผ่าตัดลูกอัณฑะนั้นจะฉีดยาชาชนิดหนึ่งเข้าไปก่อน
พวกเด็กที่ถูกตัดลูกอัณฑะเหล่านี้จะถูกแยกออกจากเด็กอื่นๆนำไปควบคุมตัวไว้มนคุกหมายเลข
21 และมีคนคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด
เมื่อผลการทดลองสำเร็จเรียบร้อยแล้วรางวัลที่พวกเด็กเหล่านี้ได้รับคือถูกส่งตัวไปเข้าห้องรมก๊าซพิษ
ดิฉันยังจำเหตุการณ์เกี่ยวกับการทดลองที่กระทำกับเด็กหนุ่มชาวโปแลนด์วัย
20 ปีคนหนึ่งชื่อครูเอนวัลด์ได้ โดยศาสตราจารย์เกลาเบอร์ได้สั่งให้ทำหมันเด็กคนนี้ด้วยวิธีการฉายรังสีเอกซ์
หลังจากทดลองไปได้ 2
เดือนแล้วปรากฏว่ารังสีเอกซ์ไม่สามารถทำให้เด็กเป็นหมันได้ตามต้องการ
จึงได้ถูกนำตัวไปที่คุกหมายเลข 21 เพื่อทำการผ่าตัดลูกอัณฑะออกทั้งหมด
แต่รังสีเอกซ์ที่ใช้ในการทดลองไปแล้วนั้นได้ทำให้อวัยวะเพศของเด็กหนุ่มไหม้เกรียมและต่อมามันก็กลายเป็นมะเร็ง
เด็กนุ่มได้รับความทุกข์ทรมานมาก เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 1945 เด็กคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลที่ค่ายเบอร์เคเนา
วิธีการเหล่านี้ได้ถูกนำมาใช้ทำหมันนักโทษหญิงด้วยเช่นกัน
แต่บางครั้งพวกเยอรมันจะใช้รังสีคลื่นสั้นทำหมันให้แก่ผู้หญิง
ซึ่งก็สร้างความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่บริเวณท้องน้อย จากนั้นแพทย์ก็จะมาตรวจดูอาการแล้วให้ศัลยแพทย์ทำการผ่าตัดเอามดลูกและรังไข่ออก
ศาสตราจารย์ชูมันและนายแพทย์เวิร์ดได้ทดลองด้วยวิธีนี้หลายครั้งกับเด็กสาวอายุ
16-17 ปี ในหมู่เด็กสาวทั้งหมด 50 คนที่ถกนำตัวไปทดลองแบบนี้
มีผู้รอดชีวิตได้เพียง 2 คนเท่านั้น คือ เบลลา ซิมสกี และดอรอ บู เยนนา มาจากเมืองลาโลนิกา
ทั้ง 2
คนเล่าให้ดิฉันฟังว่าถูกนำตัวไปนอนอยู่ใต้เครื่องฉายรังสีคลื่นสั้น
แล้วเจ้าหน้าที่ก็นำแผ่นโลหะแผ่นหนึ่งวางลงที่หน้าท้องส่วนอีกแผ่นหนึ่งรองไว้ที่ด้านหลังแล้วปล่อยกระแสไฟฟ้าตรงไปยังรังไข่
รังสีคลื่นสั้นนี้ถูกปล่อยออกมารุนแรงมากจนบริเวณหน้าท้องของผู้ถูกทดลองไหม้เกรียม
หลังจากได้รับการดูแลรักษาอยู่ 2
เดือนเด็กเหล่านั้นก็ไปรับการผ่าตัดทำหมันอีกครั้งหนึ่ง
มีเด็กสาวอีกกลุ่มหนึ่งเป็นชาวดัตช์เกือบทั้งหมด
ก็ได้ถูกนำคัวไปทดลองด้วยเช่นกัน
ผ็ที่รู้เหตุผลของการทดลองในครั้งนี้คือนายแพทย์กลาเบิร์ก สูตินรีแพทย์ชาวเยอรมันจากเมืองกัตโตวิตซ์
การทดลองทำหมันโดยวิธีนี้ใช้เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าและสารเหลวๆสีขาวข้นฉีดเข้าไปในอวัยวะเพศ
ซึ่งทำให้เกิดอาการสวบแสบปวดร้อนและเนื้อไหม้พองไปหมด เขาจะฉีดในลักษณะนี้ทุกๆ 4
สัปดาห์ หลังจากฉีดแล้วแต่ละครั้งก็จะมีการฉายรังสีพร้อมๆกันไปด้วย
ในขณะเดียวกันนี้นักโทษหญิงกลุ่มเดียวกันนี้ก็ได้ถูกนำตัวไปให้แพทย์อีกคนหนึ่งทำการทดลองด้วยวิธีอื่นๆอีก
คือโดยการฉีดเซรุ่มเข้าไปที่บริเวณทรวงอกคนละประมาณ 2-9 เข็มๆละประมาณ 5 ซีซี
ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเซรุ่มชนิดใดกันแน่
รู้แต่เพียงว่าปฏิกิริยาของมันทำให้หน้าอกของผู้ที่ถูกทดลองบวมปูดขึ้นมาโตขนาดเท่ากำปั้น
สร้างความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส
มีเด็กบางคนถูกฉีดเซรุ่มชนิดนี้เข้าไปถึง 100
ครั้งและบางรายก็ถูกฉีดที่เหงือกแทนที่จะเป็นที่หน้าอก
ซึ่งหลังจากผ่านการทดสอบมานานพอสมควรแล้วเด็กหญิงเหล่านั้นก็ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ไร้ประโยชน์และถูกนำตัวไปสังหารในที่สุด
ครั้งหนึ่งพวกเราเคยคุยกับนักโทษชาวเยอรมันคนหนึ่งซึ่งเป็นนักสังคมสงเคราะห์
และได้ถามถึงเหตุผลที่พวกเยอรมันทำหมันและคัดลูกอัณฑะของพวกนักโทษ
ชาวเยอรมันผู้นี้ก่อนที่ตะถูกจับมาอยู่ในค่ายกักกันเป็นผู้ที่สนใจการเมืองของประเทศเยอรมันมาก
ซ้ำยังรู้จักบุคคลสำคัญในวงการเมืองเยอรมันหลายคน
เขาบอกว่าพวกเยอรมันมีเหตุผลทางด้านภูมิรัฐศาสตร์อยู่เบื้องหลังการทดลองต่างๆ
คือถ้าหากพวกเยอรมันสามารถทำหมันคนเผ่าอื่นที่ไม่ใช่คนเผ่าเยอรมันได้ทั้งหมด
หลังจากที่เยอรมันชนะสงครามแล้วผู้ที่ถูกทำหมันเหล่านี้ก็จะไม่สามารถสืบเชื้อสายแพร่ลูกหลานมาเป็นอันตรายต่อเยอรมันได้อีกต่อไป
ขณะเดียวกันผู้ที่เป็นหมันเหล่านี้ก็ยังสามารถเป็นกรรมการผู้ใช้แรงงานรับใช้ประเทศเยอรมันได้ต่อไปอีก
ถึง 30 ปี ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นแล้วปนะชากรเยอรมันก็จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
พอที่จะเข้าครอบครองพื้นที่ประเทศต่างๆในยุโรปได้ทุกประเทศ ส่วนผู้ที่ถูกทำหมันแล้วนั้นก็จะล้มตายและสูญพันธุ์ไปในที่สุด
เมื่อพูดถึงการทดลองต่างๆเหล่านี้ทำให้ดิฉันนึกถึงเด็กสาวชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งชื่อยอร์แจตต์ซึ่งมาเสียชีวิตในโรงพยาบาลของพวกเรา
ในวันคริสต์มาส ค.ศ. 1944
คือหลังจากยอร์แจตต์ถูกใช้เป็นหนูตะเภาในการทดลองทำหมันแล้ว
เธอได้กลับเข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง
เนื่องจากหลังผ่านการทดลองแล้วนั้น
อวัยวะเพศของเธอเสียหายยับเยินจนไม่สามารถจะร่วมเพศกับใครได้อีก
ยอร์แจตต์มีคนรักเป็นชาวโปแลนด์และเขาก็จะมาเยี่ยมในวันที่เธอกลับเข้ามารักษาตัวในโรงพยาบาล
แต่จอร์แจตต์ได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ยอมพบหน้าคนรัก
คือแทนที่จะยอมรับปมด้อยที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เธอกลับอยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
คนรักของยอร์แจตต์ได้มาที่โรงพยาบาลตามที่ได้พูดไว้
แต่ยอร์แจตต์กลับหนีขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงชั้นที่ 3
เอาผ้าห่มคลุมหน้านอนนิ่งทำเหมือนตาย ปล่อยให้พวกเราคอยรับหน้าคนรักของเธอแทน
พวกเราได้บอกกับชายหนุ่มตามที่ยอร์แจตต์เธอสั่งไว้
“ยอร์แจตต์เสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน
โน่นไงศพของเธอ”
อนิจจา!! แทนที่ชายหนุ่มจะเดินไปที่เตียงซึ่งยอร์แจตต์นอนแสร้งทำตายอยู่นั้น
เขากลับเดินตรงไปที่เตียงของหญิงสาวอีกคนหนึ่งซึ่งมาจากเมืองกราโกว์และได้มอบของขวัญที่เตรียมมาจะให้ยอร์แจตต์นั้นให้แก่เธอผู้นี้แทน
ฝ่ายยอร์แจตต์ถึงแม้ผ้าจะคลุมหน้าอยู่แต่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ได้โดยตลอด เธอเกิดความน้อยใจและเสียใจมาก และอีก 2-3
วันต่อมาเธอก็ได้ดื่มยาพิษฆ่าตัวตายโดยที่ไม่มีใครสามารถช่วยชีวิตไว้ได้ทัน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น