Ads

วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 10 อยู่เพื่อดูความโหดร้ายของนาซี



บางครั้งก็มีพวกผู้ชายมารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลของเราด้วย บุคคลเหล่านี้เป็นนักโทษชายที่มาทำงานเป็นกรรมกรในค่ายของผู้หญิง กว่าจะได้กลับค่ายก็ตอนเย็นๆ ซึ่งเป็นเวลาที่โรงพยาบาลในค่ายของพวกเขาปิดแล้ว 


เราไม่สามารถปฏิเสธที่จะให้การรักษาแก่นักโทษชายเหล่านี้ได้ ถึงแม้พวกเยอรมันจะวางกฎห้ามไว้อย่างเคร่งครัดไม่ให้ทำเช่นนั้นก็ตาม เราจะจะไม้ไส้ระกำได้อย่างไรในเมื่อสาเหตุที่พวกเขาได้รับบาดเจ็บนั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากอุบัติเหตุในขณะมาทำงานในค่ายของเราแทบทั้งสิ้น

ในบรรดาผู้ชายบาดเจ็บที่มารับบริการจากเรามีผู้ชายสูงอายุชาวฝรั่งเศสรวมอยู่ด้วยคนหนึ่ง ซึ่งต่อไปนี้ดิฉันจะเรียกนามสมมุติของเขาว่า “แอล” เขาได้รับบาดเจ็บที่เท้ามากจนต้องมารักษาที่โรงพยาบาลของเราอยู่เป็นประจำ

แอลเป็นคนมีเสน่ห์ที่เราชอบต้อนรับและพูดคุยกับเขามาก แต่ละครั้งที่มาเขาจะเล่าเกี่ยวกับสถานการณ์ทางทหารและทางการเมืองในยุโรปให้ฟัง ขณะที่เราให้การรักษาบาดเจ็บทางร่างกายแก่เขา เขาจะตอบแทนด้วยการเล่าเรื่องที่จะช่วยผ่อนคลายความทุกข์ในใจให้แก่เราด้วย

แอลกลายเป็นแหล่งกระจายและรวบรวมข่าวระดับโลก อย่างน้อยที่สุดข่าวที่เขาให้แก่เราก็เป็นข่าวจริง ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันในทำนองข่าวลือที่เคยได้ฟังจากปากของนักโทษอื่นๆในค่าย

ทัศนะที่แสดงออกมาจากปากของนักโทษอื่นๆมักจะสับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูก อีกอย่างหนึ่งพวกนักโทษมักจะหมดอาลัยตายอยากไม่อยากพูดอะไรกัน เพราะถือว่าพูดไปก็ไร้ประโยชน์ ในเมื่อจะต้องอยู่ในค่ายกักกันนี้อีกนานแสนนาน 

ความคิดของนักโทษในค่ายเอาส์ชวิตซ์และเบอร์เคเนาถือว่าสงครามเลือดที่กำลังเกิดขึ้นนั้นมันอยู่ห่างไกลออกไปจนเกือบจะถือได้ว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นกับพวกเขา

อันที่จริงเราก็ไม่ได้เห็นเขารบกันแต่อย่างใด เพียงแต่บางครั้งได้ยินเสียงสัญญาณเตือนภัยทางอากาศ ซึ่งก็ไม่บ่อยครั้งนัก และเมื่อสัญญาณเตือนภัยทางอากาศดังขึ้นมาพวกเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสก็จะวิ่งกันหัวซุกหัวซุนหนีออกจากค่ายไปหลบซ่อนตัวอยู่ในป่า

แต่ก่อนจะพากันหนีไปก็จะกวาดต้อนพวกเขาเข้าค่ายแล้วปิดประตูค่ายทุกด้านอย่างแน่นหนาเพื่อป้องกันการหลบหนี ก็เป็นอันว่าพวกนักโทษเท่านั้นที่ต้องเสี่ยงภัยจากลูกระเบิดส่วนพวกเอสเอสมีโอกาสวิ่งหาที่กำบังหลบภัยได้อย่างสะดวก
ด้วยเหตุที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาดิฉันต้องอยู่ในภาวะที่ถูกบีบคั้นทางจิตใจอย่างหนัก ดังนั้นข่าวที่แอลนำมาบอกจึงช่วยให้มีขวัญและกำลังใจดีขึ้นมาก

ในทางด้านร่างกายดิฉันได้รับความสะดวกสบายขึ้นนับตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำงานในโรงพยาบาล แต่ในทางจิตใจดิฉันยังแบกทุกข์ไว้เต็มอก ยากที่จะขจัดออกไปได้ง่ายๆ

ดิฉันต้องสูญเสียบิดามารดกับบุตรชายอีก 2 คน ส่วนสามีก็ยังไม่ได้ข่าวอะไรจากเขาอีกเลย ซึ่งถ้าหากเขาเป็นอะไรไปอีกคนดิฉันคงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้เป็นแน่

ในขณะนั้นสภาพจิตใจของดิฉันพร้อมที่จะฆ่าตัวตายได้ทุกเมื่อ เพื่อนๆต่างทักว่าดิฉันผ่ายผอมลงไปมากจนน่าวิตก

วันหนึ่งแอลสนทนาอยู่กับดิฉันตามลำพัง

“คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะทำลายชีวิตของตนเองนะครับ” แอลกล่าวตำหนิดิฉัน

“แม้คุณจะเห็นว่าชีวิตของคุณมันไม่มีค่าสำหรับตนเอง แต่คุณมีค่าสำหรับคนอื่นๆอีกมาก ต้องอยู่ต่อไปนะครับ อยู่เพื่อช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ให้แก่ผู้อื่นที่อยู่รอบๆตัวคุณ คุณอยู่ในฐานะที่จะทำประโยชน์ได้อีกหลายทาง เชื่อผมเถอะครับ ชีวิตนี้ยังมีหวัง สักวันหนึ่งโชคคงเข้าข้างเรา”

แอลมองดิฉันด้วยสายตาบ่งบอกว่าต้องการสำรวจความจริงใจ

“ผมมีงานอย่างหนึ่งที่จะให้คุณทำ” เขาพูดต่อ

“มันเป็นงานที่ออกจะเสี่ยงอันตรายไปหน่อยแต่ก็เป็นการเสี่ยงที่คุ้มค่า และที่สำคัญมันเป็นงานที่มีจุดมุ่งหมายมากกว่างานที่ทำเพื่อแลกขนมปังประทังชีวิตไปวันๆอย่างเช่นขณะนี้”
ดิฉันสบตาเขาพร้อมกับรอยยิ้ม

“ดิฉันยินดีช่วยคุณค่ะ” ดิฉันกล่าว”จะให้ดิฉันทำอะไรหรือคะ”

“พวกเราจะมอบหมายงานให้คุณทำ 2 อย่าง” เขากล่าว

“ประการแรก ช่วยกระจายข่าวเท็จให้แก่พวกเรา ซึ่งเป็นงานสำคัญที่จะบำรุงขวัญของบรรดานักโทษ ตกลงไหมครับ?

การกระจ่ายข่าวเท็จนั้นเป็นข้อห้ามของชาวเยอรมัน ถ้าถูกจับได้จะมีโทษหนักถึงตาย แต่ความตายคืออะไรล่ะคะ?เท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันก็เหมือนกับตายทั้งเป็นอยู่แล้ว ดิฉันจึงไม่กลัวมันต่อไป และได้รับปากแอลว่าจะทำงานชิ้นนี้ให้เขาด้วยความเต็มใจ

“ประการที่สอง” เขากล่าวต่อ

“งานประจำของคุณเหมาะที่จะทำหน้าที่เป็นบุรุษไปรษณีย์ จะมีคนนำจดหมายและหีบห่อสิ่งของมามอบให้คุณ ซึ่งคุณจะต้องทำหน้าที่ส่งให้แก่บุคคลต่างๆตามที่พวกเราจะแนะนำ แต่จะต้องไม่บอกเรื่องนี้กับใคร แม้แต่กับเพื่อนสนิทของคุณเอง ในกรณีที่คุณถูกจับและถูกนำตัวไปเค้นสอบสวนจะได้ไม่มีหลักฐานพยานซัดทอดมาถึงคุณ แต่ถ้าหากถูกจับได้จริงๆพวกมันก็คงจะทรมานคุณเพื่อเค้นให้บอกความจริง คุณคิดว่าตัวเองจะเข้มแข็งพอที่จะทนต่อการถูกทรมานได้หรือเปล่า?”

เมื่อถึงตอนนี้ดิฉันนิ่งไปพักหนึ่ง แต่เท่าที่เป็นอยู่ขณะนี้มันก็ทรมานพอแรงอยู่แล้ว มันจะมีสิ่งใดที่จะทรมานมากไปกว่านี้อีกล่ะ และถ้ามันเกิดขึ้นมาดิฉันก็จะพยายามทำใจให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น เมื่อคิดๆได้เช่นนี้เลยยอมรับปากแอลว่าจะทำงานอย่างที่สองให้เขา

เขานิ่งคิดอะไรอยู่พักหนึ่งแล้วกล่าวขึ้นว่า

“มีอีกอย่างหนึ่ง คือเราจะต้องสังเกตทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นในค่ายแห่งนี้ แล้วบันทึกสิ่งที่ตนพบเห็นเอาไว้มากที่สุด เมื่อสงครามยุติลงแล้วก็จะได้นำไปเปิดเผยให้ชาวโลกได้รู้ความจริงที่เกิดขึ้น”

ตั้งแต่นั้นมาดิฉันมีเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปในฐานะที่เป็นสมาชิกของขบวนการต่อต้านเยอรมันด้วยภาวะจำยอม

ภายหลังจากได้สนทนากับแอลแล้วดิฉันก็ได้มีโอกาสพบปะกับสมาชิกอื่นๆใน ขบวนการใต้ดินของพวกเรา แต่ก็มีความสัมพันธ์กันเฉพาะเรื่องงานเท่านั้น จะไม่พยายามถามชื่อเสียงเรียงนามของกันและกัน ที่กำหนดมาตรการไว้เช่นนี้ก็เพื่อป้องกันการหักหลังในกรณีที่ใครคนใดคนหนึ่งถูกจับไปทรมานเพื่อให้เปิดเผยชื่อของสมาชิกคนอื่นๆ

ผลจากการติดต่อกับบุคคลต่างๆในขบวนการใต้ดินทำให้ดิฉันได้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับห้องรมก๊าซพิษและเตาเผาศพมากขึ้นดังนี้

ในระยะแรกผู้ถูกลงโทษประหารชีวิตในค่ายกักกันเบอร์เคเนาจะถูกนำตัวไปยิงทิ้งในป่าแบร์ซินสกี หรือไม่ก็ถูกนำตัวไปขังที่ห้องรมก๊าซพิษ(บ้านสีขาว) ภายในค่าย 


ศพของนักโทษประหารเหล่านี้จะถูกนำไปเผาในหลุมเผาศพ หลังจากปี ค.ศ. 1941 มีการสร้างเตาเผาศพขนาดใหญ่จำนวน 4 เตา เพื่อใช้เผานักโทษประหาร แต่โรงงานทำลายมนุษย์แห่งนี้มีผลผลิตดีเด่นมากจนต้องขยายกิจการออกไปอีกอย่างกว้างขวาง

ในช่วงแรกๆทั้งคนยิวและคนเผ่าอื่นๆต่างก็ถูกส่งมาเผาในที่แห่งเดียวกัน แต่หลังจากเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1943 ห้องรมก๊าซพิษและเตาเผาศพถูกเก็บไว้ใช้กับคนยิวและคนยิปซีเท่านั้น

ส่วนพวกเผ่าอารยันจะไม่ถูกส่งมามาประหารชีวิตที่นี่เว้นไว้แต่กรณีต้องการแก้เผ็ดหรือในกรณีเกิดความผิดพลาดบางประการ แต่โดยทั่วๆไปพวกเผ่าอารยันจะถูกนำตัวไปสังหารด้วยการถูกยิงเป้า นำไปแขวนคอ หรือฉีดด้วยยาพิษ

ในบรรดาเตาเผาศพ 4 เตาในค่ายเบอร์เคเนา มี 2 เตามีขนาดใหญ่มาก สามารถเผาศพได้ครั้งละมากๆแต่ละเตามีช่องเปิดปิดขนาดใหญ่ถึง 120 ช่อง แต่ละช่องบรรจุศพได้ 3 ศพ นั่นหมายความว่าครั้งหนึ่งๆเตาเผาศพมีขีดความสามารถเผาได้ถึง 360 ศพ นั่นเป็นเพียงระยะเริ่มต้นของผลผลิตของพวกนาซีเท่านั้น

เรามาลองคำนวณดูก็ได้ ในทุกครึ่งชั่วโมงจะมีศพถูกเผา 360 ศพ 1 ชั่วโมงเผาได้ 720 ศพ ใน 24 ชั่วโมงจะเผาได้ถึง 17,280 ศพ และเตาเหล่านี้จะทำหน้าที่เผาตลอดทั้งคืนทั้งวันโดยไม่มีการหยุดพัก

แต่ทั้งนี้ยังไม่ได้เอาจำนวนศพที่ถูกเผาในหลุมเผาศพมานับรวมกับจำนวนดังกล่าว ซึ่งวันหนึ่งๆจะเผาศพได้ประมาณ 8,000 ศพ

เมื่อนำทั้งสองจำนวนมาบวกกันก็จะมีศพคนตายถูกเผาวันหนึ่งประมาณ 25,280 ศพ นับว่าเป็นตัวเลขการผลิตที่น่าพึงพอใจในอุตสาหกรรมทำลายล้างมนุษยชาติของนาซี ใช่ไหมคะ?

ในขณะอยู่ในค่ายดิฉันได้สถิติตัวเลขจำนวนของขบวนรถไฟที่บรรทุกนักโทษมาที่ค่ายเอาส์ชวิตซ์-เบอร์เคเนาในระหว่างปี ค.ศ. 1942-1943 ซึ่งปัจจุบันนี้ฝ่ายสัมพันธมิตรทราบจำนวนแน่นอนของขบวนรถไฟเหล่านั้นแล้ว

และในการพิจารณาคดีอาชญากรสงครามก็ได้ใช้ตัวเลขเหล่านี้ไปยืนยันเป็นหลักฐานในศาลแล้ว ดิฉันใคร่ขอยกตัวอย่างมากล่าวในบทนี้ดังนี้


ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1943 มีรถไฟบรรทุกนักโทษมาที่ค่ายเบอร์เคเนาวันละ 2-3 ขบวน แต่ละขบวนพ่วงตู้รถไฟมาประมาณ 30-50 ตู้ 


นักโทษส่วนใหญ่เป็นชาวยิวแต่ก็มีศัตรูกลุ่มอื่นของรัฐบาลนาซีอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง เช่น นักโทษการเมืองทุกสัญชาติ อาชญากรธรรมดา และเชลยศึกชาวรัสเซีย 


แต่ค่ายเอาส์ชวิตซ์-เบอร์เคเนาจัดไว้เป็นพิเศษเพื่อทำลายล้างชาวยิวในทวีปยุโรปโดยเฉพาะ ซึ่งพวกเยอรมันถือว่าชาวยิวเป็นบุคคลไม่พึงปรารถนาอย่างยิ่งตามลัทธินาซี จึงนำชาวยิวเหล่านี้มาฆ่าและเผาในเตาเผาศพเป็นจำนวนหลายล้านคน

บางครั้งมีศพมากจนเกินขีดความสามารถชองเตาเผาศพจะทำงานได้ทัน แม้ว่าในความเป็นจริงมันจะทำงานตลอด 24 ชั่วโมงแล้วก็ตาม ก็จะนำศพที่เผาไม่ทันไปเผาในหลุมเผาศพซึ่งเป็นหลุมยาวประมาณ 60 หลา กว้างประมาณ 4 หลา

มีช่วงหนึ่งที่มีขบวนรถไฟมายังค่าย 2 แห่งนี้มากเป็นพิเศษ คือ ในปี ค.ศ. 1943 มียิวสัญชาติกรีกถูกส่งตัวมาที่ค่ายเบอร์เคเนาถึง 47,000 คน

ในจำนวนนี้ถูกสังหารในทันทีที่มาถึงจำนวน 39,000 คนที่เหลือถูกนำตัวไปขังไว้ในค่ายและตายไปเรื่อยๆเพราะไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศ

ปกติคนกรีกและคนอิตาเลียนจะปรับตัวเข้ากับอากาศหนาวและความยากลำบากอื่นๆไม่ค่อยได้ ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะอดอยากมาก่อนที่จะถูกส่งตัวมาอยู่ในค่าย

ในปี ค.ศ. 1944 เป็นช่วงที่ชาวยิวที่อยู่ในประเทศฮังการีถูกนำตัวมาที่ค่ายแห่งนี้และถูกสังหารไปเป็นจำนวนกว่า 50,000 คน

ดิฉันมีตัวเลขเฉพาะในเดือนพฤษภาคม มิถุนายน และกรกฎาคม ปี ค.ศ. 1944  ตัวเลขนี้ได้มาจากนายแพทย์ปัสเช่นายแพทย์ชาวฝรั่งเศส ซึ่งเคยเป็นเจ้าหน้าที่ประจำเตาเผาศพ เขาจึงอยู่ในฐานะที่จะเก็บสถิติอัตราการเผาศพได้เป็นอย่างดี ตัวเลขที่รวบรวมได้มีดังนี้

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1944 เผาศพจำนวน 360,000 ศพ

ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1944 เผาศพจำนวน 512,000 ศพ

ในช่วงวันที่ 1-26 กรกฎาคม ค.ศ. 1944 เผาศพจำนวน 442,000 ศพ

รวมศพที่ถูกเผา 1,314,000 ศพ


จะเห็นได้ว่าในช่วงไม่ถึง 3 เดือน พวกเยอรมันทำการประหารชีวิตนักโทษในค่ายเอาส์ชวิตซ์และเบอร์เคเนาไปเป็นจำนวนกว่า 1,300,000 คน

ดิฉันได้มีโอกาสพบเห็นเหตุการณ์นี้ด้วยตาของตนเอง ในขณะที่รถไฟบรรทุกผู้ถูกเนรเทศมาที่สถานี วันนั้นดิฉันพร้อมกับนักโทษอีก 3 คนได้รับคำสั่งให้ไปรับผ้าห่มมาใช้ในโรงพยาบาล

เมื่อเราไปถึงสถานีรถไฟก็เป็นเวลาเดียวกับขบวนรถไฟขบวนหนึ่งเข้าเทียบชานชาลา บรรดามนุษย์ที่มีตัวมอมแมมและหิวโหยกำลังทยอยลงจากตู้บรรทุกสัตว์ ซึ่งแต่ละตู้มีจำนวนที่แออัดแน่นกว่า 100 คน

ฝูงมนุษย์ที่น่าสงสารเหล่านี้ได้ร้องตะโกนเป็นภาษายุโรปเกือบทุกภาษา คือ ฝรั่งเศส โรมาเนีย โปแลนด์ เชโก ดัตช์ กรีก อิตาลี และภาษาอื่นๆที่ฟังไม่ออก

“น้ำ น้า ขอน้ำดื่มหน่อย”

เมื่อตอนที่เราไปถึงสถานีรถไฟในช่วงแรกนั้นเป็นเวลาที่มีหมอกลงจัด มองเห็นอะไรไม่ค่อยชัดนัก จึงไม่สามารถแยกแยะอะไรเป็นอะไรได้

ถึงกระนั้นก็ตามก็แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าสิ่งทีเราเห็นนั้นมันเป็นความจริง ต่อมาเมื่อชินกับทัศนวิสัยจึงพอที่จะเห็นอะไรชัดเจนยิ่งขึ้น ดิฉันจำหัวหน้าหน่วยเอสเอสบางคนได้ เช่น นายกราเมอร์ บุรุษซึ่งหนังสือพิมพ์ให้สมญานามว่า “สัตว์ร้ายแห่งเบลเซ่น” เพราะความที่เขาเป็นคนมีอิทธิพลมากนั่นเอง

นายกราเมอร์กำลังเดินตรวจเชลยผู้ถูกเนรเทศเหล่านั้นอยู่ ดิฉันเห็นหน้าเขาเมื่อใดก็มีความรู้สึกเหมือนกับเห็นอสรพิษ ยังจำรอยยิ้มนิดๆที่มุมปากของเขาได้เป็นอย่างดี มันเป็นรอยยิ้มแสดงออกถึงความพึงพอใจ ในขณะที่เขามองดูมวลมนุษย์ซึ่งตกมาอยู่ในเงื้อมมือของเขา

ขณะที่ผู้ถูกเนรเทศลงจากรถไฟก็มีวงออร์เคสตร้าประจำค่าย ซึ่งประกอบด้วยผู้เล่นคือนักโทษในชุดนอนที่ขาดกะรุ่งกะริ่งมาบรรเลงเพลงต้อนรับผู้มาใหม่ ห้องรมก๊าซพิษได้ถูกตระเตรียมรอไว้แล้ว

 แต่จำเป็นต้องใช้วงดนตรีมาขับกล่อมเพื่อปลอบขวัญเหยื่อรายใหม่ ในขณะที่วงดนตรีบรรเลงอยู่นั้นเจ้าหน้าที่ก็ทำการเลือกนักโทษที่มาใหม่ผสานไปเสียงดนตรีจังหวะต่างๆ

อีกมุมหนึ่งของสถานีรถไฟมีรถพยาบาลหลายคันมารอรับคนป่วยและคนชราอยู่ ดังเคยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังแล้วถึงกระบวนการคัดเลือกนักโทษที่มาถึงสถานีรถไฟเป็นครั้งแรก

คราวนี้จะกล่าวแต้เพียงย่นย่อ คือ คนชรา คนป่วย และเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี จะถูกคัดให้ไปอยู่ทางซ้ายมือ ส่วนพวกอื่นๆจะถูกคัดให้ไปอยู่ทางขวามือ  ผู้ที่อยู่ทางซ้ายมือหมายถึงผู้ที่จะถูกนำตัวไปเข้าห้องรมก๊าซพิษและเตาเผาศพ ส่วนผู้ที่อยู่ทางขวามือคือพวกที่จะถูกส่งไปคุมขังที่ค่ายเอาส์ชวิตซ์

ในกระบวนการคัดเลือกคนไปสังหารนี้เขาทำกันอย่างแนบเนียนมาก แม้แต่กองกำลังของหน่วยเอสเอสก็สุภาพเรียบร้อยเคารพในกฎกติกาที่วางไว้ เพื่อให้ผู้ถูกเนรเทศไม่ระแวงสงสัย

เจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสเหล่านี้จะละเว้นการกระทำการรุนแรงใดๆต่อผู้ถูกเนรเทศ ด้วยการใช้กลยุทธ์เช่นนี้จึงไม่จำเป็นต้องมียามรักษาการณ์มากมาย มีเพียงไม่กี่คนก็สามารถรักษาความสงบในหมู่คนเป็นพันๆที่กำลังจะถูกนำไปสังหารได้

ภาพที่น่าสะเทือนใจปรากฏขึ้นเมื่อมีการแยกตัวผู้ถูกเนรเทศออกจากกัน แต่พวกนาซียังคงแสดงความใจดีให้ปรากฏในสายตาของผู้ถูกเนรเทศต่อไป

เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งยืนยันว่าเธอไม่ต้องการแยกมารดาผู้ชราภาพไป พวกนาซียินยอมให้เธอไปอยู่กับบุคคลที่ต้องการได้ ทั้งมารดาและบุตรสาวได้รับอนุญาตให้ไปอยู่ทางซ้ายมือ นั่นคือไปสู่ความตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น

ในขณะที่ดนตรีกำลังบรรเลงอยู่นั้นเองนักโทษที่ถูกส่งมาจากค่ายก็กุลีกุจอรวบรวมกระเป๋าเดินทางของบรรดาผู้ถูกเนรเทศ ซึ่งภาพที่เห็นอยู่นั้นชวนให้ผู้ถูกเนรเทศเชื่อว่าพวกเขาจะได้สิ่งของของตนคืนเมื่อเดินทางถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

นักโทษที่ส่งมาจากค่ายอีกกลุ่มหนึ่งนำคนป่วยขึ้นรถพยาบาลติดตรากาชาด พวกเขาจัดการกับคนป่วยด้วยความนุ่มนวล แต่เมื่อลับสายตาของกลุ่มผู้ถูกเนรเทศพฤติกรรมของนักโทษจากหน่วยเอสเอสจะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

พวกเขาจะจับคนป่วยโยนใส่รถบรรทุกขนาดใหญ่เหมือนกับโยนกระสอบมันสำปะหลัง สาเหตุที่ต้องนำคนป่วยไปใส่รถบรรทุกนั้นก็เพราะรถพยาบาลมีคนป่วยเต็มหมดแล้ว

เมื่อโยนคนป่วยทุกคนขึ้นรถบรรทุกแล้ว ขณะที่คนป่วยกำลังร้องครวญครางดังระงมอยู่นั้น ขบวนรถบรรทุกมรณภัยก็เริ่มเคลื่อนขบวนมุ่งหน้าตรงไปยังเตาเผาศพ

สำหรับชะตากรรมของผู้ถูกเนรเทศที่ถูกคัดเลือกตัวไปไว้ทางซ้ายมือนั้น จากหลักฐานที่ได้มาโดยตรงจากนายแพทย์ปัสเช่และคนอื่นๆในขบวนการใต้ดิน พอจะบรรยายให้ท่านผู้อ่านได้เห็นภาพในช่วงสุดท้ายของการมีชีวิตของคนเหล่านี้ได้ดังนี้

ขณะเสียงเพลงจากวงดนตรีอันไพเราะเพราะพริ้งจากวงออร์เคสตร้ากำลังกังวานอยู่นั้น ขบวนรถบรรทุกของบรรดาผู้ถูกตัดสินประหารชีวิต ก็แล่นออกจากสถานีรถไฟมุ่งไปยังค่ายเบอร์เคเนา

พวกเขาไม่เฉลียวใจเลยแม้แต่น้อยว่ากำลังจะถูกนำตัวไปสังหาร เมื่อเห็นอาคารอิฐเรียงรายอยู่ตามรายทางต่างก็เข้าใจว่าเป็นโรงพยาบาล ส่วยกองกำลังทหารหน่วยเอสเอสที่ร่วมเดินทางไปกับคนเหล่านี้ก็ยังคงปฏิบัติตนอย่างแนบเนียนอยู่ต่อไป ซึ่งตามปกติในเวลาที่ทำการคัดเลือกนักโทษในค่าย พวกนี้จะไม่สุภาพเรียบร้อยอย่างนี้ ในเวลานี้พวกเขาถือว่ามีความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตนต่อผู้มาใหม่ให้ดีเพื่อให้บรรลุถึงจุดหมายที่ได้วางไว้

เมื่อเดินทางถึงค่ายผู้ถูกตัดสินประหารชีวิตเหล่านี้ก็ถูกนำตัวเข้าไปในอุโมงค์ใต้ดินเรียกกันว่าโลคัลบี(Local B) ซึ่งมีลักษณะเหมือนห้องน้ำ อุโมงค์นี้จุคนได้ถึง 2,000 คน


 เมื่อทุกคนเข้าไปในห้องใต้ดินแล้ว ผู้อำนวยการห้องอาบน้ำ ซึ่งอยู่ในชุดกระโปรงสีขาว ก็แจกผ้าเช็ดตัวและสบู่ให้แก่ทุกคน ซึ่งก็เป็นรายการแสดงละครตบตาอีกฉากหนึ่ง เสร็จแล้วนักโทษก็ถอดเสื้อผ้าแขวนไว้ละวางของมีค่าไว้บนโต๊ะขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง ใต้ไม้แขวนเสื้อมีป้ายโลหะเขียนเป็นภาษายุโรปทุกภาษาความว่า

“ถ้าท่านต้องการเสื้อผ้าของท่านเมื่อออกจากห้องน้ำแล้ว กรุณาแจ้งหมายเลขหมายแขวนที่ท่านแขวนเสื้อผ้าไว้ด้วย”

ห้องน้ำที่นักโทษประหารเตรียมตัวจะเข้าไปนั้นแท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ห้องน้ำแต่อย่างใด แต่มันเป็นห้องรมก๊าซพิษอยู่ทางซ้ายมือของห้องใต้ดิน ห้องนี้ติดตั้งอุปกรณ์ของห้องน้ำแบบฝักบัวเอาไว้มากมาย แต่อุปกรณ์เหล่านี้ไม่ทำงานและไม่มีน้ำไหลออกมาจากฝักบัว

ครั้นนักโทษประหารเข้าไปอยู่ในห้องรมก๊าซพิษเรียบร้อยแล้ว พวกเยอรมันก็จะถอดหน้ากากเลิกเล่นละครตบตาทันที ขณะนี้ไม่จำเป็นจะต้องใช้วิธีการนั้นอีกต่อไปแล้ว เพราะเหยื่อสังหารทุกคนไม่สามารถหลบหนีหรือทำการขัดขืนใดๆได้ 


บางครั้งนักโทษประหารเกิดสังหรณ์ใจรีบวิ่งมาที่ประตูทางออกห้อง พวกเยอรมันก็จะผลักคนที่วิ่งออกมาให้เข้าไปในห้องตามเดิม ถ้ายังขัดขืนอยู่ก็อาจใช้ปืนพกยิงเข้าไปในหมู่นักโทษเหล่านั้น

นักโทษทั้งหมดจะแออัดยัดเยียดอยู่ในห้องรมก๊าซพิษนั้น ส่วนพวกทารกที่ยังอยู่นอกห้องก็จะถูกจับเหวี่ยงข้ามศีรษะของบรรดานักโทษที่เป็นผู้ใหญ่เข้าไป แล้วประตูห้องรมก๊าซพิษก็จะถูกปิดตายแล้วภาพอันสยดสยองก็อุบัติขึ้นในห้องรมก๊าซพิษ

ในระยะแรกๆนักโทษผู้น่าสงสารอาจจะยังไม่ทราบว่ามันเป็นห้องรมก๊าซพิษ ทั้งนี้เพราะพวกเยอรมันจะยังไม่เปิดก๊าซพิษออกมาในทันที แต่จะรออยู่สักระยะหนึ่ง

ที่ต้องรอก็เพราะผู้เชี่ยวชาญทางด้านก๊าซพิษบอกว่า จำเป็นจะต้องปล่อยให้ภายในห้องนั้นมีอุณหภูมิสูงขึ้นสัก 1 หรือ 2 องศาเสียก่อน ซึ่งความร้อนที่เพิ่มขึ้นนี้จะได้จากไออุ่นในร่างกายของมนุษย์ที่เข้าไปแออัดอยู่ในห้อง เมื่อในห้องมีความร้อนเพิ่มขึ้นจะทำให้ก๊าซพิษมีประสิทธิภาพในการกระจายตัวมากยิ่งขึ้น


ขณะที่อุณหภูมิสูงขึ้นนั้นอากาศภายในห้องก็จะมีไม่พอหายใจ กล่าวกันว่าในช่วงนี้นักโทษจำนวนหนึ่งจะเสียชีวิตก่อนที่จะมีการปล่อยก๊าซพิษออกมาเสียอีกเนื่องจากรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก

บนเพดานของห้องรมก๊าซพิษมีช่องสี่เหลี่ยมอยู่ช่องหนึ่งซึ่งติดลูกกรงและครอบกระจกเอาไว้ เมื่อถึงเวลาปล่อยก๊าซพิษจะมียามรักษาการณ์ของหน่วยเอสเอสคนหนึ่งสวมหน้ากากป้องกันก๊าซพิษมาเปิดช่องสี่เหลี่ยมนี้ออก แล้วใช้กระบอกฉีดทำการฉีดไซโคลน-บีเข้าไปในห้อง ซึ่งไซโคลน-บีนี้เป็นก๊าซชนิดหนึ่งที่มีสารไซยาไนด์เป็นส่วนผสม กาซชนิดนี้ทำจากเมืองเดสซอ

ไซโคลน-บีนี้ กล่าวกันว่าเป็นก๊าซพิษที่มีความร้ายแรงมาก แต่บางครั้งก็ใช้ไม่ได้ผลอย่างเต็มที่ ซึ่งก็น่าจะเป็นเพราะมีจำนวนคนที่จะต้องถูกประหารชีวิตมากเกินไป จึงทำให้ชาวเยอรมันใช้ก๊าซไซโคลน-บีอย่างประหยัด

อีกประการหนึ่งนั้น อาจจะเป็นเพราะนักโทษประหารบางคนมีความต้านทานสูง เพราะมีนักโทษประหารบางคนรอดชีวิตอยู่ได้ แต่อย่างไรก็ดีพวกเยอรมันจะไม่ปรานีต่อคนที่รอดชีวิตเหล่านี้ จะนำเหยื่อสังหารที่กำลังหายใจร่อแร่เหล่านี้ไปยัดเข้าเตาเผาศพทั้งเป็น

จากหลักฐานที่ได้จากอดีตนักโทษที่ค่ายเบอร์เคเนา ทราบว่า ในวันทำพิธีเปิดเตาเผาศพและห้องรมก๊าซพิษ มีบุคคลสำคัญของนาซีที่เป็นนักการเมืองและอื่นๆไปร่วมในพิธีเป็นจำนวนมาก

รายงานกล่าวว่า พวกนาซีเหล่านี้ต่างแสดงออกถึงความชื่นชมยินดีเมื่อเห็นว่าโรงงานกำจัดมนุษยชาติเหล่านี้สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ในวันทำพิธีเปิดดังกล่าวมีชาวยิวจากประเทศโปแลนด์ถูกสังหารไป 12,000 คน เพื่อสังเวยความบ้าคลั่งของนาซี พวกเยอรมันปล่อยให้ผู้ถูกเนรเทศมีชีวิตอยู่เพียงไม่กี่พันคน เพื่อให้ผู้มีชีวิตเหล่านี้อำนวยประโยชน์ช่วยทำลายล้างผู้ถูกเนรเทศอื่นๆอีกหลายล้านคน

กล่าวคือ เพื่อให้เหล่านี้เป็นสัปเหร่อ ซึ่งในภาษาเยอรมันเรียกว่า พวกซอนเดอร์กอมมานโด ในแต่ละเตาเผาศพจะมีสัปเหร่อพวกนี้อยู่แห่งละ 300-400 คน โดยมีหน้าที่สำคัญคือจัดการนำนักโทษประหารไปเข้าห้องรมก๊าซพิษ

เมื่อนักโทษเสียชีวิตแล้วก็จะทำหน้าที่โยนศพเหล่านั้นออกมาจากห้องรมก๊าซพิษ ส่วนพวกซอนเดอร์กอมมานโดที่เป็นแพทย์และทันตแพทย์ จะได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่พิเศษอีกอย่างหนึ่ง  


โดยเฉพาะทันตแพทย์จะทำหน้าที่เปิดปากศพ แกะเงินทองที่เลี่ยมอยู่ในฟันออกมา เพื่อรวบรวมส่งไปให้รัฐบาลเยอรมัน ส่วนเจ้าหน้าที่ซอนเดอร์กอมมานโดอื่นๆจะทำหน้าที่ตัดผมศพเพื่อนำไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมทำฟูกและอุตสาหกรรมอื่นๆ

นายแพทย์ปัสเช่ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถูกเกณฑ์เข้าไปทำงานในหน่วยสัปเหร่อ เป็นผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับงานประจำวันของเจ้าหน้าที่หน่วยนี้แก่ดิฉัน

เขาเองได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นแพทย์ คอยดูแลรักษาเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในหน่วยงานนี้ ในขณะเดียวกันเขาก็ทำงานให้กับขบวนการต่อต้านเยอรมันอีกด้วย

เขาต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อเก็บข้อมูลต่างๆเหล่านี้ และเขาจะบอกข้อมูลเหล่านี้แก่คนที่เขาไว้ใจได้เท่านั้น โดยเขาได้ตั้งความหวังไว้ว่า วันหนึ่งข้างหน้าตัวเลขข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาเปิดเผยให้ชาวโลกได้รู้ 

เขารู้ตัวเป็นอย่างดีว่าตนเองอาจจะถูกจับได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ซึ่งความจริงก็เป็นเช่นนั้น ต่อมาเขาได้ถูก”เก็บ”ก่อนที่ฝ่ายพันธมิตรจะเข้าไปปลดปล่อยค่ายเอาส์ชวิตซ์

จากรายงานของผู้เห็นเหตุการณ์ที่นายแพทย์ปัสเช่บันทึกไว้ได้แสดงให้เห็นภาพที่น่าสมเพชเวทนาในห้องรมก๊าซพิษ ในตอนที่เจ้าหน้าที่เปิดประตูห้องก๊าซพิษออกมานั้น

ภาพที่ปรากฏแก่สายตาคือศพซ้อนกันระเนระนาด แสดงว่าก่อนสิ้นใจนักโทษประหารบางคนกระเสือกกระสนเอามือขยุ้มนักโทษคนอื่นๆจนเล็บฝังลงไปในเนื้อค้างคาอยู่อย่างนั้น

สภาพของศพโดยทั่วไปลำตัวแข็งเก็งกอดกันแน่นจนแยกออกจากกันลำบาก ต้องทำขอเกี่ยวชนิดพิเศษเพื่อใช้เกี่ยวศพลากออกมาทีละศพๆ

ครั้นนำศพออกจากห้องรมก๊าซพิษได้แล้ว ก็จะนำขึ้นรถบรรทุกไปที่เตาเผาศพ ในช่วงนี้จะมีนักโทษบางคนยังไม่ตาย แต่ก็จะได้รับการปฏิบัติเหมือนกับคนตาย โดยจะถูกนำไปเผาพร้อมกับศพคนตายรายอื่นๆ

เมื่อนำศพไปถึงเตาเผาแล้วก็จะคัดศพเด็กใส่ในเตาเผาก่อนแล้วจึงเป็นศพคนอ้วนและคนผอมตามลำดับ

ก่อนที่จะยัดศพเข้าเตาเผาเจ้าหน้าที่ฝ่ายริบทรัพย์ที่ยังติดอยู่กับศพก็จะทำหน้าที่อีกครั้งหนึ่ง โดยทันตแพทย์จะแกะทองและเงินที่ยังเหลืออยู่ออกจากฟันของศพ 


ส่วนเจ้าหน้าซอนเดอร์กอมมานโดอื่นๆทำการรูดแหวนออกจากนิ้วมือศพ ทั้งนี้เพราะในตอนที่เข้าห้องรมก๊าซพิษนั้นยังมีนักโทษบางคนไม่ยอมถอดมันออก สรุปได้ว่าพวกเยอรมันไม่ต้องการให้ของมีค่าใดๆไหม้ไปพร้อมกับศพ

พวกเยอรมันรู้จักวิธีการที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เกิดประโยชน์ ในกรณีเผาศพก็เช่นเดียวกัน พวกเขาจะให้เจ้าหน้าที่นำถังใบใหญ่มาตักนำมันคนที่ละลายออกจากศพในตอนที่ถูกไฟไหม้

 จึงไม่น่าประหลาดใจเลยว่าสบู่ที่ใช้อยู่ในค่ายมีกลิ่นทะแม่งๆเหมือนกับไขมันสัตว์อะไรสักอย่าง นอกจากนั้นไส้กรอกที่นำไปเลี้ยงนักโทษในค่ายก็น่าจะทำมาจากเนื้อคนตายนี่เอง

ขี้เถ้าเผาศพพวกเขาก็นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ โยนำไปใช้ทำปุ๋ยในเรือกสวนในบริเวณรอบๆค่าย ที่เหลือจากทำปุ๋ยก็นำบรรทุกรถไปทิ้งลงในแม่น้ำวิสตูลาให้มันล่องลอยไปตามกระแสน้ำ

งานของสัปเหร่อเป็นงานหนักเอาการ วันหนึ่งๆต้องผลัดกันทำงาน 2 ผลัดๆละ 12 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่เหล่านี้มีที่อยู่อาศัยเป็นพิเศษในค่าย และห้ามติดต่อกับนักโทษอื่นๆโดยเด็ดขาด

บางครั้งเมื่อถูกลงโทษจะไม่ได้ได้รับอนุญาตให้กลับไปค่ายพัก แต่จะให้พักอยู่ในอาคารเผาศพนั้นเอง การอยู่ที่นั่นคงจะอบอุ่นดีเหมือนกัน แต่เวลากินเวลานอนคงจะผะอืดผะอมไม่น้อยเลยทีเดียว

ชีวิตของพวกที่ทำงานเป็นสัปเหร่อก็เหมือนกับคนตกนรกทั้งเป็น มีหลายคนทำงานนานๆไปถึงกับเสียสติไปก็มี เพราะบางทีสามีอาจถูกบังคับให้เผาภรรยา บิดาถูกบังคับให้เผาบุตร บุตรถูกบังคับให้เผาบิดามารดา พี่ชายน้องชายถูกบังคับให้เผาพี่สาวน้องสาว เป็นต้น

พวกสัปเหร่อเมื่อทำงานได้ 3-4 เดือนก็จะถึงวาระของตัวเองบ้าง โดยพวกเยอรมันจะวางแผนให้สัปเหร่อใหม่นำสัปเหร่อเก่าไปสังหารในห้องรมก๊าซพิษ แล้วนำไปเผาในเตาเผาศพที่พวกเขาเคยเผาคนอื่นๆ โรงงานกำจัดมนุษยชาติทำงานอยู่อย่างไม่ไม่หยุดหย่อน แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงบุคลากรใหม่อยู่เรื่อยๆก็ตาม

ดิฉันจึงต้องการมีชีวิตอยู่ด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ


1.เพื่อทำงานให้กับขบวนการต่อต้านเยอรมันและช่วยขบวนการนี้จนสุดความสามารถ


2.เพื่อฝันและสวดมนต์อ้อนวอนให้ถึงวันที่ตัวเองได้รับอิสรภาพและสามารถบอกกับชาวโลกว่า


“นี่คือสิ่งที่ดิฉันได้เห็นมากับตา ซึ่งคนรุ่นหลังจะต้องจดจำไว้และอย่ายอมให้มันเกิดขึ้นได้อีกเป็นอันขาด”.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น