เมื่อปลายเดือนธันวาคม ค.ศ. 1944
พวกเยอรมันได้ผ่อนคลายมาตรการตรวจการณ์ลงไปมาก
สังเกตเห็นได้ว่าไม่ค่อยมียามรักษาการณ์มาเดินตรวจอยู่ตามแนวรั้วลวดหนามเหมือนอย่างเคย
ด้วยเหตุนี้บรรดานักโทษชายหญิงในค่ายใกล้เคียงกันจึงมีอิสระพอที่จะมีโอกาสติดต่อพูดคุยกันผ่านทางรั้วลวดหนามได้มากขึ้น
เรามีโอกาสได้เห็นภาพที่ยากต่อการลืมเลือนได้
มันเป็นภาพของชายหญิงเป็นคู่ๆคุยกันคนละฟากของรั้วลวดหนามที่เขาปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงสูงเอาไว้
ซึ่งหากใครไปแตะมันเข้าแม้แต่นิดเดียวก็มีหวังสิ้นชีวิตทันที
ชายหญิงแต่ละคู่กำลังนั่งคุกเข่าลงกับกองหิมะใต้เงาทอดยาวของเตาเผาศพ
ซึ่งก็คงจะกำลังวางแผนชีวิตรักในอนาคตกันหรือไม่ก็พูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารกันอยู่
ถ้าหากการนัดพบระหว่างคู่หนุ่มสาวเหล่านี้ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการเสียก่อนก็คงไม่มีอันตรายใดๆเกิดขึ้น
แต่นี่เจ้าหน้าที่เยอรมันยังมีข้อห้ามในการพบปะกันในลักษณะนี้อยู่
คู่หนุ่มสาวจึงเสี่ยงกับการถูกยามรักษาการณ์หน่วยเอสเอสเล่นงานเอาง่ายๆและเหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่คาดการไว้
คือ
พวกยามรักษาการณ์ซาดิสต์เจ้าเล่ห์คอยให้หนุ่มสาวไปนั่งเป็นกลุ่มมีจำนวนมากๆเสียก่อนแล้วก็กราดกระสุนปืนใส่
กลุ่มคนเหล่านั้นพากันวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนแทบไม่คิดชีวิต
แม้จะมีอันตรายมากมายถึงเพียงนี้แต่พวกหนุ่มสาวก็ไม่มีความเกรงกลัว
ยังยอมเสี่ยงชีวิตไปนั่งคุยกันต่อไป
ปกติคนเราเมื่อเกิดความเคยชินกับสิ่งใดแล้วก็มักจะไม่กลัวสิ่งนั้น
เช่นเดียวกับลักษณะของคนหนุ่มสาวเหล่านี้
หลังจากที่ได้เห็นความตายเสียจนชินแล้วจึงไม่รู้สึกกลัวตายเท่าใดนัก
หากจะกลัวก็คงกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้พลอดรักกัน
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงยอมเสี่ยงอันตรายทุกอย่างเพื่อแลกกับความสุขเพียงเล็กน้อยที่จะได้จากการพบปะกัน
ความสุขเช่นนี้บางคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับนักโทษในค่ายเอาส์วิตซ์-เบอร์เคเนาแล้วเป็นสิ่งที่หาโอกาสได้ยากมากจริงๆ
ก็จะไปเสียดายชีวิตกันไปทำไม
ในเมื่อชีวิตของนักโทษที่นี่มีค่าน้อยกว่าผักปลาเสียอีก
ในบ่ายของวันอาทิตย์วันหนึ่งมีคนนำตัวสาวสวยชาวฮังการีวัย 20
ปีคนหนึ่งมาส่งที่โรงพยาบาล เธอได้รับบาดเจ็บถูกยิงที่ตา
ดิฉันสอบถามได้ความว่าเธอติดต่ออยู่กับนักโทษชายชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่ง
ซึ่งเป็นนักศึกษาที่ถูกจับมาในข้อหาเป็นสมาชิกของขบวนการต่อต้านเยอรมันในฝรั่งเศส
หนุ่มสาวทั้งสองคนนี้มักจะพบปะกันที่รั้วลวดหนามอยู่เสมอ
ยามรักษาการณ์หน่วยเอสเอสใช้ปืนยิ่งกราดเข้าใส่กลุ่มหนุ่มสาวที่กำลังนั่งคุยกัน
กระสุนนัดหนึ่งถูกตาข้างขวาของหญิงสาวชาวฮังการีคนนี้
ในขณะนั่งคุยอยู่กับหนุ่มคนรักชาวฝรั่งเศสอยู่คนละฟากของรั้วลวดหนาม
ขณะที่ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลใบหน้าของเธออาบไปด้วยเลือด
เธอละล่ำละลักถามเราว่าตาจะบอดหรือไม่
“ถ้าไม่ได้พบกับยอร์จอีก ดิฉันคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ หมอคะ
กรุณาช่วยดิฉันด้วยเถิด อย่าให้ดิฉันต้องตาบอดเลยค่ะ
ไม่เช่นนั้นยอร์จคงจะเลิกรักดิฉันเป็นแน่”
เรานำเธอไปทำการผ่าตัดที่ค่ายเอฟ.โดยควักเอาตาข้างขวาออกเหลือไว้แต่ข้างซ้าย
แม้แต่ตาข้างซ้ายที่ไม่ได้ผ่าตัดเอาออกมานั้น ก็อยู่ในอาการเป็นที่น่าวิตก
เมื่อทำการผ่าตัดเสร็จแล้ว
เราไม่ได้บอกความจริงกับเธอ หากได้แต่โกหกไปว่า เธอจะตายเป็นปกติภายใน 2-3 เดือน
แม้จะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นเช่นนี้นักโทษหนุ่มสาวคู่อื่นๆก็ไม่ครั่นคร้ามยังคงยอมเสี่ยงตายไปพลอดรักกันที่รั้วลวดหนามเช่นเคย
ราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เพียง 1
ชั่วโมงมีคนถูกยามรักษาการณ์ยิงจนได้รับบาดเจ็บมาแล้ว
พวกเขาช่างลืมเหตุการณ์ได้รวดเร็วอะไรอย่างนั้น พอจะกล่าวได้ไหมว่า
เป็น”อานุภาพรักเหนือความตาย”
รั้วลวดหนามของค่ายนอกจากจะใช้ประโยชน์ในการคุมขังเราแล้ว
ยังมีประโยชน์สำหรับให้เราได้รับอิสรภาพในทางลัดด้วย
นั่นคือเป็นที่ฆ่าตัวตายของนักโทษ
ในทุกเช้าคนงานในค่ายจะพบศพนักโทษห้อยโตงเตงอยู่บนรั้วลวดหนามที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงสูงไว้เป็นประจำ
นักโทษใช้วิธีการนี้เพื่อให้ตนเองพ้นจากชีวิตที่แสนทุกข์ทรมาน
ซึ่งกว่าจะนำศพลงมาจากรั้วลวดหนามได้พวกคนงานต้องพยายามกันอย่างหนัก
ด้วยการใช้ไม้ตะขอเกี่ยวดึงศพลงมา
เมื่อเห็นศพเหล่านั้นเราเกิดความรู้สึก 2 อย่าง คือ อย่างที่ 1 เป็นความรู้สึกสมเพชเวทนาที่เขาตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยวิธีนี้ และอย่างที่ 2 เป็นความรู้สึกอิจฉาที่เขากล้าหาญพอที่จะทำลายชีวิตของตนเองได้
เมื่อเห็นศพเหล่านั้นเราเกิดความรู้สึก 2 อย่าง คือ อย่างที่ 1 เป็นความรู้สึกสมเพชเวทนาที่เขาตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยวิธีนี้ และอย่างที่ 2 เป็นความรู้สึกอิจฉาที่เขากล้าหาญพอที่จะทำลายชีวิตของตนเองได้
ในค่ายกักกันเอาชวิตซ์-เบอร์เคเนาและค่ายอื่นๆมีการนำเอาเรื่องการสักตัวตามร่างกายนักโทษมาพูดคุยกันอยู่เสมอ
บ้างก็คิดว่านักโทษทุกคนจะถูกสักตามร่างกายเมื่อเดินทางมาถึง
ส่วนบางคนมีความเชื่อว่าการสักร่างกายจะช่วยคุ้มครองนักโทษไม่ให้ถูกนำตัวไปสังหารในห้องก๊าซพิษหรืออย่างน้อยก่อนที่จะนำนักโทษที่ถูกสักตามร่างกายไปสังหารก็จะต้องได้รับอนุญาตจากรัฐบาลเยอรมันเสียก่อน
แม้แต่ในค่ายของเราก็มีหลายคนที่เข้าใจเช่นนี้แต่ความเป็นจริงแล้วไม่มีกฎตายตัวเกี่ยวกับการสักลายนักโทษ
บางครั้งผู้ถูกเนรเทศทุกคนจะถูกสักลายเมื่อเดินทางมาถึงค่าย
ต่อมาอีกหลายเดือนอาจมีการออกระเบียบใหม่ว่าผู้ถูกเนรเทศธรรมดาไม่ต้องถูกสักลายก็ได้
นักโทษที่ถูกส่งตัวไปอยู่ตามค่ายต่างๆในค่ายค่ายกักกันเบอร์เคเนาไม่ได้ถูกสักหมายเลขประจำตัวเพราะเขาถือว่าไม่มีความจำเป็นที่จะทำเช่นนั้น
เนื่องจากนักโทษเหล่านี้ทั้งพวกที่เป็นคนเยอรมันเองด้วย
ต่างก็จะถูกนำตัวไปเข้าเตาเผาศพอยู่แล้ว
การสักลายนักโทษจะกระทำในลักษณะที่แตกต่างกัน
นักโทษที่มีความรับผิดชอบงานบางอย่าง เช่น หัวหน้าคุก เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยในหน่วยงานต่างๆ
รวมทั้งผู้ที่ทำงานในโรงพยาบาล จะถูกสักตามตัว
หลัง
จากนั้นก็ถือว่าไม่ได้เป็นนักโทษสามัญอีกต่อไป หากแต่เป็นนักโทษที่ได้รับการคุ้มครองโยจะได้รับบัตรประจำตัวระบุชื่อและข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับตนเอง จากสำนักงานที่ทำรายงานเกี่ยวกับบัญชีเรียกชื่อนักโทษ
จากนั้นก็ถือว่าไม่ได้เป็นนักโทษสามัญอีกต่อไป หากแต่เป็นนักโทษที่ได้รับการคุ้มครองโยจะได้รับบัตรประจำตัวระบุชื่อและข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับตนเอง จากสำนักงานที่ทำรายงานเกี่ยวกับบัญชีเรียกชื่อนักโทษ
ในกรณีที่นักโทษเหล่านี้เสียชีวิตตามปกติจะมีการบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับสาเหตุของการเสียชีวิตเอาไว้ในบัตร
แต่ในกรณีที่ถูกนำตัวไปสังหารจะบันทึกในบัตรว่า”เอสบี”
ซึ่งหมายถึงการได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ
นักโทษที่ไม่ถูกสักลายตามตัวจะไม่มีการบันทึกการตายเก็บไว้ในแฟ้ม
ศพของพวกเขาก็จะกลายเป็นตัวเลขสถิติผลการผลิตของโรงงานทำลายล้างมนุษยชาติของพวกเยอรมัน
ในการสักลายนักโทษเจ้าหน้าที่ใช้เหล็กจารสักหมายเลขทะเบียนลงที่บริเวณแขนด้านหลังละที่หน้าอก
และหมืกที่ใช้สักจะติดอยู่กับผิวหนังลบออกไม่ได้ง่ายๆ
เมื่อคนที่ถูกสักลายเสียชีวิตแล้วเลขทะเบียนของผู้นั้นจะถูกนำไปใช้สักให้ผู้ถูกเนรเทศรายอื่นๆต่อไป
ทั้งนี้เพราะด้วยเหตุผลบางประการพวกเยอรมันจะไม่ใช้ตัวเลขเกิน 200,000 เมื่อถึงเลข
200,000 แล้วก็จะเริ่มนับขึ้นต้นใหม่
ในกรณีที่ผู้ถูกเนรเทศต่างเผ่าพันธุ์จะสักรูป 3
เหลี่ยมหรือดาวควบคู่กับเลขทะเบียนด้วย ขณะที่สักลายผู้ถูกสักได้รับความเจ็บปวดมาก
ในวันต่อๆมาแผลนั้นจะอักเสบบวมเป่งมีอาการปวดแสบปวดร้อน
ส่วนผลของมันต่อจิตใจนับว่ายากที่จะประเมินได้
เคยมีผู้หญิงคนหนึ่งบอกกับดิฉันว่า ในขณะที่ถูกสักลายนั้น
เธอมีความรู้สึกว่าชีวิตได้สิ้นสุดลงแล้ว เธอไม่ได้เป็นอะไรอีกต่อไปนอกจากเป็นเพียงตัวเลขเท่านั้น
ส่วนตัวดิฉันเองก็ถูกสักเลขทะเบียน”25,403” ที่แขนข้างขวา
แน่นอนทีเดียวมันคงติดตัวของดิฉันไปจนถึงหลุมฝังศพนั่นแหละ
การสักลายไม่ได้เป็นวิธีเดียวที่พวกเยอรมันใช้เพื่อเป็นเครื่องหมายสำหรับนักโทษ
พวกเขายังใช้เครื่องหมายเป็นสัญลักษณ์พิเศษโดยระบุถึงสัญชาติหรือประเภทของนักโทษนั้นๆ
ลักษณะของเครื่องหมายเป็นรูปสามเหลี่ยมติดไว้บนผ้าขาว
แล้วนำมาติดไว้ที่หน้าอกเสื้อนักโทษ พร้อมกันนี้จะมีอักษรกำกับไว้ด้วย เช่น อักษร พี(P)หมายถึงชาวโปแลนด์
อักษรอาร์(R)หมายถึงชาวรัสเซีย อักษร เอ็น.เอ็น. (N.N.= Nacht und Nebel
)ระบุว่าผู้ติดตราอักษรนี้ถูกลงโทษประหารชีวิตไปแล้ว
ศัพท์ว่า Nacht und Nebel
แปลว่ากลางคืนและหมอก เป็นคำที่ยืมมาจากองค์การลับของชาวดัตช์
ในตอนอยู่ในค่ายเราไม่ทราบว่า เอ็น.เอ็น
หมายถึงอะไร
ต่อมาได้รู้ความหมายของมันจากสมาชิกคนหนึ่งขององค์การใต้ดินต่อต้านเยอรมัน
ในค่ายกักกันมีเชลยศึกชาวโปแลนด์และชาวรัสซียอยู่เป็นจำนวนมาก
นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีนายทหารจากกองทัพบกของฝรั่งเศสที่สำคัญหลายคน เช่น พันโท
โรเบิร์ต บรูม ซึ่งเป็นหัวหน้าขบวนการต่อต้านเยอรมันในพื้นที่กรีโนเบิล ร้อยเอก เรอเน
เดรฟัส พลเอกนายแพทย์จ๊อบ เป็นต้น ซึ่งนายทหารทั้ง 3 คนนี้ถูกสังหารในเวลาต่อมา
เมื่อตอนที่พลเอกนายแพทย์จ๊อบถูกสังหารนั้นเขามีอายุ 67 ปี
ในบรรดาบุคคลที่ทำงานลับในค่ายเอาส์ชวิตซ์-เบอร์เคเนานั้น เราเคยพบกับ
เจนีวีฟ เดอโกลล์ และ เดเนียล คาสโนวา ทั้ง
2 คนเป็นสมาชิกคนสำคัญของขบวนการต่อต้านนาซีในฝรั่งเศส
สำหรับสีของเครื่องหมายที่ติดอยู่กับเสื้อผ้าของนักโทษก็จะแตกต่างกันไปตามประเภทของนักโทษ
นักโทษที่ถูกจับมาเพราะเคยก่อวินาศกรรม พวกโสเภณีและพวกนักโทษที่เคยหลบหนีกาทำงาน
คนเหล่านี้จะคิดตราสามเหลี่ยมสีดำ
ส่วนสามเหลี่ยมสีเขียวจะติดให้กับพวกที่เคยเป็นอาชญากรธรรมดา
นอกจากนั้นแล้วยังมีตราสามเหลี่ยมสีชมพูและสีม่วง แต่ก็ไม่ค่อยมีมากนัก
สีชมพูมีความหมายว่านักโทษนั้นเป็นพวกรักร่วมเพศ
ส่วนสีม่วงแสดงว่าผู้นั้นนับถือลัทธิศาสนา”ไบเบิลฟอร์สเซอร์”
เครื่องแต่งกายของนักโทษยิวจะมีเครื่องหมายแถบสีเหลืองติดไว้ด้านหลังและใช้ตราสามเหลี่ยมสีเหลือง
ในค่ายเบอร์เคเนาเครื่องหมายเหล่านี้ใช้แทนบัตรประจำตัวนักโทษ
ปกติในค่ายกักกันนักโทษส่วนใหญ่เป็นพวกนับถือศาสนาคริสต์มากกว่าพวกนับถือศาสนายิว
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ความจริงกลับเป็นเช่นนั้น
80
เปอร์เซ็นต์ของนักโทษในค่ายเอาส์ชวิตซ์เป็นพวกนับถือศาสนาคริสต์
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพวกนักโทษยิวเกือบทั้งหมดจะถูกส่งตัวไปเข้าห้องรมก๊าซพิษและเตาเผาศพในทันทีที่เดินทางมาถึง
ในหมู่ชาวคริสต์เหลานี้มีทั้งผู้ที่นับถือนิกายคาทอลิก โปรเตสแตนท์
และกรีกออร์ทอด๊อกซ์ ซึ่งพวกเยอรมันถือว่าเป็นพวกศัตรูเช่นเดียวกับพวกยิว
ในค่ายเบอร์เคเนามีแม่ขีและบาทหลวงในศาสนาคริสต์เป็นจำนวนมาก
ซึ่งส่วนใหญ่มาจากโปแลนด์ แม่ชีและบาทหลวงบางรูปถูกกจับมาในข้อหาช่วยเหลือขบวนการใต้ดินในโปแลนด์
แต่บางรูปไม่ได้เป็นสมาชิกของขบวนการใต้ดินแต่ถูกยัดข้อหา
หรือบางทีก็ถูกจับโดยไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากจับตามอำเภอใจ
การปฏิบัติศาสนกิจถูกห้ามไม่ให้กระทำในค่ายกักกันโดยเด็ดขาด
ผู้ใดฝ่าฝืนจะได้รับโทษถึงตายทันที พวกเยอรมันถือว่าพวกนักบวชเป็นกาฝากสังคมจึงถูกบังคับให้ทำงานหนักมาก
อีกทั้งยังถูกทรมานและทำให้อับอายด้วยวิธีต่างๆเท่าที่ดิฉันเคยพบมา
นอกจากนั้นแล้วนักโทษที่เป็นนักบวชเหล่านี้มักถูกนำไปใช้เพื่อการทดลองทางการแพทย์
เช่น ตัดลูกอัณฑะ ผ่ามดลูกเป็นต้น
ในปี ค.ศ. 1944
มีนักบวชในศาสนาคริสต์เป็นจำนวนมากเดินทางมาถึงค่ายเอาส์ชวิตซ์
นักบวชเหล่านี้ผ่านกรรมวิธีตามปกติทุกอย่าง รวมทั้งอาบน้ำ กล้อนผมและทำการตรวจค้น
พวกเยอรมันได้ยึดเอาสัญลักษณ์เครื่องหมายไม้กางเขน หนังสือสวดมนต์
และศาสนวัตถุทุกชนิดไปจากนักบวช และสั่งให้สวมชุดนักโทษ แต่ก็เป็นที่น่าประหลาดมากที่นักบวชเหล่านี้ไม่ได้รับคำสั่งให้สักลาย
ซึ่งก็เป็นเล่ห์เหลี่ยมของพวกเยอรมันอีกนั่นแหละ
การที่ไม่สักลายนักบวชเหล่านี้ก็เพราะถือว่าจะถูกนำไปสังหารอยู่แล้ว
แม้แต่ก่อนเข้าห้องอาบน้ำเจ้าหน้าที่เยอรมันยังได้บอกนักบวชตรงๆว่า
เย็นนี้จะถูกนำตัวไปสังหาร
ในปลายเดือนกันยายน ค.ศ. 1944
บาทหลวงนิกายโปรเตสแตนท์และนายแอลซึ่งเป็นสมาชิกขบวนการใต้ดินต่อต้านเยอรมันได้ถูกสั่งให้วิดน้ำออกจากคูขนาดใหญ่ที่มีน้ำขังอยู่เต็ม
“พวกแกเป็นฝ่ายพันธมิตร น้ำในคูนี้เปรียบเหมือนแสนยานุภาพของเยอรมัน”
ยามรักษาการณ์หน่วยเอสเอสตะโกนบอกคนทั้งสอง
“พวกแกช่วยกันวิดให้แห้งเลยนะ”
คนทั้งสองใช้ถังวิดน้ำอยู่หลายชั่วโมงโดยมีพวกเยอรมันถือแส้คอยกำกับอยู่ตลอดเวลา
พวกเขาเฆี่ยนตีคนทั้งสองพร้อมส่งเสียงหัวเราะชอบใจ
แต่น้ำยังอยู่ในระดับเดิมเพราะมีฝนลงลงมาอยู่เรื่อยๆวิดเท่าใดน้ำก็ไม่แห้งสักที
สร้างความขบขันให้แก่พวกเยอรมันยิ่งนัก
ที่โรงพยาบาลดิฉันรู้จักผู้ถูกเนรเทศที่เป็นแม่ชีอยู่หลายคน
มีคนหนึ่งรู้จักกันสนิทสนมจนกลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปเลย
นับตั้งแต่ประเทศโปแลนด์แตกแม่ชีผู้นี้ผ่านเข้าๆออกค่ายกักกันเชลยมาหลายครั้งแล้ว
และในช่วงที่มีการสอบสวนในแต่ละครั้งเธอก็มักถูกเฆี่ยนตีหรือถูกซ้อมอย่างป่าเถื่อนจนนับครั้งไม่ถ้วน
แต่พวกเยอรมันไม่ได้ตั้งข้อหาใดๆกับเธอ
หากถูกตั้งข้อหาอะไรสักอย่างหนึ่งให้รู้แล้วรู้รอดเสียแล้วเธออาจจะถูกจองจำอยู่ในคุกใดคุกหนึ่ง
และชีวิตในคุกจะสบายกว่าชีวิตที่ร่อนเร่ไปตามค่ายกักกันต่างๆอย่างนี้เป็นแน่
เมื่อมาอยู่ในค่ายเบอร์เคเนาแม่ชีผู้นี้ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างสุดประมาณเมื่อพวกเยอรมันบังคับให้เธอถอดชุดแต่งกายแม่ชีออกแล้วก็นำชุดแม่ชีนั้นไปใส่เสียเอง
พร้อมกับทำทีเต้นแร้งเต้นกาแบบประหลาดๆให้ดู
หลังจากนั้นเธอก็ถูกบังคับให้เดินไปต่อหน้าทหารหน่วยเอสเอสด้วยร่างที่เปลือยเปล่า
พวกเยอรมันถือว่าการกระทำเช่นนี้เป็นเกมส์กีฬาที่สร้างความอีกแบบหนึ่ง
ต่อมาพวกเยอรมันได้รวบรวมเครื่องแต่งกายของพวกแม่ชีแล้วนำไปมอบให้พวกโสเภณีใช้กันในค่าย
ในค่ายของเราซิสเตอร์มีชีวิตความเป็นอยู่เหมือนกับพวกเรา
แต่ในจิตใจของพวกเขาตกอยู่ในภาวะกดดันมากกว่า เพราะถูกกำจัดในเรื่องปฏิบัติศาสนกิจ
ไม่ให้มีการชุมนุมสวดมนต์ ไม่ให้มีการสารภาพบาป
ไม่ให้มีการรับศีลมหาสนิท
แม่ชีวัย 30ปีคนหนึ่งถูกนำตัวมาที่โรงพยาบาลของเรา หลังจากเป็นหนูตะเภาให้พวกเยอรมันทดลองฉายรังสีเอกซ์จนนับครั้งไม่ถ้วน
ถึงแม้จะไก้รับผลที่เจ็บปวดทุกข์ทรมานจากการทดลองของพวกเยอรมันเพียงใด
แต่แม่ชีผู้นี้ก็ยังแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้มะกำลังใจอย่างดีเยี่ยม
แม้แต่ในขณะที่เป็นไข้เธอก็ยังสวดมนต์อยู่อย่างเงียบๆตลอดวัน
ไม่ได้ขอร้องให้เรารักษาพยาบาลอะไรให้เธอเลย
เมื่อเราเข้าไปถามไถ่อาการไข้เธอตอบแต่เพียงว่า
“ขอบคุณค่ะ ยังมีคนอื่นอีกมากที่เขาทุกข์ยิ่งกว่าดิฉัน”
การยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดของเธอมันทรมานใจของเรายิ่งนัก
แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มพลังใจเพื่อการต่อสู้ให้กับเรา และเราเข้าใจถึงความทุกข์ทรมานแสนสาหัสที่เธอกำลังประสบอยู่ในขณะนั้น
แต่ก็ไม่มีหนทางใดที่จะช่วยได้เลย
ในช่วงที่ถูกตรวจค้นเมื่อเดินทางมาถึงค่ายนั้น เธอได้ทำการขัดขืนในขณะที่พวกเยอรมันจะยึดเอาสร้อยลูกประคำและรูปภาพอันศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาไป
เป็นผลให้ถูกทุบตีและถูกยื้อแย่งเอาของเหล่านั้นไป
มิหนำซ้ำมันยังถูกกระทืบด้วยเท้าต่อหน้าต่อตาของเธออีกด้วย
ขณะที่เกิดเหตุวุ่นวายเช่นนั้น เธอได้ประกาศก้องว่า
“ไม่มีชาติใดจะอยู่ได้โดยปราศจากพระเจ้า”
พวกเยอรมันน่าจะฆ่าเธอเสียตั้งแต่ตอนนั้น แต่นั้นเป็นการตายที่ง่ายเกินไป
ยังมีการตายด้วยวิธีอื่นที่ทรมานกว่า
ดังนั้นพวกเยอรมันจึงส่งเธอไปยังสถานีทดลองทางการแพทย์และจากที่นั่นก็ถูกนำตัวมายังโรงพยาบาลของเรา
หลังจากนั้นอีก 2-3 วันพวกเยอรมันก็ได้แจ้งว่าจะย้ายเธอไปอยู่ค่ายอื่นอีกแห่งหนึ่ง
พวกเราเฝ้ารอคอยชั่วโมงระทึกใจที่พวกเยอรมันจะนำตัวเธอไป
รู้สึกตื่นเต้นกันมาก บางคนถึงกับร้องไห้สะอึกสะอื้น
แต่แม่ชีกลับนอนคอยด้วยอาการและสีหน้าสงบ
“อย่าเสียใจไปเลย” เธอกล่าวอย่างเยือกเย็น”ดิฉันกำลังจะไปพบกับพระเจ้า
แต่ก่อนจะจากกัน ขอให้พวกเรามาสวดมนต์ร่วมกันสักครั้งเถอะนะคะ”
นักโทษหญิงไม่ว่าจะเป็นคาทอลิก โปรเตสแตนท์
หรือยิวต่างพากันสงบสติอารมณ์ สวดมนต์ร่วมกับเธออยู่อย่างเงียบๆแม้แต่ผู้ที่ไม่ได้นับถือศาสนาบางคนก็ยังเข้าร่วมสวดมนต์ครั้งนี้ด้วย
อย่างน้อยก็เพื่อให้เธอจากไปอย่างมีความสุข เราสวดมนต์อยู่นานจนกระทั่งพวกเยอรมันนำรถบรรทุกมรณะมานำเธอไปสังหาร
พวกบาทหลวงและแม่ชีในค่ายกักกันได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นผู้มีจิตใจเข้มแข็งหาบุคคลเช่นนี้ได้ยาก
จะมีก็แต่ผู้ถูกเนรเทศที่ยึดอุดมการณ์อันแน่วแน่เท่านั้น นอกจากพวกนักบวชแล้วผู้มีจิตใจเข้มแข็งเช่นนี้ได้แก่
สมาชิกขบวนการต่อต้านเยอรมันและพวกคอมมิวนิสต์หัวรุนแรง
ที่ค่ายดี. ซึ่งเป็นที่คุมขังนักโทษชาย
มีคุกแห่งหนึ่งเป็นที่คุมขังเด็กชายโดยเฉพาะ
บ่ายวันหนึ่งเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสได้เรียกประชุมเด็กเพื่อทำการเรียกชื่อคัดเลือกตัว
ดิฉันไม่รู้ว่าเด็กเหล่านี้รอดพ้นจากการคัดเลือกตัวในครั้งแรกเมื่อมาถึงสถานีรถไฟได้อย่างไร อาจมีเหตุผลบางอย่างที่เขาไม่คัดเลือกในเวลานั้นก็ได้
ดิฉันไม่รู้ว่าเด็กเหล่านี้รอดพ้นจากการคัดเลือกตัวในครั้งแรกเมื่อมาถึงสถานีรถไฟได้อย่างไร อาจมีเหตุผลบางอย่างที่เขาไม่คัดเลือกในเวลานั้นก็ได้
การคัดเลือกตัวที่โหดร้ายครั้งนี้กระทำกันอย่างประหลาด กล่าวคือ
ใช้วิธีขึงเชือกไว้ในระดับสูงแล้วให้พวกเด็กกระโดดข้าม ใครข้ามไม่ได้ก็จะถูกนำตัวไปเข้าห้องรมก๊าซพิษ
ปรากฏว่าในเด็กๆจำนวน 100 คนมีเพียง 5-6 คนเท่านั้นที่กระโดดข้ามเชือกนั้นสำเร็จ
ในตอนเย็นขณะที่นักโทษผู้ใหญ่ในค่ายใกล้เคียงกำลังยืนมองดูเหตุการณ์อยู่นั้น
รถบรรทุกมรณะ 20 คันก็มาบรรทุกเด็กๆมุ่งหน้าไปยังค่ายเบอร์เคเนาทั้งๆที่พวกเขาอยู่ในสภาพเปลือยกายหนาวสั่น
ขณะที่รถบรรทุกวิ่งผ่านคุกต่างๆไปนั้นพวกเด็กๆก็ร้องตะโกนบอกชื่อตัวเองเสียงดังเซ็งแซ่เพื่อหวังจะให้พ่อแม่ของตัวเองได้ยิน
พวกเขารู้ชะตากรรมของตัวเองเป็นอย่างดี แต่มันน่าประหลาดตรงที่ว่าพวกเขาไม่ได้แสดงอาการพรั่นพรึงแม้แต่น้อย
พวกเขารู้ชะตากรรมของตัวเองเป็นอย่างดี แต่มันน่าประหลาดตรงที่ว่าพวกเขาไม่ได้แสดงอาการพรั่นพรึงแม้แต่น้อย
ค่ายแห่งนี้ได้สอนให้เขาเติบโตขึ้นมาพร้อมกับจิตใจที่แข็งแกร่ง
กล้าเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ด้วยอาการอันสงบเยือกเย็นยิ่งกว่าผู้ใหญ่บางคนเสียอีก
นักโทษชายคนหนึ่งบอกดิฉันว่าเขาอยู่ในคุกของเด็กๆในขณะที่พวกเขากำลังรอคอยรถบรรทุกมรณะ
เห็นพวกเด็กๆพากันนั่งอยู่กับพื้นดินแววตาเป็นปกติและนั่งคุยกันอยู่อย่างเงียบๆ
มีเด็กคนหนึ่งถามเพื่อนว่า
“เออนี่ เจเนต ตอนนี้เธอรู้สึกอย่างไรบ้าง”
เด็กคนที่ชื่อเจเนตทำท่าคิดนิดหนึ่งแล้วตอบว่า
“ทุกอย่างที่นี่มันแสนจะเลวร้าย ที่โน่นคงดีกว่าเป็นแน่
ฉันไม่กลัวหรอก”
ดิฉันเคยพูดกับเด็กวัย 12 ปีคนหนึ่งที่ค่ายของพวกเชโก
เด็กคนนี้แกเที่ยวเดินเร่รอนตามรั้งลวดหนามเพื่อหาอาหารรับประทาน
หลังจากพูดคุยกันอยู่ 2-3 นาที
ดิฉันได้ถามแกว่า
“นี่การ์ลี เธอรู้ตัวไหมว่าเธอเป็นเด็กฉลาดมาก”
“ครับ” เด็กคนนั้นตอบ
“ผมทราบว่าผมเป็นเด็กฉลาดมากครับ แต่ผมก็ทราบอีกด้วยว่า ผมไม่มีโอกาสจะฉลาดมากไปกว่านี้
เป็นเรื่องที่น่าเศร้านะครับ คุณน้า”
มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาในค่ายว่าก่อนที่เด็กคนหนึ่งจะปีนขึ้นรถบรรทุกมรณะที่จะพาพวกเขาไปยังห้องรมก๊าซพิษ
เด็กตัวเล็กคนนี้ได้แสดงออกถึงความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวออกมา
“อย่าร้องไห้ไปเลยฟิสตา” เขาปลอบใจเด็กฮังการีคนหนึ่ง
“เธอไม่เห็นรึว่าพ่อแม่ ปู่ย่า ตายายและพี่ๆของเรา
ก็ถูกฆ่าไปแล้วทั้งสิ้น นี่มันถึงวาระของเราแล้ว จะไปกลัวทำไม”
ก่อนที่จะเข้าไปในรถบรรทุกเขาได้หันมาทางเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสด้วยท่าทางและสีหน้าเอาจริงเอาจังแล้วพูดขึ้นว่า
“แต่ผมก็ยังมีความสุขใจอยู่ว่า
ในไม่ช้านี้พวกท่านก็จะเป็นอย่างผมเหมือนกัน คอยดูก็แล้วกัน”
ในตอนเย็นวันนั้นขณะที่ดิฉันกำลังทำความสะอาดห้องสุขาในโรงพยาบาลอยู่นั้น
ก็มีเด็กชายวัย 15-16 ปีกลุ่มหนึ่งมาจากค่ายดี. มาช่วยทำงาน
เด็กเหล่านี้คือพวกที่เหลือจากการถูกนำตัวไปสังหารหมู่ ได้เปิดเผยกับดิฉันว่าเจ้าหน้าที่คนงานประจำห้องรมก๊าซพิษแม้ว่าจะไม้ไส้ระกำอย่างไรแต่ก็ยังมีเมตตากรุณาต่อเด็กๆโดยปล่อยให้หนีกลับมาได้
2-3 คน
ซึ่งการทำแบบนี้นับเป็นการเสี่ยงอันตรายที่จะเกิดกับเจ้าหน้าที่เหล่านั้นเป็นอย่างยิ่ง
แต่เด็กๆเหล่านี้จะหลบหนีพวกเยอรมันไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่ไม่มีใครสามารถบอกได้
ในช่วงเวลานั้นผู้ที่เป็นแม่ทั้งหลายในค่ายของเราต่างก็นอนไม่หลับไปตามๆกันเพราะกลัวว่าพวกเด็กๆมนค่ายดี.ที่ถูกนำขึ้นรถบรรทุกมรณะคันนั้นอาจจะเป็นลูกของตัวเองก็ได้
และจากเหตุการณ์ครั้งนี้เลยทำให้หลายคนไม่เชื่อว่าเด็กๆทั้งหมดถูกกำจัดในทันทีที่เดินทางมาถึงค่ายกักกัน
ค่ายอี.เป็นค่ายกักกันของพวกยิปซี
มีพวกยิปซีอยู่ในค่ายนี้จำนวน 8,000 คน ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นพวกโบฮีมีย
ถูกจับส่งมาจากประเทศเยอรมัน แต่ก็มีบางส่วนเป็นยิปซีที่ถูกส่งมาจากฮังการี
เชโกสะโลวะเกีย โปแลนด์ และฝรั่งเศส
ในระยะแรกๆความเป็นอยู่ในค่ายนี้ดีกว่าค่ายอื่นๆ
พวกนักโทษมีเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายดีๆขณะที่พวกเราใส่เสื้อผ้าราวกับหุ่นไล่กา
อาหารของพวกที่อยู่ในค่ายแห่งนี้พอจะรับประทานได้และพวกนี้ก็ยังมีเสรีภาพหลายอย่างที่นักโทษค่ายอื่นถูกจำกัด
บางครั้งพวกนี้ก็ใช้อภิสิทธิ์เกินควรถึงกับเอารัดเอาเปรียบนักโทษในค่ายอื่นๆ
วันหนึ่งสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงเพราะเจ้าหน้าที่เยอรมันได้ตัดสินใจกวาดล้างนักโทษในค่ายนี้ครั้งใหญ่
ในวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1944
นายแพทย์ชาวเยอรมันได้เรียกประชุมนักโทษที่เป็นแพทย์ในค่ายอี.และบังคับให้แพทย์เหล่านี้เซ็นเอกสารซึ่งระบุว่ามีโรคระบาดร้ายแรง
คือโรคไทฟอยด์และไข้อีดำอีแดงระบาดอยู่ในค่ายอี.
ซึ่งจำเป็นจะต้องกำจัดพวกยิปซีในค่ายแห่งนี้โดยนำไปสังหารทั้งหมด
นายแพทย์คนหนึ่งได้โต้แย้งนายแพทย์ใหญ่ชาวเยอรมันว่า
มีคนป่วยในค่ายนี้อยู่เพียงไม่กี่คนและคนป่วยเหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นโรคไทฟอยด์และไข้อีดำอีแดแค่อย่างใด
นายแพทย์ใหญ่ชาวเยอรมันหน่วยเอสเอสผู้นั้นได้โต้กลับว่า
“เมื่อคุณมีความสนใจในชะตากรรมของนักโทษเช่นนี้
ก็เหมาะที่คุณจะตามพวกเขาไปอยู่ที่บ้านหลังใหม่ด้วย”
แน่นอนคำว่า บ้านหลังใหม่ก็คือเตาเผาศพนั่นแหละ
อีก 2-3 ชั่วโมงต่อมารถบรรทุกมรณะก็มาถึงและมีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นตอนที่พวกยิปซีถูกบังคับให้ขึ้นรถบรรทุกมรณะ
ยิปซีบางคนเกิดระแวงว่าตนจะถูกนำไปสังหาร
จึงพยายามหลบซ่อนอยู่บนหลังคาคุกบ้าง ตามในห้องบ้าง ตามคู่คลองต่างๆบ้าง
แต่ก็ถูกตามจับได้ทีละคนสองคนจนครบ
ดิฉันยังไม่ลืมเสียงร้องอย่างน่าสงสารของแม่ยิปซีสัญชาติฮังการีคนหนึ่ง
เธอลืมเสียสนิทว่าความตายกำลังรอทุกคนอยู่เหมือนกันหมด แต่เธอกลับคิดถึงบุตรคนเดียวของเธอเท่านั้น
เธอร้องไห้อ้อนวอนเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอส
“โปรดอย่าเอาลูกชายของฉันไปเลย ได้โปรดเถอะนะคะ คุณไม่เห็นรึว่าแกกำลังป่วยอยู่”
เสียงตะโกนโหวกเหวกของเจ้าหน้าที่เอสเอสและเสียงร้องไห้ของพวกเด็กๆทำให้นักโทษในค่ายข้างเคียงตื่นขึ้นมาดูภาพอันแสนหฤโหด
ในตอนที่รถบรรทุกมรณะเคลื่อนขบวนออกจากค่ายอี.
ในตอนดึกของคืนนั้นเอง เปลวไฟสีแดงฉานและควันดำก็พวยพุ่งออกจากปล่องเตาเผาศพทุกปล่อง
พวกยิปซีประกอบกรรมทำชั่วอะไรไว้หนอจึงต้องมารับเคราะห์กรรมร่วมกันถึงที่นี่
การที่พวกเขาเป็นชนกลุ่มน้อยเท่านั้นเองหรือคือเหตุผลเพียงพอที่จะถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมทารุณอย่างนี้
การกำจัดชาวยิวจากประเทศโปแลนด์ ลิธัวเนีย ฝรั่งเศส ฯลฯ กระทำเป็นกลุ่มๆแยกตามสัญชาติของพวกยิวนั้นๆ
เช่น การกำจัดยิวจากฮังการีที่กระทำในฤดูร้อนปี ค.ศ. 1944
การสังหารหมู่ครั้งนี้มีจำนวนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ของค่ายเบอร์เคเนา
เฉพาะในเดือนกรกฎาคมเตาเผาศพ 5 แห่ง บ้านสีเขียวลึกลับ และคูมรณะ มีงานให้ทำอย่างเต็มที่
ในวันหนึ่งๆรถไฟบรรทุกชาวยิวเหล่านี้มามากถึง 10 ขบวน
จนไม่มีคนงานเพียงพอที่จะขนกระเป๋าเดินทางของผู้มาใหม่
จนกระเป๋าทับถมกันราวกับภูเขาเลากาอยู่ที่สถานีรถไฟเป็นเวลานานหลายวัน
คนงานประจำเตาเผาศพต้องเพิ่มการทำงานเป็นกรณีพิเศษ
มีชาวกรีกไม่ต่ำกว่า 400 คนถูกนำตัวจากคอร์ฟูและเอเธนส์เพื่อให้มาทำหน้าที่เป็นพนักงานประจำเตาเผาศพ
ในช่วงนี้มีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น กล่าวคือ ชาวกรีกทั้ง 400
คนเหล่านี้ได้แสดงน้ำใจให้เห็นว่าแม้ว่าจะมาอยู่ในรั้วลวดหนามและถูกเฆี่ยนตีอย่างไรแต่พวกเขาก็ไม่ยอมตกเป็นทาสของพวกเยอรมัน
พวกเขายังมีวิญญาณของความเป็นมนุษย์อยู่อย่างพร้อมมูล
ไม่ยอมสังหารชาวยิวจากฮังการี โดยประกาศว่าพวกเขายินดีที่จะตายมากกว่าที่จะสังหารชาวยิวเหล่านี้
ต่อมาพวกกรีกผู้ไม่ยอมทำหน้าที่ก็ถูกพวกเยอรมันนำตัวไปสังหารในเตาเผาศพจนหมดสิ้น
การแสดงออกถึงความกล้าหาญชาญชัยของชาวกรีกนี้
เป็นที่น่าเสียดายว่าโลกเราแทบไม่มีโอกาสได้รู้กันเลย
ด้วยเหตุที่จำนวนผู้ถูกประหารชีวิตมีมากขึ้นเช่นนี้
สิ่งอำนวยความสะดวกที่จะทำลายล้างมนุษยชาติก็ได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
มีการสร้างอาคารเพื่อใช้เป็นห้องรมก๊าซพิษมากขึ้น มีการขุดคูใหญ่ๆไว้สำหรับเผาซากศพ
ในกรณีที่ศพนักโทษมีจำนวนมากเกินกว่าจะนำไปเผาในเตาเผาศพได้ทัน
นักโทษที่ยังไม่ตายทันทีจากห้องรมก๊าซพิษก็จะถูกนำมาทิ้งไว้ที่คูเผาศพและเผารวมกับศพอื่นๆด้วย
นี่คือประสิทธิภาพการทำลายล้างมนุษยชาติของพวกนาซี
การสังหารหมู่ชาวยิวจากฮังการีเกิดขึ้นด้วยความยินยอมพร้อมใจของรัฐบาลฮังการีที่นิยมชมชอบเยอรมัน
ความจริงแล้วฮังการีเป็นเพียงประเทศเดียวที่ส่งคณะเจ้าหน้าที่มายังค่ายกักกันเพื่อปรึกษาข้อตกลงกับคณะผู้บริหารค่ายเกี่ยวกับจำนวนและกำหนดระยะเวลาในการเนรเทศคนยิวจากประเทศฮังการี
ความจริงแล้วฮังการีเป็นเพียงประเทศเดียวที่ส่งคณะเจ้าหน้าที่มายังค่ายกักกันเพื่อปรึกษาข้อตกลงกับคณะผู้บริหารค่ายเกี่ยวกับจำนวนและกำหนดระยะเวลาในการเนรเทศคนยิวจากประเทศฮังการี
เจ้าหน้าที่ฟาสซิสต์ในกรุงบูดาเปสต์ให้ความร่วมมือกับพวกเยอรมัน โดยได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจฮังการีร่วมเดินทางมากับผู้ถูกเนรเทศด้วย
ซึ่งรัฐบาลในประเทศยุโรปอื่นๆถึงแม้ว่าจะมีนโยบายร่วมมือกับเยอรมันเพียงใดก็ไม่ได้ทำกันถึงขนาดนี้
เมื่อครั้งที่ตำรวจฮังการีเดินทางมาถึงค่ายเอาส์วิตซ์
ดิฉันแทบไม่เชื่อสายตาของตนเอง พวกผู้ถูกเนรเทศชาวฮังการีที่มากับขบวนรถไฟขบวนก่อนๆเมื่อเห็นตำรวจจากประเทศของตนเดินทางมาก็มีกำลังใจดีขึ้นมาทันที
ด้วยความคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนก็ถึงกับวิ่งไปที่รั้วลวดหนาม
โห่ร้องด้วยความดีอกดีใจ บ้างก็ร้องเพลง บ้างก็สะอึกสะอื้นร่ำไห้
และในที่สุดก็ร่วมร้องเพลงชาติกัน พวกเขาเข้าใจผิดคิดว่าตำรวจฮังการีเหล่านั้นคงจะมาช่วยออกจากค่าย
แต่อนิจจามันเป็นความเข้าใจผิดอย่างถนัด
เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจเหล่านั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นพวกควบคุมผู้ถูกเนรเทศรุ่นใหม่มามอบให้เจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสของนาซี
ถ้าหากยามรักษาการณ์ประจำค่ายไม่ห้ามเอาไว้ ผู้ร่วมชาติชาวฮังการีก็คงวิ่งกรูเข้าไปสวมกอกดเจ้าหน้าที่เหล่านั้นเป็นแน่
แต่อนิจจา พวกยามรักษาการณ์ได้ใช้แส้หวดและปืนพกยิงเพื่อขับไล่นักโทษเหล่านี้ให้ออกห่างจากเจ้าหน้าที่ตำรวจฮังการี
แต่อนิจจา พวกยามรักษาการณ์ได้ใช้แส้หวดและปืนพกยิงเพื่อขับไล่นักโทษเหล่านี้ให้ออกห่างจากเจ้าหน้าที่ตำรวจฮังการี
ดูเถิดท่านทั้งหลาย! เพียงพวกเขาเห็นแค่ยอดหมวกที่ประดับด้วยขนไก่ของตำรวจจากประเทศของตนเท่านั้น
ก็ยังทำให้นักโทษเหล่านี้หวนระลึกถึงที่ราบลุ่มฮังการีและเทือกเขาบูดาที่พวกตนเคยได้ปีนขึ้นไปถึงยอดแล้วมองลงมาข้างล่างเห็นแสงสีเงินระยิบระยับของแม่น้ำดานู้บ
ทั้งๆที่มันเป็นเพียงความฝันอันเล็กๆน้อยๆแต่มันก็มีค่าและเป็นความสุขสำหรับพวกเขาในยามที่ได้มาตกทุกข์ได้ยากอยู่ในค่ายกักกันเชลยอันแสนหฤโหดแห่งนี้.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น