เมื่อการเรียกชื่อยุติลงแล้วเราจะได้รับอนุญาตให้กลับไปยังคุกของตนๆหรือใครจะไปห้องสุขาก็ได้
ส่วนดิฉันเองชอบถือโอกาสตอนนี้เที่ยวเดินสำรวจดูบริเวณต่างๆภายในค่าย
ค่ายแห่งนี้มีถนนใหญ่ กว้างประมาณ 1500 ฟุตตัดผ่ากลาง
สองข้างถนนมีอาคารเรียงรายอยู่ 17 หลัง แต่ละหลังสร้างไว้อ่างถาวร
ในจำนวนนี้มีสองหลังที่สร้างเป็นโรงสุขา อีกสองหลังเป็นโรงอาบน้ำ
อาคารหมายเลข 1
เป็นที่เก็บเสบียงอาหาร อาคารหมายเลข 2 เป็นสำนักงานของฝ่ายบริหาร
ซึ่งมีผู้ถูกเนรเทศทำงานอยู่ประมาณ 10 คน
อาคารนี้เองที่ใช้เป็นสถานที่สำหรับเรียกประชุมและเรียกชื่อของนักโทษผู้ถูกเนรเทศดังที่กล่าวมาแล้ว
และบนชั้นสองชองอาคารแห่งนี้ก็ยังเป็นที่พักของราชินีประจำค่าย
ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาแต่งตั้งให้แก่หญิงที่อยู่ในค่ายแห่งนี้มานานที่สุด
ราชินีประจำค่ายผู้นี้เคยเป็นครูในโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งในเมืองหนึ่งทางตอนเหนือของประเทศเชโกสะโลวะเกีย
ทหารเยอรมันคัดเลือกเธอให้รับตำแหน่งนี้
จึงทำให้เธอมีอำนาจสูงสุดในหมู่นักโทษผู้ถูกเนรเทศ
มีเสรีภาพมากกว่าคนอื่นๆโดยมีข้อจำกัดเพียงไม่ให้ออกจากบริเวณค่ายกักกันเท่านั้นเอง
เธอมีอำนาจสูงสุดในการปกครองนักโทษหญิงกว่า 3000 คนนี้ และให้ขึ้นตรงต่อทหารเยอรมัน
ซึ่งหากเธอยังอยู่ที่ประเทศเชโกสโลวะเกียบ้านเกิดเมืองนอนก็คงจะไม่มีอำนาจล้นเหลืออย่างนี้เป็นแน่
ในสำนักงานของราชินีประจำค่ายประกอบด้วยคณะหัวหน้าค่าย
หัวหน้าสำนักงานและหัวหน้าฝ่ายบริหาร บุคคลเหล่านี้มีห้องส่วนตัวเป็นของตนเอง
ซึ่งแม้จะไม่หรูหรานักแต่ก็ยังดีกว่าที่พักที่มีสภาพเหมือนรังหนูของนักโทษผู้ถูกเนรเทศทั่วๆไป
สำหรับหัวหน้าคุกนั้นก็มีห้องส่วนตัวเล็กๆเป็นสัดส่วนของตัวเอง
ภายในห้องมีม้านั่งและที่นอนให้ด้วย
คนเหล่านี้ได้รับสิ่งตอบแทนจากฝ่ายเยอรมันคือมีสิทธิ์เลือกคนใช้จากพวกนักโทษ
ซึ่งพวกเธอจึงใช้สิทธิ์นี้เพื่อแก้แค้นคนอื่นๆ อย่างเช่น
หญิงหัวหน้าคุกคนหนึ่งซึ่งในอดีตเคยเป็นคนใช้ในบ้านมาก่อน
ก็ได้เลือกเอาอดีตนายหญิงของเธอมาเป็นคนใช้ประจำตัว
หญิงคนนี้ต้องทำงานทุกอย่างตามที่นายต้องการ เช่น ทำหน้าที่ขัดรองเท้า
และปะชุนเสื้อผ้าให้ เป็นต้น
ในคุกของเรามีเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆคือ
มีหัวหน้าคุกซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด มีผู้ช่วยหรือตัวแทนหนึ่งคน
เลขานุการอีกหนึ่งคน สำหรับเลขานุการนั้นมีหน้าที่หลักคือเรียกชื่อและทำรายงาน
และมีแพทย์หญิงประจำอยู่คนหนึ่ง
ซึ่งที่จริงเป็นตำแหน่งที่ไม่มีงานอะไรทำอย่างจริงจังเนื่องจากขาดแคลนเครื่องมือและยารักษาโรค
นอกจากนั้นก็มีพยาบาลและเจ้าหน้าที่แบ่งปันอาหารให้นักโทษซึ่งมีจำนวนรวมกันก็ประมาณ
6-8 คน
สำหรับตำรวจหญิงประจำค่าย ทำการคัดเลือกจากพวกนักโทษ
พวกนี้จะสวมชุดทำงานสีกรมท่า
มีหน้าที่หลักคือคอยขับไล่ไม่ให้นักโทษเข้าไปใกล้รั้วลวดหนาม
ไม่ว่าจะเข้าไปเพื่อติดต่อพูดคุยกับนักโทษเรือนจำอื่นหรือไปเพื่อจุดมุ่งหมายอื่นใดก็ไม่อนุญาตทั้งนั้น
ในเวลาฝนตกตำรวจหญิงเหล่านี้จะใช้ผ้าห่มคลุมตัวจนมิด
โดยเฉพาะในตอนกลางคืนมองดูแล้วคล้ายกับภูตผีปีศาจ
นอกจากนี้ก็ยังมีเจ้าหน้าที่หญิงซึ่งทำหน้าที่ดับเพลิง เก็บขยะ และเป็นสัปเหร่อ
เจ้าหน้าที่โรงครัวประกอบด้วยหญิงประมาณ 400 คน
ซึ่งโรงครัวนี้ใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งของอาคารหมายเลข
2และเจ้าหน้าที่เหล่านี้เป็นผู้ได้รับอภิสิทธิ์เหนือนักโทษอื่นๆไม่ต้องรับประทานอาหารประเภทเดียวกันกับที่แจกจ่ายให้แก่นักโทษ
ยกเว้นในกรณีที่ถูกลงโทษ
พวกนี้จะเตรียมอาหารว่างชนิดพิเศษไว้สำหรับตนเอง
และมักจะกักตุนกินอาหารพิเศษที่เขาแจกให้นักโทษไว้เสมอ
โดยเฉพาะมันฝรั่งและเนยเทียม ซึ่งจะกักตุนกันไว้เพื่อบริโภคเองบ้าง เอาไว้ขายบ้าง
เมื่อได้เงินมาก็จะนำไปซื้อเสื้อผ้าดีๆไว้สวมใส่ พวกนี้จึงมีร่างกายอ้วนท้วนสมบูรณ์
และในบางโอกาสก็แต่งกายด้วยเสื้อผ้าดีๆซึ่งผิดกับนักโทษคนอื่นๆที่ส่วนใหญ่มีลักษณะไม่ผิดอะไรกับโครงกระดูกเดินได้
อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่หญิงในโรงครัวนี้ก็ต้องทำงานหนักอื่นๆด้วย
เช่น ขนฟืน ขนถ่านหิน และขนมันสำปะหลังลงจากรถบรรทุก บางคนทำความสะอาดโรงครัวและล้างถ้วยชามตลอดทั้งวัน
มือและเท้าต้องแช่อยู่ในน้ำตลอดเวลาทำให้มือหยาบกร้านหนาเทอะทะจนเสียรูป
ส่วนเท้าก็มักจะเป็นแผลเน่าเปื่อย
หากใครถูกจับได้ว่าขโมยของคนนั้นก็จะถูกลงโทษด้วยการให้วิ่งวนอยู่ในค่ายเป็นชั่วโมงๆในขณะวิ่งก็ต้องถือหินก้อนหนักๆไปด้วย
นอกจากนั้นยังถูกกล้อนผมตรงกลางศีรษะ ชาวเยอรมันเรียกหญิงที่ถูกลงโทษแบบนี้ว่าเป็น
นักกีฬา
เป็นการยากที่จะบอกว่านักโทษประเภทใดได้รับการปฏิบัติดีเลวกว่ากัน
เพราะนักโทษเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนักโทษการเมือง นักโทษต่างเผ่าพันธุ์
หรือนักโทษประกอบอาชญากรรม
ต่างก็ถูกลดฐานะลงมาให้มีชีวิตความเป็นอยู่ในระดับเดียวกับสัตว์เดรัจฉาน
อย่างไรก็ตามนักโทษชาวยิวและรัสเซียจะได้รับการปฏิบัติที่โหดเหี้ยมที่สุด
ส่วนนักโทษที่เป็นชาวเยอรมันไม่ว่าจะเป็นนักโทษที่ประกอบอาชญากรรมธรรมดา
นักโทษจิตวิปริต หรือนักโทษการเมือง ต่างก็ได้รับอภิสิทธิ์บางประการ
แม้ว่าพวกเขาจะได้รับมอบหมายให้ทำงานหนักหลายอย่างในค่าย
แต่ทุกคนจะได้รับการยกเว้นไม่ถูกคัดเลือกไปสังหารเช่นนักโทษชาติอื่นๆ
อาคาร 2 หลังที่ถูกดัดแปลงให้เป็นอาคารสำหรับใช้อาบน้ำนั้น
แต่ละอาคารมีท่อโลหะติดตั้งอยู่สองท่อห่างกันประมาณ 40 นิ้ว
เพื่อใช้สูบน้ำขึ้นไปบนตัวอาคาร
น้ำที่สูบขึ้นไปนั้นได้มาจากแอ่งน้ำที่อยู่ใกล้ๆนั่นเอง
แต่เกือบตลอดเวลาสังเกตเห็นว่าไม่มีน้ำในแอ่งเลย เจ้าหน้าที่จะเปิดน้ำให้ใช้วันละ
2 ครั้งเท่านั้น
เราจะมีเวลาชำระร่างกายวันหนึ่งๆประมาณ 1-2 ชั่วโมง
ที่โรงอาบน้ำนี่เองถูกกำหนดให้เป็นสถานที่ที่เราใช้ทำความสะอาดร่างกาย
รวมทั้งล้างหน้า บ้วนปากและหวีผม แต่ในทางปฏิบัติจริงๆแล้วไม่มีใครทำเช่นนั้นได้
แม้ว่าจะเป็นช่วงที่มีน้ำก็ตาม
ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากว่าเกือบทุกวันจะมีคลื่นนักโทษหญิงมาแออัดอยู่จนล้นออกมานอกอาคาร
ซึ่งทุกๆคนมีร่างกายสกปรกมอมแมมส่งกลิ่นเหม็นอับไปทั่ว
ที่เราไปชุมนุมกันนั้นก็ไม่ใช่เพื่อชำระร่างกายแต่ไปเพื่อหาน้ำดื่มแก้ความกระหาย
จะไปชำระล้างร่างกายในนั้นได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีสบู่ แปรงสีฟันและหวี
ภายในค่ายน้ำดื่มเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด เพราะมันหาได้ยากมากราวกับทองคำ
วันหนึ่งๆเราได้รับแจกน้ำกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น วันใดหากทนกระหายไม่ไหว
ก็ใช้วิธีนำเศษขนมปังและเนยเทียมไปแลก ซึ่งก็จะได้น้ำมาประมาณหนึ่งแก้วเท่านั้น
เราสามารถทนหิวอาหารได้ แต่จะทนกับความกระหายน้ำนั้นเป็นเรื่องที่แสนลำบาก
สำหรับน้ำที่ผ่านสนิมเขรอะไปยังโรงอาบน้ำมักจะมีกลิ่นเหม็นมาก
และมีสีไม่เหมาะที่จะนำมาดื่มแม้แต่น้อย
แต่ก็จำต้องทนดื่มกันไปอย่างนั้นเพื่อกันตาย
แม้ว่าจะต้องเสียงกับการเป็นโรคบิดหรือโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆนานาประการก็ต้องยอม
เพราะถือว่าน้ำจากโรงอาบน้ำยังดีกว่าน้ำฝนที่ขังอยู่ตามหลุมโสโครก ซึ่งก็มีนักโทษหลายคนทนความกระหายไม่ไหวถึงกับก้มลงเลียน้ำฝนสกปรกนั้น
ดูแล้วไม่ผิดอะไรกับสุนัขที่หิวกระหาย
ผลที่ตามมาก็คือต่างพากันเจ็บไข้ได้ป่วยและสิ้นชีวิตไปในที่สุด
เวลาเข้าไปในห้องน้ำบางครั้งโชคดีมีน้ำพอที่จะชำระล้างร่างกายได้
ก็ต้องคอยระมัดระวังตัวแจ หากใครเผลอถอดเสื้อผ้าออกเพื่อชำระร่างกายก็จะได้เจอดีทันที
เพราะหลังจากอาบน้ำแล้วจะไม่มีโอกาสพบเสื้อผ้าที่ถอดวางไว้นั้น
เนื่องจากมีมือดีมาดอดขโมยเอาไป
และเมื่อเดินแก้ผ้าออกมานอกห้องก็จะถูกเฆี่ยนตีอย่างรุนแรงซ้ำเติมเข้าอีก
การขโมยเป็นศาสตร์และศิลป์อย่างหนึ่งที่นักโทษได้มาเรียนรู้ภายหลังจากเข้ามาอยู่ในค่าย
นักโทษหญิงบางคนมาจากตระกูลผู้ดีไม่เคยมีนิสัยลักขโมยมาก่อน
แต่พอเข้ามาอยู่ในค่ายนานๆเข้าก็กลับกลายเป็นคนมีนิสัยขี้ขโมยไร้ยางอายไปได้อย่างไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
เมื่อใช้ขนมปังแลกน้ำดื่มมาได้แล้วก็ใช่ว่าจะได้ดื่มให้สมกับความกระหายเสมอไป
บางครั้งขณะที่นักทาคนหนึ่งกำลังยกแก้วน้ำที่หามาได้อย่างยากเย็นนั้นจรดริมฝีปาก
ก็จะมีนักโทษอีกคนหนึ่งมาคว้าเอาแก้วน้ำนั้นไปดื่มเสียดื้อๆ
ไม่มีใครทำอะไรใครได้เพราะในค่ายกักกันไม่มีกฎหมายที่จะใช้ลงโทษผู้กระทำผิด
มีแต่กฎป่าใช้กัน พวกเยอรมันได้พยายามที่จะทำให้เราเกิดความเคยชินกับระบบปฏิบัติของพวกนาซี
ซึ่งก็นับว่าได้ประสบความสำเร็จพอสมควร
มีอาคารอยู่ 2 หลังที่จัดไว้สำหรับเป็นโรงสุขาประจำค่าย
ภายในอาคารทั้งสองหลังนี้มีที่สุขาทั้งหมดจำนวน 300 ที่เรียงรายเป็นแถวยาว สามแถว
เพื่อบริการนักโทษที่มีอยู่มากมาย แต่ละที่ขุดเป็นหลุมลึกลงไปในดินประมาณ 1 หลา
บนปากหลุมมีฐานทำด้วยซีเมนต์รูปสี่เหลี่ยมสูงประมาณ 30 นิ้ว กว้างประมาณ 3 เมตร
ด้านบนเจาะรูไว้ให้นั่งถ่าย 2 รู สลับกันไปมาเป็นแนวยาวเหยียด
ที่สุขาเหล่านี้มีคนมาทำความสะอาดอยู่ทุกวัน
สำหรับผู้ที่มาทำความสะอาดนั้นพวกทหารเยอรมันนิยมใช้พวกปัญญาชน เช่น แพทย์
และครูอาจารย์ เป็นต้น
ในช่วงเวลาที่ได้รับการปล่อยตัวให้เป็นอิสระหลังจากเข้าแถวเรียกชื่อเสร็จแล้วนั้น
นักโทษจำนวนมากก็จะมุ่งตรงไปที่โรงสุขา ทำให้โรงสุขาแออัดพอๆกับที่โรงอาบน้ำ
ต้องเข้าคิวยาวเหยียดล้นออกมาอยู่ข้างนอกอาคาร
เมื่อเข้ามาถึงตัวอาคารแล้วก็ต้องรออีกนานจนกว่าจะถึงคิวของตน
หากใครแซงคิวก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก
แต่การแซงคิวนั้นบางครั้งก็ไม่มีประโยชน์อะไรเพราะมีนักโทษเป็นจำนวนมากป่วยเป็นโรคท้องเดิน
เช่น ปวดท้อง ท้องร่วงซึ่งพวกนี้จำเป็นต้องนั่งในที่สุขานานเป็นพิเศษ
สาเหตุที่นักโทษป่วยเป็นโรคทางเดินอาหารกันมาก ก็เพราะบริเวณรอบๆที่สุขาไม่สะอาด
เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค
บางรายป่วยเป็นโรคท้องร่วงรุนแรงมาโรงสุขาไม่ทัน
ก็ถ่ายอุจจาระเรี่ยราดบริเวณใกล้ๆที่คุมขังนั่นเอง
ซึ่งถ้าบังเอิญผู้คุมมาพบเข้าก็จะถูกไล่ทุบตีอย่างรุนแรง เรื่องความสะอาดภายในโรงสุขาไม่ต้องพูดถึง
เพราะแม้แต่กระดาษชำระหรือสบู่ก็ไม่มีให้ใช้
จึงเป็นไปไม่ได้ที่ร่างกายของนักโทษที่เข้าไปใช้บริการจะสะอาดดีพอ
บ่อยครั้งที่มีนักโทษชายมาซ่อมถนนหรือทำงานอย่างอื่นในค่ายกักกันของนักโทษหญิง
ซึ่งพวกนี้ก็จะมาใช้โรงอาบน้ำและโรงสุขาร่วมกับนักโทษหญิงด้วย
เมื่อโรงอาบน้ำมีคนเบาบางลงก็จะกลายเป็นโรงเสริมสวยของพวกนักโทษหญิง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนบ่ายๆนักโทษบางคนนำอาการกลางวันไปรับประทานในนั้นก็มี
และที่นี่ก็ยังใช้เป็นสถานที่พูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารและเป็นตลาดมืดค้าขายสินค้าลับๆอีกด้วย
อีกจุดหนึ่งที่พวกเราชอบไปชุมนุมกันก็คือบริเวณกองขยะ
เพราะมันมีสิ่งมีค่าสำหรับเราไม่น้อยทีเดียว
วันหนึ่งดิฉันอยากได้เข็มขัดมาคาดเอวเวลาสวมกางเกง
ก็ที่กองขยะนี่เองที่ดิฉันโชคดีได้เจอเชือกสามเส้นที่พอจะนำมาฟั่นทำเป็นเข็มขัดได้
นอกจากนั้นดิฉันก็ยังไปได้ไม้ชิ้นบางๆมาชิ้นหนึ่ง ซึ่งก็ได้นำมันไปฝนจนคมใช้แทนมีด
ในวันเดียวกันดิฉันโชคดีเป็นครั้งที่สอง
คราวนี้เพื่อนนักโทษตนหนึ่งได้ให้ของขวัญล้ำค่าแก่ดิฉัน มันเป็นเศษผ้าสองชิ้น
ชิ้นหนึ่งดิฉันใช้ทำแปรงสีฟันและอีกชิ้นหนึ่งทำเป็นผ้าเช็ดหน้า
ที่ต้องการใช้ผ้าเช็ดหน้านั้นก็เพราะตอนนั้นดิฉันเป็นหวัดอย่างรุนแรง
และดิฉันเองก็ไม่ค่อยถนัดใช้มือบีบจมูกสั่งน้ำมูกเหมือนอย่างที่เพื่อนคนอื่นๆเขาทำกัน
เนื่องจากดิฉันไม่มีกระเป๋าเก็บสิ่งของ
จึงเหน็บผ้าสองผืนไว้ที่เข็มขัดชิ้นใหม่ติดกับมีดไม้เล่มนั้น
ก็ให้รู้สึกภาคภูมิใจมากที่ไดเป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้
มีความรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงที่ร่ำรวยคนหนึ่งในค่ายไปเลยทีเดียว.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น