Ads

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 6 ภายในค่ายนรก




เมื่อการเรียกชื่อยุติลงแล้วเราจะได้รับอนุญาตให้กลับไปยังคุกของตนๆหรือใครจะไปห้องสุขาก็ได้ ส่วนดิฉันเองชอบถือโอกาสตอนนี้เที่ยวเดินสำรวจดูบริเวณต่างๆภายในค่าย

ค่ายแห่งนี้มีถนนใหญ่ กว้างประมาณ 1500 ฟุตตัดผ่ากลาง สองข้างถนนมีอาคารเรียงรายอยู่ 17 หลัง แต่ละหลังสร้างไว้อ่างถาวร ในจำนวนนี้มีสองหลังที่สร้างเป็นโรงสุขา อีกสองหลังเป็นโรงอาบน้ำ 

อาคารหมายเลข 1 เป็นที่เก็บเสบียงอาหาร อาคารหมายเลข 2 เป็นสำนักงานของฝ่ายบริหาร ซึ่งมีผู้ถูกเนรเทศทำงานอยู่ประมาณ 10 คน อาคารนี้เองที่ใช้เป็นสถานที่สำหรับเรียกประชุมและเรียกชื่อของนักโทษผู้ถูกเนรเทศดังที่กล่าวมาแล้ว 

และบนชั้นสองชองอาคารแห่งนี้ก็ยังเป็นที่พักของราชินีประจำค่าย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาแต่งตั้งให้แก่หญิงที่อยู่ในค่ายแห่งนี้มานานที่สุด ราชินีประจำค่ายผู้นี้เคยเป็นครูในโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งในเมืองหนึ่งทางตอนเหนือของประเทศเชโกสะโลวะเกีย ทหารเยอรมันคัดเลือกเธอให้รับตำแหน่งนี้ จึงทำให้เธอมีอำนาจสูงสุดในหมู่นักโทษผู้ถูกเนรเทศ มีเสรีภาพมากกว่าคนอื่นๆโดยมีข้อจำกัดเพียงไม่ให้ออกจากบริเวณค่ายกักกันเท่านั้นเอง 

เธอมีอำนาจสูงสุดในการปกครองนักโทษหญิงกว่า 3000 คนนี้ และให้ขึ้นตรงต่อทหารเยอรมัน ซึ่งหากเธอยังอยู่ที่ประเทศเชโกสโลวะเกียบ้านเกิดเมืองนอนก็คงจะไม่มีอำนาจล้นเหลืออย่างนี้เป็นแน่

ในสำนักงานของราชินีประจำค่ายประกอบด้วยคณะหัวหน้าค่าย หัวหน้าสำนักงานและหัวหน้าฝ่ายบริหาร บุคคลเหล่านี้มีห้องส่วนตัวเป็นของตนเอง ซึ่งแม้จะไม่หรูหรานักแต่ก็ยังดีกว่าที่พักที่มีสภาพเหมือนรังหนูของนักโทษผู้ถูกเนรเทศทั่วๆไป 

สำหรับหัวหน้าคุกนั้นก็มีห้องส่วนตัวเล็กๆเป็นสัดส่วนของตัวเอง ภายในห้องมีม้านั่งและที่นอนให้ด้วย คนเหล่านี้ได้รับสิ่งตอบแทนจากฝ่ายเยอรมันคือมีสิทธิ์เลือกคนใช้จากพวกนักโทษ ซึ่งพวกเธอจึงใช้สิทธิ์นี้เพื่อแก้แค้นคนอื่นๆ อย่างเช่น หญิงหัวหน้าคุกคนหนึ่งซึ่งในอดีตเคยเป็นคนใช้ในบ้านมาก่อน ก็ได้เลือกเอาอดีตนายหญิงของเธอมาเป็นคนใช้ประจำตัว หญิงคนนี้ต้องทำงานทุกอย่างตามที่นายต้องการ เช่น ทำหน้าที่ขัดรองเท้า และปะชุนเสื้อผ้าให้ เป็นต้น

ในคุกของเรามีเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆคือ มีหัวหน้าคุกซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด มีผู้ช่วยหรือตัวแทนหนึ่งคน เลขานุการอีกหนึ่งคน สำหรับเลขานุการนั้นมีหน้าที่หลักคือเรียกชื่อและทำรายงาน และมีแพทย์หญิงประจำอยู่คนหนึ่ง ซึ่งที่จริงเป็นตำแหน่งที่ไม่มีงานอะไรทำอย่างจริงจังเนื่องจากขาดแคลนเครื่องมือและยารักษาโรค นอกจากนั้นก็มีพยาบาลและเจ้าหน้าที่แบ่งปันอาหารให้นักโทษซึ่งมีจำนวนรวมกันก็ประมาณ 6-8 คน

สำหรับตำรวจหญิงประจำค่าย ทำการคัดเลือกจากพวกนักโทษ พวกนี้จะสวมชุดทำงานสีกรมท่า มีหน้าที่หลักคือคอยขับไล่ไม่ให้นักโทษเข้าไปใกล้รั้วลวดหนาม ไม่ว่าจะเข้าไปเพื่อติดต่อพูดคุยกับนักโทษเรือนจำอื่นหรือไปเพื่อจุดมุ่งหมายอื่นใดก็ไม่อนุญาตทั้งนั้น ในเวลาฝนตกตำรวจหญิงเหล่านี้จะใช้ผ้าห่มคลุมตัวจนมิด โดยเฉพาะในตอนกลางคืนมองดูแล้วคล้ายกับภูตผีปีศาจ นอกจากนี้ก็ยังมีเจ้าหน้าที่หญิงซึ่งทำหน้าที่ดับเพลิง เก็บขยะ และเป็นสัปเหร่อ

เจ้าหน้าที่โรงครัวประกอบด้วยหญิงประมาณ 400 คน ซึ่งโรงครัวนี้ใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งของอาคารหมายเลข 2และเจ้าหน้าที่เหล่านี้เป็นผู้ได้รับอภิสิทธิ์เหนือนักโทษอื่นๆไม่ต้องรับประทานอาหารประเภทเดียวกันกับที่แจกจ่ายให้แก่นักโทษ ยกเว้นในกรณีที่ถูกลงโทษ 

พวกนี้จะเตรียมอาหารว่างชนิดพิเศษไว้สำหรับตนเอง และมักจะกักตุนกินอาหารพิเศษที่เขาแจกให้นักโทษไว้เสมอ โดยเฉพาะมันฝรั่งและเนยเทียม ซึ่งจะกักตุนกันไว้เพื่อบริโภคเองบ้าง เอาไว้ขายบ้าง เมื่อได้เงินมาก็จะนำไปซื้อเสื้อผ้าดีๆไว้สวมใส่ พวกนี้จึงมีร่างกายอ้วนท้วนสมบูรณ์ และในบางโอกาสก็แต่งกายด้วยเสื้อผ้าดีๆซึ่งผิดกับนักโทษคนอื่นๆที่ส่วนใหญ่มีลักษณะไม่ผิดอะไรกับโครงกระดูกเดินได้

อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่หญิงในโรงครัวนี้ก็ต้องทำงานหนักอื่นๆด้วย เช่น ขนฟืน ขนถ่านหิน และขนมันสำปะหลังลงจากรถบรรทุก บางคนทำความสะอาดโรงครัวและล้างถ้วยชามตลอดทั้งวัน มือและเท้าต้องแช่อยู่ในน้ำตลอดเวลาทำให้มือหยาบกร้านหนาเทอะทะจนเสียรูป ส่วนเท้าก็มักจะเป็นแผลเน่าเปื่อย

หากใครถูกจับได้ว่าขโมยของคนนั้นก็จะถูกลงโทษด้วยการให้วิ่งวนอยู่ในค่ายเป็นชั่วโมงๆในขณะวิ่งก็ต้องถือหินก้อนหนักๆไปด้วย นอกจากนั้นยังถูกกล้อนผมตรงกลางศีรษะ ชาวเยอรมันเรียกหญิงที่ถูกลงโทษแบบนี้ว่าเป็น นักกีฬา

เป็นการยากที่จะบอกว่านักโทษประเภทใดได้รับการปฏิบัติดีเลวกว่ากัน เพราะนักโทษเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนักโทษการเมือง นักโทษต่างเผ่าพันธุ์ หรือนักโทษประกอบอาชญากรรม ต่างก็ถูกลดฐานะลงมาให้มีชีวิตความเป็นอยู่ในระดับเดียวกับสัตว์เดรัจฉาน 

อย่างไรก็ตามนักโทษชาวยิวและรัสเซียจะได้รับการปฏิบัติที่โหดเหี้ยมที่สุด ส่วนนักโทษที่เป็นชาวเยอรมันไม่ว่าจะเป็นนักโทษที่ประกอบอาชญากรรมธรรมดา นักโทษจิตวิปริต หรือนักโทษการเมือง ต่างก็ได้รับอภิสิทธิ์บางประการ แม้ว่าพวกเขาจะได้รับมอบหมายให้ทำงานหนักหลายอย่างในค่าย แต่ทุกคนจะได้รับการยกเว้นไม่ถูกคัดเลือกไปสังหารเช่นนักโทษชาติอื่นๆ

อาคาร 2 หลังที่ถูกดัดแปลงให้เป็นอาคารสำหรับใช้อาบน้ำนั้น แต่ละอาคารมีท่อโลหะติดตั้งอยู่สองท่อห่างกันประมาณ 40 นิ้ว เพื่อใช้สูบน้ำขึ้นไปบนตัวอาคาร น้ำที่สูบขึ้นไปนั้นได้มาจากแอ่งน้ำที่อยู่ใกล้ๆนั่นเอง แต่เกือบตลอดเวลาสังเกตเห็นว่าไม่มีน้ำในแอ่งเลย เจ้าหน้าที่จะเปิดน้ำให้ใช้วันละ 2 ครั้งเท่านั้น 

เราจะมีเวลาชำระร่างกายวันหนึ่งๆประมาณ 1-2 ชั่วโมง ที่โรงอาบน้ำนี่เองถูกกำหนดให้เป็นสถานที่ที่เราใช้ทำความสะอาดร่างกาย รวมทั้งล้างหน้า บ้วนปากและหวีผม แต่ในทางปฏิบัติจริงๆแล้วไม่มีใครทำเช่นนั้นได้ แม้ว่าจะเป็นช่วงที่มีน้ำก็ตาม ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากว่าเกือบทุกวันจะมีคลื่นนักโทษหญิงมาแออัดอยู่จนล้นออกมานอกอาคาร ซึ่งทุกๆคนมีร่างกายสกปรกมอมแมมส่งกลิ่นเหม็นอับไปทั่ว 

ที่เราไปชุมนุมกันนั้นก็ไม่ใช่เพื่อชำระร่างกายแต่ไปเพื่อหาน้ำดื่มแก้ความกระหาย จะไปชำระล้างร่างกายในนั้นได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีสบู่ แปรงสีฟันและหวี

ภายในค่ายน้ำดื่มเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด เพราะมันหาได้ยากมากราวกับทองคำ วันหนึ่งๆเราได้รับแจกน้ำกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น วันใดหากทนกระหายไม่ไหว ก็ใช้วิธีนำเศษขนมปังและเนยเทียมไปแลก ซึ่งก็จะได้น้ำมาประมาณหนึ่งแก้วเท่านั้น เราสามารถทนหิวอาหารได้ แต่จะทนกับความกระหายน้ำนั้นเป็นเรื่องที่แสนลำบาก 

สำหรับน้ำที่ผ่านสนิมเขรอะไปยังโรงอาบน้ำมักจะมีกลิ่นเหม็นมาก และมีสีไม่เหมาะที่จะนำมาดื่มแม้แต่น้อย แต่ก็จำต้องทนดื่มกันไปอย่างนั้นเพื่อกันตาย แม้ว่าจะต้องเสียงกับการเป็นโรคบิดหรือโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆนานาประการก็ต้องยอม 

เพราะถือว่าน้ำจากโรงอาบน้ำยังดีกว่าน้ำฝนที่ขังอยู่ตามหลุมโสโครก ซึ่งก็มีนักโทษหลายคนทนความกระหายไม่ไหวถึงกับก้มลงเลียน้ำฝนสกปรกนั้น ดูแล้วไม่ผิดอะไรกับสุนัขที่หิวกระหาย ผลที่ตามมาก็คือต่างพากันเจ็บไข้ได้ป่วยและสิ้นชีวิตไปในที่สุด

เวลาเข้าไปในห้องน้ำบางครั้งโชคดีมีน้ำพอที่จะชำระล้างร่างกายได้ ก็ต้องคอยระมัดระวังตัวแจ หากใครเผลอถอดเสื้อผ้าออกเพื่อชำระร่างกายก็จะได้เจอดีทันที เพราะหลังจากอาบน้ำแล้วจะไม่มีโอกาสพบเสื้อผ้าที่ถอดวางไว้นั้น เนื่องจากมีมือดีมาดอดขโมยเอาไป

 และเมื่อเดินแก้ผ้าออกมานอกห้องก็จะถูกเฆี่ยนตีอย่างรุนแรงซ้ำเติมเข้าอีก การขโมยเป็นศาสตร์และศิลป์อย่างหนึ่งที่นักโทษได้มาเรียนรู้ภายหลังจากเข้ามาอยู่ในค่าย 

นักโทษหญิงบางคนมาจากตระกูลผู้ดีไม่เคยมีนิสัยลักขโมยมาก่อน แต่พอเข้ามาอยู่ในค่ายนานๆเข้าก็กลับกลายเป็นคนมีนิสัยขี้ขโมยไร้ยางอายไปได้อย่างไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

เมื่อใช้ขนมปังแลกน้ำดื่มมาได้แล้วก็ใช่ว่าจะได้ดื่มให้สมกับความกระหายเสมอไป บางครั้งขณะที่นักทาคนหนึ่งกำลังยกแก้วน้ำที่หามาได้อย่างยากเย็นนั้นจรดริมฝีปาก ก็จะมีนักโทษอีกคนหนึ่งมาคว้าเอาแก้วน้ำนั้นไปดื่มเสียดื้อๆ 

ไม่มีใครทำอะไรใครได้เพราะในค่ายกักกันไม่มีกฎหมายที่จะใช้ลงโทษผู้กระทำผิด มีแต่กฎป่าใช้กัน พวกเยอรมันได้พยายามที่จะทำให้เราเกิดความเคยชินกับระบบปฏิบัติของพวกนาซี ซึ่งก็นับว่าได้ประสบความสำเร็จพอสมควร

มีอาคารอยู่ 2 หลังที่จัดไว้สำหรับเป็นโรงสุขาประจำค่าย ภายในอาคารทั้งสองหลังนี้มีที่สุขาทั้งหมดจำนวน 300 ที่เรียงรายเป็นแถวยาว สามแถว เพื่อบริการนักโทษที่มีอยู่มากมาย แต่ละที่ขุดเป็นหลุมลึกลงไปในดินประมาณ 1 หลา บนปากหลุมมีฐานทำด้วยซีเมนต์รูปสี่เหลี่ยมสูงประมาณ 30 นิ้ว กว้างประมาณ 3 เมตร ด้านบนเจาะรูไว้ให้นั่งถ่าย 2 รู สลับกันไปมาเป็นแนวยาวเหยียด

ที่สุขาเหล่านี้มีคนมาทำความสะอาดอยู่ทุกวัน สำหรับผู้ที่มาทำความสะอาดนั้นพวกทหารเยอรมันนิยมใช้พวกปัญญาชน เช่น แพทย์ และครูอาจารย์ เป็นต้น

ในช่วงเวลาที่ได้รับการปล่อยตัวให้เป็นอิสระหลังจากเข้าแถวเรียกชื่อเสร็จแล้วนั้น นักโทษจำนวนมากก็จะมุ่งตรงไปที่โรงสุขา ทำให้โรงสุขาแออัดพอๆกับที่โรงอาบน้ำ ต้องเข้าคิวยาวเหยียดล้นออกมาอยู่ข้างนอกอาคาร เมื่อเข้ามาถึงตัวอาคารแล้วก็ต้องรออีกนานจนกว่าจะถึงคิวของตน หากใครแซงคิวก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก 

แต่การแซงคิวนั้นบางครั้งก็ไม่มีประโยชน์อะไรเพราะมีนักโทษเป็นจำนวนมากป่วยเป็นโรคท้องเดิน เช่น ปวดท้อง ท้องร่วงซึ่งพวกนี้จำเป็นต้องนั่งในที่สุขานานเป็นพิเศษ สาเหตุที่นักโทษป่วยเป็นโรคทางเดินอาหารกันมาก ก็เพราะบริเวณรอบๆที่สุขาไม่สะอาด เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค 

บางรายป่วยเป็นโรคท้องร่วงรุนแรงมาโรงสุขาไม่ทัน ก็ถ่ายอุจจาระเรี่ยราดบริเวณใกล้ๆที่คุมขังนั่นเอง ซึ่งถ้าบังเอิญผู้คุมมาพบเข้าก็จะถูกไล่ทุบตีอย่างรุนแรง เรื่องความสะอาดภายในโรงสุขาไม่ต้องพูดถึง เพราะแม้แต่กระดาษชำระหรือสบู่ก็ไม่มีให้ใช้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ร่างกายของนักโทษที่เข้าไปใช้บริการจะสะอาดดีพอ

บ่อยครั้งที่มีนักโทษชายมาซ่อมถนนหรือทำงานอย่างอื่นในค่ายกักกันของนักโทษหญิง ซึ่งพวกนี้ก็จะมาใช้โรงอาบน้ำและโรงสุขาร่วมกับนักโทษหญิงด้วย เมื่อโรงอาบน้ำมีคนเบาบางลงก็จะกลายเป็นโรงเสริมสวยของพวกนักโทษหญิง 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนบ่ายๆนักโทษบางคนนำอาการกลางวันไปรับประทานในนั้นก็มี และที่นี่ก็ยังใช้เป็นสถานที่พูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารและเป็นตลาดมืดค้าขายสินค้าลับๆอีกด้วย

อีกจุดหนึ่งที่พวกเราชอบไปชุมนุมกันก็คือบริเวณกองขยะ เพราะมันมีสิ่งมีค่าสำหรับเราไม่น้อยทีเดียว วันหนึ่งดิฉันอยากได้เข็มขัดมาคาดเอวเวลาสวมกางเกง ก็ที่กองขยะนี่เองที่ดิฉันโชคดีได้เจอเชือกสามเส้นที่พอจะนำมาฟั่นทำเป็นเข็มขัดได้ นอกจากนั้นดิฉันก็ยังไปได้ไม้ชิ้นบางๆมาชิ้นหนึ่ง ซึ่งก็ได้นำมันไปฝนจนคมใช้แทนมีด

ในวันเดียวกันดิฉันโชคดีเป็นครั้งที่สอง คราวนี้เพื่อนนักโทษตนหนึ่งได้ให้ของขวัญล้ำค่าแก่ดิฉัน มันเป็นเศษผ้าสองชิ้น ชิ้นหนึ่งดิฉันใช้ทำแปรงสีฟันและอีกชิ้นหนึ่งทำเป็นผ้าเช็ดหน้า ที่ต้องการใช้ผ้าเช็ดหน้านั้นก็เพราะตอนนั้นดิฉันเป็นหวัดอย่างรุนแรง และดิฉันเองก็ไม่ค่อยถนัดใช้มือบีบจมูกสั่งน้ำมูกเหมือนอย่างที่เพื่อนคนอื่นๆเขาทำกัน

เนื่องจากดิฉันไม่มีกระเป๋าเก็บสิ่งของ จึงเหน็บผ้าสองผืนไว้ที่เข็มขัดชิ้นใหม่ติดกับมีดไม้เล่มนั้น ก็ให้รู้สึกภาคภูมิใจมากที่ไดเป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้ มีความรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงที่ร่ำรวยคนหนึ่งในค่ายไปเลยทีเดียว.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น