ธรรมชาติของมนุษย์มีอยู่ว่า
ที่ใดก็ตามที่มีผู้หญิงและผู้ชายอยู่รวมกันที่นั้นย่อมจะมีความรักเกิดขึ้น
ในค่ายนรกแห่งนี้ก็เช่นเดียวกัน
แม้ว่านักโทษจะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางเงามืดของเตาเผาศพ
แม้อารมณ์ใคร่ของพวกเขาหาได้หดหายไปไม่ ในบรรยากาศที่เลวร้ายของค่ายมรณะแห่งนี้
ผู้คนยังมีอารมณ์รักอารมณ์ใคร่กันเป็นปกติ
แต่ความรักความใคร่ของคนนี่นี่ผิดแผกแตกต่างจากความรักความใคร่ของคนทั่วไป
โดยเฉพาะสังคมมนุษย์ในค่ายเบอร์แคเนาหรือค่ายเอาส์ชวิตซ์สองนี้
มันมีลักษณะพิลึกพิลั่นแตกต่างจากสังคมของมนุษย์ทั่วไปมากทีเดียว
พวกเดนมนุษย์นาซีผู้กุมชะตาชีวิตของพวกเราอยู่นั้นได้พยายามทุกวิถีทางที่จะดับความใคร่ทั้งปวงของนักโทษ
ดังจะเห็นได้จากมีการซุบซิบกันในค่ายว่า พวกเยอรมันได้นำผงชนิดหนึ่งมาผสมลงไปในอาหารของนักโทษ
โยมีจุดมุ่งหมายเพื่อจะลดความกำหนัดหรือทำลายความต้องการทางเพศ
ส่วนเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสนั้นเขาก็มีทางออกทางเซ็กซ์อีกแบบหนึ่ง
ซึ่งเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสเหล่านี้จะคลุกคลีอยู่ในท่ามกลางนักโทษสาวๆซึ่งเปลือยกายหรือแต่งกายอยู่ในชุดวับๆแวมๆเกือบจะตลอดเวลา
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องแน่นอนว่าพวกเจ้าหน้าที่เหล่านี้ก็ต้องมีอารมณ์ทางเพศตื่นเต้นกลัดมันขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
แต่พวกเขาก็มีสำนักโสเภณีจัดหาโสเภณีเยอรมันมาไว้บริการให้ปลดเปลื้องความใคร่
แม้ว่าในทางทฤษฎีนาซีจะรังเกียจเดียดฉันท์คนเผ่าอื่นแต่ก็ดีรู้มาว่ามีนักโทษหญิงจากเผ่าต่างๆที่สะสวยรูปร่างงามจำนวนหนึ่งถูกนำตัวมาเป็นโสเภณีเพื่อบำบัดความใคร่ของพวกนาซีตามสำนักโสเภณีต่างๆในค่ายด้วยเหมือนกัน
ส่วนในค่ายกักกันชายก็มีสำนักโสเภณีไว้ให้นักโทษชายปลดเปลื้องความใคร่อีกเช่นเดียวกัน
ซึ่งนักโทษชายก็นิยมไปเที่ยวกันเพราะหาทางออกทางอื่นไม่ได้
กฎระเบียบปฏิบัติที่พวกเยอรมันนำมาบังคับใช้นั้นไม่ได้มีผลทำให้พวกเราผู้หญิงหมดความรู้สึกทางเพศไปได้
ความเคร่งเครียดทางสมองที่มีอยู่ตลอดเวลานั้นมันไม่ได้ทำให้ความต้องการทางเพศของพวกเราลงไปเลยตรงกันข้ามยิ่งมีความเคร่งเครียดทางจิตใจมากเท่าใดก็ดูเหมือนว่าจะยิ่งเป็นสิ่งเร้าพิเศษให้มีความต้องการทางเพศมากขึ้นเท่านั้น
ความสัมพันธ์ระหว่างนักโทษชายกับนักโทษหญิงมีลักษณะที่ไม่เป็นไปตามแบบประเพณีนิยมแบบตะวันตกเท่าใดนัก
เวลาพูคุยกันจะใช้สรรพนามหยาบๆเรียกคู่สนทนาว่า”แก” และเรียกชื่อต้นกันแทนที่จะเรียกนามสกุลตามแบบฉบับของสังคมชาวยุโรปโดยทั่วๆไป
ลักษณะทางภาษาที่แสดงออกถึงความสนิทสนมเช่นนี้จะใช้กับทุกคนแม้ว่าอาจจะไม่รู้จักมักคุ้นกันมาเลยก็ตาม
คนที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนก็อาจจะมีความรู้สึกว่าเป็นคำพูดที่หยาบคายไปก็ได้
พวกผู้ชายที่พวกเรานักโทษหญิงมีโอกาสได้พบนั้นนอกจากพวกยามรักษาการณ์หน่วยเอสเอสและพวกทหารเยอรมันแล้ว
ก็มีพวกนักโทษชายที่เข้ามาทำงานซ่อมถนนทำงานขุดคูหรือทำงานอย่างอื่นในค่ายของพวกเรา
ตามปกติแล้วจะมีเวลาช่วงเดียวเท่านั้นที่พวกเรานักโทษหญิงจะได้อยู่กับพวกผู้ชาย
คือในช่วงรับประทานอาหารกลางวัน และสถานที่พบกันก็ได้แก่ในโรงอาบน้ำหรือในโรงสุขา
ซึ่งพวกผู้ชายจะนำอาหารมารับประทานกันในที่ 2 แห่งนี้
พวกผู้ชายจะถูกพวกผู้หญิงทุกวัยทั้งสวยและไม่สวยมากลุ้มรุมกันเพื่อของเศษอาหารไปรับประทาน
เชื่อไหมคะว่า ผู้ชายแต่ละคนจะมีพวกผู้หญิง 3-4
คนมายืนรุมล้อมโยแต่ละนางจะยื่นมือทั้งสองข้างออกไปขอเหมือนพวกขอทาน
บ้างก็ตีหน้าเศร้า บ้างก็ยิ้มยั่วให้เกิดอารมณ์ใคร่
คนไหนที่สวยๆหน่อยก็จะร้องเพลงฮิตชุดล่าสุดเพื่อเรียกร้องความสนใจ
บางครั้งพวกผู้ชายก็เมตตาแบ่งอาหารให้
ในกรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นความโชคดีอย่างมหาศาล
เพราะผู้หญิงเราจะมีโอกาสได้ลิ้มรสมันฝรั่งซึ่งเป็นอาหารชั้นเยี่ยมในค่ายที่เขาเก็บไว้สำหรับคนครัวและคนในระดับหัวหน้าคุกในค่ายของผู้หญิงเท่านั้น
ความจริงแล้วที่พวกผู้ชายแบ่งอาหารให้ผู้หญิงกินนั้นก็ไม่ได้ให้เพราะความสงสารแต่อย่างใดแต่เขาหวังจะใช้อาหารเป็นสื่อแลกกับความสุขทางเพศที่เขาต้องการจากผู้หญิง
ดูจะเป็นการใจจืดใจดำเกินไปถ้าจะไปประณามผู้หญิงเหล่านี้ว่าลดตัวลงต่ำในลักษณะมาขายเซ็กส์เพื่อแลกกับเศษขนมปังแค่ครึ่งแผ่น
พวกเราไม่ควรประณามเธอถึงขนาดนั้น
ผู้ที่ควรถูกประณามในฐานะที่ทำให้นักโทษหญิงเหล่านี้ลดเกียรติของความเป็นสุภาพสตรีมามั่วในกามราคะก็คือพวกผู้บริหารค่ายนั่นต่างหาก
ด้วยเหตุนี้การ่วมประเวณีหรือการร่วมเพศแบบสำส่อนจึงเป็นปรากฏการณ์ธรรมดาในค่ายเบอร์เคเนาและผลที่ติดตามมาก็คือมีการติดโรคหนองในกันงอมแงม
และก็มีพวกแมงดาที่หากินกับพวกโสเภณี เป็นต้น
สิ่งที่จำเป็นมากจะถูกขโมยจากคลังแคนาดาเพื่อนำไปแลกเซ็กส์จากบรรดาผู้ประกอบการค้าประเวณี
อย่างไรก็ดีเซ็กส์มิได้ทีเฉพาะในแวดวงของพวกที่เที่ยวโสเภณีเท่านั้นแต่ยังมีเซ็กซ์ที่มีความละเอียดอ่อนกอปรด้วยความรักความดูดดื่มความจริงใจและเต็มเปี่ยมไปด้วยมิตรภาพระหว่างนักโทษชายหญิงอยู่ด้วยเหมือนกัน
แต่นักโทษหญิงส่วนใหญ่จะอดอยากในเรื่องเซกส์ไปตามๆกัน
นักโทษหญิงคนใดมีแฟนชายเป็นคู่ขาก็ถือว่าเป็นผู้โชคดีและเป็นที่อิจฉาริษยาของนักโทษหญิงคนอื่นๆ
เพราะในคุกของผู้หญิงเรามีผู้ชายเช้าไปได้เพียงไม่กี่คน
นักโทษสาวๆส่วนใหญ่จะหาคู่ขาได้
ส่วนนักโทษหญิงวัยสูงอายุก็ไม่ต้องหวังว่าจะหาคู่ได้ง่ายๆ
พวกที่ได้เปรียบที่สุดในเรื่องแสวงหาความสุขทางเพศก็ได้แก่พวกหัวหน้าคุกหญิง
ทั้งนี้เพราะพวกเธอมีห้องส่วนตัวเป็นสัดส่วนต่างหาก
ในขณะที่พวกเธอกำลังต้อนรับขับสู้กับคู่ขาอยู่นั้น
เธอก็จะให้เพื่อนหญิงเป็นคนคอยดูต้นทางให้ เพราะว่าการนัดขู่ขามาร่วมประเวณีกันในคุกถือว่าเป็นการละเมิดข้อห้ามของค่ายกักกันอย่างร้ายแรง
แต่พวกหัวหน้าคุกก็จะเตรียมการป้องกันไว้อย่างรัดกุมเป็นพิเศษ
คือเมื่อเจ้าหน้าหน่วยเอสเอสเดินเข้ามาในคุกพวกดูต้นทางก็จะให้สัญญาณเพื่อให้หญิงหัวหน้าคุกและคู่ขารู้ตัวก่อนล่วงหน้า
แต่ก็มีอยู่บ่อยครั้งเหมือนกันที่การนัดพบคู่ขามาหาความสุขกันในคุกถูกเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสเข้ามาขัดจังหวะถึง
3-4 ครั้ง
แต่ถึงกระนั้นก็ตามหัวหน้าคุกหญิงจะไม่ยอมท้อถอยยังคงเสี่ยงหาผู้ชายเข้ามาหาความสุขทางเพศในคุกอยู่เป็นประจำ
และบางครั้งหัวหน้าคุกหญิงก็ยินยอมให้เพื่อนๆ”เช่า”ห้องเพื่อใช้เป็นที่ร่วมเพศกับคู่ขาด้วยเหมือนกัน
แต่ในกรณีเช่นนี้จะมีการเรียกร้องค่าเช่าแพงมาก
เนื่องจากอัตราการเสี่ยงสูงมากนั้นเอง
เพราะถ้าหากหัวหน้าคุกหญิงคนใดถูกจับได้ว่าแอบร่วมเพศกับผู้ชายเองหรืออำนวยความสะดวกแก่คูขารายอื่นก็จะถูกลงโทษอย่างรุนแรง
โดยจะถูกโกนผมจนโล้นอีกครั้ง และถูกเฆี่ยนตีอย่างรุนแรง
และที่สำคัญที่สุดจะถูกปลดออกจากตำแหน่งหัวหน้าคุกทันที
มาตรฐานที่นำมาใช้ตัดสินว่านักโทษหญิงคนไหนสวยหรือไม่สวยนั้นก็เป็นมาตรฐานที่แตกต่างจากสังคมแห่งอื่นๆ
ตัวอย่างเช่น ในค่ายเบอร์เคเนาผู้หญิงคนไหนมีรูปร่างกายอ้วนท้วนแข็งแรงจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้มีความงามล้ำเลิศในบรรดาหญิงทั้งหลาย
เพราะพวกผู้ชายบางคนถึงแม้ว่าตัวเองจะมีร่างกายผอมโซเหมือนโครงกระดูกเดินได้ก็ตาม
ก็จะพากันรังเกียจการมีเพศสัมพันธ์กับหญิงที่มีร่างกายผ่ายผอมแก้มตอบ
ดังนั้นพวกผู้หญิงมีมีเนื้อหนังอยู่บ้างซึ่งก็มีอยู่ไม่กี่คนก็จะเป็นที่อิจฉาริษยาของผู้หญิงอื่นๆเพราะผู้หญิงที่มีเนื้อหนังอยู่บ้างนี้จะหาคู่ขาได้ง่ายกว่านั่นเอง
มันเป็นเรื่องกลับกันกับเมื่อก่อนที่ยังไม่ได้เข้ามาอยู่ในค่ายกักกัน
ซึ่งตอนนั้นพวกที่อิจฉาในความอ้วนของคนอื่นต้องการให้ร่างกายผ่ายผอมเป็นที่ดึงดูดใจชายถึงกับอดอาหารเพื่อลดความอ้วนกันเป็นวรรคเป็นเวร
ที่ค่ายเบอร์เคเนาก็มีผู้หญิงที่มีความต้องการทางเพศแบบผิดปกติเช่นเดียวกับนักโทษหญิงในค่ายอื่นๆ
ผู้หญิงในค่ายแห่งนี้จัดแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มที่ 1 ได้แก่กลุ่มเลสเบี้ยน
กลุ่มนี้จะหาความสุขทางเพศในหมู่ที่ของเลสเบี้ยนกัน
กลุ่มที่ 2 เป็นพวกที่น่าสงสารกว่ากลุ่มแรก
เพราะสถานการณ์ที่ผิดปกติในค่ายทำให้ต้องเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับการหาความสุขทางเพศโยพวกเหล่านี้เคยอยู่ในสังคมชั้นสูงมาก่อนแต่ต้องมายินยอมให้นักโทษชายเชยชมเพียงเพื่อแลกกับความอยู่รอดของตนเอง
มีนักโทษหญิงชาวโปแลนด์คนหนึ่งวัย 50 ปี
เป็นศาสตราจารย์สาขาวิชาฟิสิกส์ สามีถูกทหารเยอรมันฆ่าตาย
ส่วนลูกๆถูกนำตัวแยกไปอยู่ที่อื่นซึ่งอาจจะถูกสังหารไปแล้วก็ได้
เธอมีความสัมพันธ์ทางเพศกับนักโทษชายคนหนึ่ง
ซึ่งในอดีตเป็นเจ้าหน้าที่นักการภารโรงที่มหาวิทยาลัยก่อนที่จะถูกจับตัวมาอยู่ในค่าย
นักโทษชายคนนี้ติดอกติดใจในรสสวาทความน่ารักความฉลาดและความสุขุมของเธอมาก
และเธอเองก็รู้ดีว่าถ้าเออออห่อหมกกับเขาต่อไปเรื่อยๆอย่างน้อยก็จะได้เศษอาหารจากเขามาบรรเทาความหิวโหยได้
เธอต่อสู้กับความรู้สึกที่ขัดแย้งกันอย่างหนักระหว่างเกียรติยศกับความหิวโหยแต่ในที่สุดก็พ่ายแพ้ต่อความหิวโหยที่มันมีพลังเหนือกว่าเกียรติยศ
ในช่วง 6
สัปดาห์แรกที่เธอยอมรับนักโทษชายผู้นั้นมาเป็นคู่ขาเธอพูดถึงเขาอย่างชื่นชมยินดี
และอีก 2 เดือนต่อมาเธอคลั่งไคล้ในรสสวาทที่ชายหนุ่มปรนเปรอให้มากถึงออกปากบอกพวกเราว่าชาตินี้เธอคงมีชีวิตอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเสียแล้ว
กลุ่มที่ 3
เป็นพวกที่นิยมชมชอบพฤติกรรมทางเพศแบบเลสเบี้ยนเป็นครั้งคราว
เพราะเข้าไปมั่วสุมกับพวกเลสเบี้ยน
เพื่อหาความสุขและชดเชยอารมณ์ความต้องการทางเพศที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง
พวกนี้ไม่เคยเป็นเลสเบี้ยนมาก่อนแต่มาเริ่มให้ความสนใจในการหาความสุขทางเพศแบบนี้เพราะเข้าไปร่วมงานเต้นรำที่บางครั้งได้จัดขึ้นในค่ายเบอร์เคเนา
เพราะว่าในช่วงฤดูหนาวอันยาวนานของปี ค.ศ. 1844
พวกเยอรมันมัวแต่ยุ่งอยู่กับการรุกรบอย่างหนักของกองทัพโซเวียตจนถึงกับละเลยมาตรการควบคุม
จึงเปิดโอกาสให้นักโทษหญิงได้จัดงานปาร์ตี้เต้นรำกันโดยพยายามเลียนแบบงานรื่นเริงเชิงโลกีย์อย่างที่ตนเคยมีประสบการณ์มาในอดีต
ในงานนี้พวกนักโทษหญิงจะพากันล้อมวงรอบๆเตาผิงร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน
ไปนำกีต้าร์และฮาร์โมนิกาของวงออร์เคสตร้าประจำค่ายมาเล่นเพื่อสร้างความครื้นเครงให้แก่งานจนกระทั่งรุ่งเช้าของวันใหม่
ทำอยู่อย่างนี้อยู่หลายคืน
พวกหัวหน้าคุกหญิงต่างๆเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในงานรื่นเริงแบบนี้
ราชินีประจำค่ายจากค่ายอี. ที่ดิฉันเคยไปอยู่มาก็มักจะมาร่วมงานนี้เป็นประจำ
เธอเป็นชาวเยอรมันที่ยังสาวรูปร่างผอมบางวัยประมาณ
30 ปีมาอยู่ที่นี่เป็นเวลา 10 ปีแล้วโดยหมุนเวียนไปมาตามค่ายต่างๆ
ในระหว่างงานปาร์ตี้พวกผู้หญิงที่จับคู่เต้นรำกันก็เกิดความสนิทสนิทสนมกันขึ้นเรื่อยๆบางคนก็แสดงท่าทางเป็นผู้ชายเพื่อให้บรรยากาศในการเต้นรำเป็นจริงเป็นจังยิ่งขึ้น
ผู้ที่เป็นตัวตั้งตัวตีคนสำคัญในการจัดงานราตรีสโมสรประเภทนี้ขึ้นมา
ได้แก่ คุณหญิงชาวโปแลนด์คนหนึ่งซึ่งดิฉันจำชื่อไม่ได้เสียแล้ว
เมื่อพบกันครั้งแรกนั้นดิฉันเห็นเธอกำลังนั่งอยู่ที่ประตูโรงพยาบาลก็มองด้วยความประหลาดใจว่า
ชายคนนี้มานั่งทำอะไรอยู่ที่นี่นะ
เพราะเห็นรูปร่างเหมือนผู้ชายทั้งแท่ง
สวมเสื้อแจ็คเก็ตกำมะหยี่สีดำอย่างพวกศิลปินนักร้องวัยรุ่นนิยมกัน
ผูกเนคไทสีดำปล่อยชาย ผมตัดสั้นตามแฟชั่นผู้ชาย มีความหล่อมากอยู่ในวัยประมาณ 30
ปี
เมื่อไปถามเพื่อนนักโทษคนหนึ่งเธอก็บอกว่า”ที่เธอเห็นเป็นผู้ชายนั้นน่ะไม่ใช่ผู้ชายหรอก
ความจริงเป็นผู้หญิงต่างหาก”
พฤติกรรมทั่วไปรวมทั้งกิริยาท่าทางของคุณหญิงคนนี้เป็นแบบผู้ชายทุกอย่าง
มีอยู่ครั้งหนึ่งดิฉันกำลังนอนอยู่บนกรงขังอยู่ในระหว่างการควบคุมหมดหนู
ทันใดนั้นก็รู้สึกมีมือนุ่มๆมาดึงดิฉันลงจากกรุงขัง
ทีแรกนึกแปลกใจแต่พอมองไปก็พบว่าเจ้าของมือนุ่มๆนั้นคือคุณหญิงคนนั้นนั่นเอง
เธอทำท่าทางกรุ้มกริ่มเปิดฉากรุกหนักจะเล่นเพื่อนกับดิฉันในทันที
ดิฉันเลยรีบกระโดดลงจากที่นอนวิ่งหนีด้วยความตกใจเพราะคาดไม่ถึงว่าจะมีเหตุการณ์พิเรนทร์ๆแบบบี้เกิดขึ้น
ขณะที่พวกเลสเบี้ยนแต่ละคู่ซบกันอยู่ในวงเต้นรำนั้นดิฉันก็จะแอบหนีไปนอนอยู่ในกรรงขังและก็หลายต่อหลายครั้งที่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยวิธีการจูบและท่าทางแสดงบทรักอื่นๆ
ซึ่งก็เป็นการกระทำของคุณหญิงคนนั้นอีกตามเคย
จนทำให้ดิฉันกลัวจนนอนไม่หลับทุกครั้งที่มีงานเต้นรำ
ผู้หญิงคนอื่นๆเมื่อเห็นก็พากันหัวเราะชอบใจในบทรักที่คุณหญิงแสดงกับดิฉัน
แต่สำหรับดิฉันแล้วไม่ได้สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย
พวกผู้หญิงเหล่านั้นหวังที่จะให้คุณหญิงได้คู่เลสเบี้ยนคนใหม่คือดิฉัน
เพราะหญิงคู่ขาคนเดิมได้ถูกนำตัวขึ้นรถบรรทุกมรณะไปเสียแล้ว
ดิฉันรู้สึกเวทนาสงสารคุณหญิงที่มีปัญหาคนนี้มาก
ที่จริงแล้วที่เกิดปัญหานี้ขึ้นมาก็เพราะความขี้เล่นของพวกเยอรมันที่นำเธอมาไว้ในคุกของพวกผู้หญิงเรา
เพราะว่าในตอนที่เดินทางมาถึงค่ายในครั้งแรกนั้น
เธอแต่งตัวเหมือนผู้ชาย
พวกเยอรมันก็เลยคิดว่าเป็นผู้ชายจริงๆจึงเอาตัวไปไว้ในค่ายผู้ชาย
แต่เธอปฏิเสธและพยายามพิสูจน์ว่าเป็นผู้หญิงจริงๆจนในที่สุดพวกเยอรมันยอมให้เข้ามาอยู่ในค่ายผู้หญิง
เพื่อให้หญิงกึ่งชายผู้นี้เข้ามาสร้างความวุ่นวายให้พวกเราและสร้างความขบขันให้พวกเยอรมัน
แต่พวกเราก็ไม่กล้าบ่นหรือประท้วงใดๆทั้งสิ้น
เมื่อดิฉันเห็นการจัดงานราตรีสโมสรแบบนี้ทีไรก็ทำให้หวนนึกถึงเรื่อง”ดานซ์
มาคาเบอร์”( Danse Macabre)ซึ่งเป็นเรื่องของการเต้นรำที่มาพร้อมกับความตาย
ดิฉันคิดถึงชะตากรรมที่กำลังรอคอยหญิงผู้โชคร้ายเหล่านี้แล้วก็อดที่จะขนลุกเพราะความกลัวไม่ได้
การที่ดิฉันรู้สึกรังเกียจงานปาร์ตี้มั่วเซ็กส์แบบเลสเบี้ยนเช่นนี้บางทีก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนักเพราะการพักผ่อนหย่อนใจในลักษณะเช่นนี้อย่างน้อยที่สุดก็มีประโยชน์อยู่บ้าง
คือมันสามารถช่วยทำให้นักโทษลืมสิ่งโหดร้ายภายในค่ายไปได้อย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง
ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดสำหรับผู้ที่อยู่ในค่าย
การจัดงานปาร์ตี้แบบนี้ก็ยังดีกว่าเรื่องบัดสีบัดเถลิงอื่นๆอีกมากมายที่เกิดขึ้นในค่าย
ตัวอย่างเช่น
กรณีที่นักโทษหญิงและนักโทษชายถูกหัวหน้าคุกชาวเยอรมันที่เป็นโฮโมเซ็กชวลหรือพวกรักร่วมเพศข่มขืนกระทำชำเรา
เป็นต้น
ดิฉันไม่เคยลืมความรู้สึกปวดร้าวใจของคุณแม่ของนักโทษหญิงผู้หนึ่ง
ซึ่งมาเล่าให้พวกเราฟังว่าเธอถูกบังคับให้ถอดเสื้อผ้าของลูกลาวออกแล้วให้นั่งดูลูกสางร่วมเพศกับสุนัขซึ่งสุนัขเหล่านี้ถูกฝึกหัดไว้เป็นพิเศษเพื่อเสพสมกับผู้หญิง
เหตุการณ์ในทำนองนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับเด็กหญิงคนอื่นๆด้วยเช่นกัน
เช่น เด็กผู้หญิงคนหนึ่งถูกบังคับให้ทำงานขุดดินวันละ 12-14 ชั้วโมง หากเกิดหมดแรงล้มลงพวกยามที่ควบคุมมาก็จะสร้างความสนุกสนานโดยวิธีการให้สุนัขที่ฝึกไว้นั้นเข้าจัดการเสพสมกับเด็กหญิงที่หมดแรงล้มลงนั้นทันที
เห็นไหมคะว่ามันเป็นเรื่องโหดร้ายยิ่งกว่าพฤติกรรมของสัตว์ป่าขนาดไหน
พวกหัวหน้าค่ายก็เป็นที่ขึ้นชื่อลือชาว่าเป็นพวกมีจิตวิปริตทางแพทย์
เช่น ที่พูดซุบซิบกันเรื่องของเออร์มา
ครีเซ ว่าเป็นพวกไบเซ็กชวล
คือชอบมีเพศสัมพันธ์กับทั้งผู้หญิงก็ได้ผู้ชายก็ได้
เพื่อนของดิฉันที่เป็นคนใช้ของเออร์มาเล่าให้ดิฉันฟังว่าเออร์มาจะเล่นเพื่อนกับนักโทษหญิงเป็นประจำ
หลังจากนั้นแล้วก็จะส่งนักโทษหญิงที่ผ่านมือของเธอแล้วนั้นไปสังหารที่เตาเผาศพ
หญิงที่เออร์มาพึงพอใจมากที่สุดเป็นหญิงหัวหน้าคุกคนหนึ่ง
เธอได้ตกเป็นทาสบำเรอสวาทให้แก่เออร์มาอยู่นานก่อนที่เออร์มาจะเบื่อแล้วถูกส่งตัวไปสังหาร
นี่แหละค่ะคือบรรยากาศอันชั่วช้าสารเลวของค่ายเบอร์เคเนา
มันเลวสมกับที่เป็นนรกบนดินจริงๆ ที่นี่พวกเยอรมันจะทำลายสิทธิส่วนตัวในการที่จะแสวงหาความสุขทางเพศบางประการ
เรื่องเซ็กส์จึงกลายเป็นเรื่องของความตื่นเต้นและความสยดสยองของบรรดาทาสแต่เป็นเรื่องบันเทิงเริงใจสำหรับนายที่เป็นนักฆ่าซาดิสต์
ดิฉันมีความเกรงกลัวเออร์มามากจนถึงกับเคยใช้เนยเทียมที่ได้รับแจกไปติดสินบนคนๆหนึ่งเพื่อหาทางเลี่ยงไม่ต้องไปนำเสื้อผ้าไปให้เธอ
บุคคลที่ดิฉันเสนอติดสินบนครั้งนี้คือช่างตัดเสื้อประจำตัวของเออร์มา
เธอชื่อมาตามคีต ซึ่งเคยมีกิจการ้านเสริมสวยอยู่ที่กรุงเวียนนาและกรุงบูดาเปสต์
มาดามครีตเอะอะโวยวายเอากับดิฉัน
“ทำไมแกถึงต้องวุ่นวายอย่างนี้นะ”
เธอบ่นกระปอดกระแปด
“มันเป็นเวรของแก แกก็น่าจะต้องไปเองไม่ใช่รึ”
แต่ดิฉันพยายามอ้อนวอนโยการชักแม่น้ำทั้งห้ามาอ้างจนในที่สุดมาดามครีตใจก่อน
รีบไปแจ้งเลขานุการของหัวหน้าคุกให้หาคนอื่นเป็นผู้นำเสื้อผ้าไปส่งให้เออร์มาแทนดิฉัน
แต่ต่อมาในเช้าวันหนึ่งก็ถึงเวรที่ดิฉันต้องนำเสื้อผ้าไปให้เออร์มาอีกครั้งหนึ่ง
วันนี้หลังจากดิฉันได้รับแจกเนยเทียมมาแล้วก็ใจหนึ่งอยากจะรับประทานมันมาก
แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าจะรับประทานไม่ได้อย่างเด็ดขาด
จะต้องนำมันไปติดสินบนเพื่อจะได้ไม่ต้องไปพบกับเออร์มา
ในที่สุดดิฉันพยายามข่มความหิวเอาไว้ได้นำเนยเทียมนั้นไปให้มาดามครีตอีกครั้งหนึ่ง
แต่มาดามครีตนับเนยมาถือไว้ในมือคู่หนึ่งแล้วก็วางลงตรงหน้าของดิฉัน
“คราวนี้แกจะต้องไปกับฉัน”
เธอพูดออกมาในสิ่งที่เกินความคาดหมาย
ดิฉันตัวสั่นเมื่อได้ยินมาดามครีตพูดเช่นนั้น
“อ้าว ครั้งนี้ช่วยจัดการให้อีกไม่ได้หรือคะ”
ดิฉันปากคอสั่นถาม
“ไม่ได้ คราวนี้แกต้องไปกับฉัน”
“แล้วเนยเทียมนี่ล่ะคะ”
“กลับมาแล้วค่อยกินก็แล้วกัน
จะเอาติดตัวไปด้วยไม่ได้ เข้าใจมั้ย”
มาดามครีตหยิบเสื้อผ้าที่รีดเอาไว้อย่างดีขึ้นมาวางบนแขนทั้งสองข้างที่ดิฉันยื่นออกไปรับแล้วเราสองคนก็เดินออกจากค่ายเพื่อนำเสื้อผ้าไปส่งให้เออร์มา
“พวกแกสองคนมาผิดเวลาแล้วรู้มั้ย”
คนใช้ของเออร์มาพูดขึ้นด้วยความฉุนเฉียว
“ตอนนี้แม่สัตว์ร้ายกำลังคลุ้มคลั่งอยู่อย่างหนัก”
“จริงๆรึ ตายแล้ว เออร์มาต้องเฆี่ยนฉันตายแน่เลย”
มาดามครีตครวญเสียงอ่อยๆ
“คงไม่เป็นไรมั้ง”ดิฉันพูดปลอบโยนมาดามครีตเพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง
“คุณตัดเย็บเสื้อผ้าให้เธอทั้งคืนทั้งวันแต่ไม่ได้สิ่งใดตอบแทนนอกจากขนมปังแค่ชิ้นเดียวอย่างนี้
เธอคงจะเห็นใจและไกล้าทุบตีคุณเป็นแน่”
“นี่แกไม่รู้เลยรึ”
ทั้งสองคนถามดิฉันเกือบจะพร้อมๆกัน
“เออร์มาเป็นโรคซาดิสต์ขั้นรุนแรงมาก”
ขณะนั้นก็มีเสียงร้องแสดงออกถึงความเจ็บปวดสลับกับเสียงเฆี่ยนตีดังลอดออกมาจากข้างในห้องของเออร์มา
“นั่นปะไร
โรคซาดิสม์ของเธอกำเริบหนักอีกแล้ว”สาวใช้ของเออร์มาหันมาบอก
พวกเราคลานไปที่ข้างฝาคุกไม้เพื่อแอบดูสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องของเออร์มา
เมื่อมองผ่านช่องเล็กๆของบานเกล็ดหน้าต่าง ก็สามารถแลเห็นภายในห้องเฉพาะบางส่วนเท่านั้น
เห็นในห้องทางด้านซ้ายมือมีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังส่งเสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บสวดเพราะฤทธิ์ของแส้
เออร์มากำลังเฆี่ยนตีเด็กสาวคนนี้อย่างโหดร้ายทารุณพร้อมกับสิ่งเสียงแหวคู่คำรามไปด้วย
เมื่อกวาดสายตาไปทางด้านตรงข้ามกับช่องตรงบานเกล็ดหน้าต่างก็เห็นมีเก้าอี้ยาววางอยู่
อีกครู่หนึ่งต่อมาภาพภายในห้องก็เพิ่มความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น
ดิฉันเห็นเออร์มาจิกผมของหญิงร่างเปลือยเปล่าคนหนึ่งแล้วลากตัวมาที่เก้าอี้ยาว
เมื่อมาถึงตัวเองได้นั่งลงที่เก้าอี้ยาวตัวนั้นแต่มือยังไม่ยอมปล่อยผมของหญิงสาวและได้ดึงขึ้นจนหน้าหงาย
แล้วใช้แส้กระหน่ำตีที่สะโพกของหญิงสาวอย่างไม่ยั้งมือ
เสร็จแล้วหญิงสาวก็ถูกกระชากตัวให้เข้ามานั่งคุกเข่าลงที่พื้นตรงเบื้องหน้าของเออร์มา
“เข้ามานี่ๆ”เออร์มาร้องตะโกนเสียงแหวไปทางมุมหนึ่งของห้องซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้
เธอตะโกนซ้ำเป็นครั้งที่ 3
“บอกให้มานี่ แกจะมาหรือไม่มา”
พร้อมกันนั้นก็ยกแส้ขึ้นกระหน่ำตีหญิงสาวที่ฟุบอยู่แทบเท้าจนนับครั้งไม่ถ้วน
ต่อมาดิฉันก็มองเห็นร่างของนักโทษชายคนหนึ่งเดินออกทาจากมุมห้อง
เขาเป็นชายหนุ่มเชิ้อสายจอร์เจียน รูปร่างหล่อทิ่ฉันเคยรู้จักมาก่อน
ชายผู้นี้มีร่างสง่างามมากจนดิฉันแทบจะไม่เชื่อสายตาของตัวเอง
เขาเป็นหนึ่งในหนุ่มรูปงามของชนเผ่าจอร์เจียนซึ่งขึ้นชื่อลือชาว่าเป็นเผ่าที่มีความหล่อมาก
รูปร่างองเขาสูงมากจนศีรษะเกือบจะจรดเพดาน
แม้ว่าเขาจะเผชิญกับการปฏิบัติที่โหดร้ายทารุณและต้องอดอาหารมานานแต่ร่างกายของเขาก็ไม่ได้ทรุดโทรมไปเท่าใดนัก
หน้าอกของเขายังมีกล้ามเป็นมัดราวกับนักกล้ามที่เข้าประกวดชายงาม
แม้ใบหน้าของเขาดูจะมีรอยหมองคล้ำไปบ้างเพราะความวิตกกังวลแต่ลักษณะท่าทางของเขาก็ยังเก๋ไก๋มองดูแล้วไม่จืดตา
เรื่องราวของหนุ่มรูปงามชาวจอร์เจียนคนนี้ลือกันไปทั่วค่ายว่าเขาถูกส่งเข้ามาทำงานเป็นช่างซ่อมถนนในค่ายของนักโทษหญิง
และได้พบรักกับนักโทษสาวชาวโปแลนด์คนหนึ่ง ซึ่งก็คือหญิงผู้ที่กำลังเปลือยกายคุกเข่าให้เออร์มาเฆี่ยนตีอยู่ในขณะนี้นั่นเอง
ภาพที่เห็นอยู่ในห้องถึงจะไม่อธิบายพวกเราก็พอจะรู้ได้ว่า
เออร์มาไปพบชายหนุ่มหุ่นงามชาวจอร์เจียนผู้นี้เข้าก็เลยคิดจะแย่งเขามาไว้เป็นทาสบำเรอความสุขทางเพศของตัวเอง
ซึ่งการกระทำของเธอดูไม่ผิดอะไรกับนางพญาผู้ร่านสวาทในนิยายอิงประวัติศาสตร์
เธอให้คนไปนำตัวของหนุ่มคนนี้มาที่ห้องนอนของเธอเพื่อหวังที่จะได้มีความสุขทางเพศกับเขา
แต่เขาเป็นชายหนุ่มที่หยิ่งในเกียรติมาก
จิตใจของเขายังเข้มแข็งแม้ว่าจะถูกจับมากักขังอยู่ในคุกเป็นเวลานานก็ตาม
เขาไม่ได้แสดงอาการประหวั่นพรั่นพรึงต่อความโหดร้ายทารุณของเออร์มาแม้แต่น้อยและได้ปฏิเสธที่จะปรนเปรอสวาทให้แก่เธอโดยสิ้นเชิง
แต่เออร์มาผู้ไม่รู้จักอิ่มในกามกรีฑาก็ไม่ได้ลดละความพยายามได้เพียรที่จะบังคับให้เขากลายเป็นทาสปรนเปรอสวาทให้เธอจงได้
โดยการบังคับให้เขามายืนดูในขณะที่เธอมากำลังทรมานหญิงคนรักของเขา
ดิฉันเข้าใจว่าเมื่อผู้อ่านได้อ่านถึงตรงนี้แล้วหลายท่านคงคิดว่ามันเป็นเรื่องพิลึกพิลั่นเกินกว่าที่จะเชื่อว่าเป็นความจริง
ขอได้โปรดเชื่อเถอะค่ะ
ทุกถ้อยคำและกระบวนความที่เล่ามานี้เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น
สามารถนำอดีตนักโทษในค่ายเบอร์เคเนาคนอื่นซึ่งเคยติดต่อกับเออร์มามาเป็นพยานยืนยังเรื่องนี้ได้ทุกเมื่อ
แต่เป็นที่น่าเสียดายที่พวกเราไม่สามารถแอบดูเหตุการณ์ในห้องนั้นได้ตลอด
เพราะว่ามียามรักษาการณ์เดินเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อนพวกเราจึงรีบออกมาจากฝาคุกแล้วทำทีเตร็ดเตร่อยู่เพื่อคอยเวลาที่เออร์มาแม่เทพธิดาผมสีทองจะเรียกให้เข้าพบ
ต่อมาไม่นานประตูห้องพักก็เปิดออก
คนแรกที่เดินออกมาคือหนุ่มรูปงามคนนั้น
จำได้ว่าตอนนั้นดวงตาและสีหน้าของเขามีแววแสดงออกถึงความโกรธเคืองอย่างเห็นได้ชัด
คนต่อไปที่ออกมาคือหญิงสาวชาวโปแลนด์คนนั้น
เธออยู่ในสภาพที่บอบช้ำมาก ที่เรือนร่างอันเปลือยเปล่า
ที่ใบหน้าและที่ทรวงอกของเธอ ล้วนมีรอยแผลที่เกิดจากถูกเฆี่ยนด้วยแส้ทั้งสิ้น
แสดงว่านางซาดิสต์หน่วยเอสเอสได้เฆี่ยนตีเธอทั่วทั้งร่างกายเลยทีเดียว
ต่อมาเออร์มาก็สั่งให้พวกเราทั้งสองคนเข้าไปในห้อง
ซึ่งพอเธอเห็นช่างเสื้อเท่านั้นก็ได้แสดงความลิงโลดออกมาจนนอกหน้า
มือของเธอที่กำลังกลัดกระดุมเสื้อมีอาการสั่นอย่างเห็นได้ชัด เธอส่งเสียงหัวเราะขอบใจออกมาจนสั่งห้อง
“ไหนล่ะ ส่งผ้ามาให้ลองหน่อยซิ” เธอออกคำสั่ง
มาดามครีตรีบเดินเข้าไปส่งเสื้อชั้นในให้เธอลอง
ส่วนดิฉันยืนถือเสื้อผ้าชุดอื่นรออยู่ในห้องใกล้เคียงและแอบมองดูด้วยหัวใจเต้นระทึกเพราะกลัวว่าจะถูกเรียกเข้าพบไปด้วย
ขณะที่เออร์มากำลังลองชุดชั้นในอยู่นั้น
มันเป็นภาพที่น่าตื่นเต้นมิใช่น้อย ดิฉันจองดูจนแทบตาไม่กระพริบ
ในตอนที่ได้เห็นหน้าอกอันขาวผ่องและเรือนร่างอันเปลือยเปล่าของเธอ
ที่จริงก่อนหน้านั้นเธอสวมเสื้อชั้นในอยู่แต่พอตอนที่จะลองตัวใหม่ที่พวกเรานำมาก็ได้ถอดตัวเก่าทิ้งโยไม่แยแสต่อสายตาของพวกเรา
คงเห็นว่าเป็นผู้หญิงด้วยกันจึงไม่ได้แสดงอาการอายหรือขวยเขินแม้แต่น้อย
ชุดชั้นในที่มาดามครีตนำมาให้ลองสวมใส่นี้ตัดเย็บได้เหมาะเจาะทุกอย่าง
เสียอย่างเดียวตรงที่มีนคับตรงเนินหน้าอกไปหน่อย
เธอจึงถอดมันออกมาแล้วฉีกขว้างใส่หน้ามาดามครีตพร้อมกับตะโกนว่า
“แกเอามันไปจัดการให้เรียบร้อยให้ทันพรุ่งนี้เช้า”
มาดามครีตตกใจจนตัวสั่น
พูดตะกุกตะกักเหมือนกับคนติดอ่าง
“ดิฉันคง...มะ...ไม่...ไม่สามารถแก้เสร็จทัน...ทัน...นะ...ในวัน...พรุ่งนี้หรอกค่ะ
เพราะที่คุกไม่มรไฟฟ้าใช้ในตอนกลางคืน”
พอได้ยินเช่นนั้น นางปีศาจเปลือยกายก็พุ่งตัวเข้าใส่ช่างเสื้อผู้เคราะห์ร้ายด้วยความโกรธสุดขีดแล้วใช้กำปั้นทุบทีอย่างรุนแรง
ดิฉันมองดูการกระทำของเออร์มาจนแทบไม่กล้าหายใจ
พลางคิดว่าทำไมนะลักษณะความดุร้ายไม่ผิดอะไรกับสัตว์จึงสามารถเข้ามาสิงสู่อยู่ในเรือนร่างของหญิงงามคนนี้ได้
หลังจากลงมือซ้อมช่างเสื้อจนหนำใจแล้วเออร์มาก็หันกลับมาลองชุดอื่นๆเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อลองสวมเสื้อผ้าทุกชุดเสร็จแล้วก็ไปนอนแผ่อยู่บนม้ายาวทำท่าหาวนอน
เหมือนกับจะแสดงให้คนใช้ที่น่าเบื่อหน่ายทั้งสองคนของเธอได้รู้ว่า
“พวกแกออกไปได้แล้ว”
พวกเราจากเออร์มามาในขณะที่เธอกำลังนอนอยู่บนม้ายาวตัวนั้น
ร่างกายท่อนบนของเธอเปลือยเปล่าไม่ได้lสวมชุดชั้นใน
ส่วนท่อนล่างสวมกางเกงในขลิบด้วยลูกไม้เพียงตัวเดียวเท่านั้น
กางเกงในขลิบลูกไม้สีดำตัวนั้นช่วยขับผิวของเธอให้ขาวผ่องเป็นนวลใยยิ่งขึ้น
เธอเป็นคนไม่อ้วนนัก ไม่ผอมนัก มีรูปทรงสวยงามยิ่งนัก
มีที่ติอยู่หน่อยก็ตรงที่หน้าอกที่ดูออกจะใหญ่โตมโหฬารมากไปหน่อย และที่น่องก็ออกจะเทอะทะไปบ้าง
นับว่าเป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้เห็นเธอในขณะที่ไม่ได้สวมทอปบู๊ทของหน่วยเอสเอส
ดิฉันมีความสุขใจมากที่ได้มาล่วงรู้ความบกพร่องของความงามที่เธอภาคภูมิใจเป็นนักหนา
ดิฉันไม่ได้มีโอกาสได้พบกับหนุ่มรูปหล่อชาวจอร์เจียนคนนั้นอีกเลย
เพราะเออร์มาแม่ทรชนคนสวยได้สั่งการให้นำตัวไปยิงทิ้งเสียแล้ว
ส่วนหญิงสาวชาวโปแลนด์คนนั้นหรือคะ ? พวกเรารู้มาจากปากคนใช้ของเออร์มาว่าได้ถูกส่งตัวไปเป็นโสเภณีในสำนักนางโลมประจำค่ายเอาส์ชวิตซ์หลังจากนั้นมาได้ไม่กี่วัน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น