เอาส์ชวิตซ์เป็นทั้งค่ายบังคับแรงงานและสถานที่ทำลายชีวิตนักโทษ
ส่าวนเบอร์เคเนาเป็นค่ายที่เน้นทำลายล้างชีวิตนักโทษเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ตามที่ค่ายเบอร์เคเนาก็มีนักโทษส่วนหนึ่งที่จะต้องทำงานเหมือนกัน
นักโทษกลุ่มกรรมกรพวกนี้ต้องทำงานอย่างหนักจนแทบจะสิ้นเรี่ยวแรง
เพราะมีคนทำงานจำนวนน้อยแต่งานที่ต้องทำมีอยู่ล้นมือ ดิฉันถูกบังคับให้ทำงานประเภทหนักๆเช่นนี้เหมือนกัน
งานแรกที่ดิฉันทำคือทำหน้าที่ขนอาหาร
พวกเยอรมันมักเรียกคนทำงานประเภทนี้ว่า เอสส์กอมมานโด
หลังจากเข้าแถวเรียกชื่อในตอนเช้าแล้วดิฉันกับเพื่อนๆต้องรีบไปที่โรงครัวเพื่อขนหม้ออาหารไปที่โรงพยาบาลเป็นระยะทางไกลถึงครึ่งไมล์
แต่พูดไปแล้วงานนี้ก็เป็นประโยชน์เสียอย่างเดียวคือมันทำให้เหนื่อยมากเท่านั้นเอง
แต่มีงานบางอย่างที่ดิฉันคิดว่าเป็นงานที่ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
เราต่างเห็นว่าคนบ้าที่ต้องการให้เราบ้าเหมือนกับเขาเท่านั้นที่ประดิษฐ์คิดค้นงานนี้มาให้เราทำ
ยกตัวอย่างเช่น งานที่ให้คนย้ายหินจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง
โดยนักโทษแต่ละคนหิ้วถังบรรจุหินถูกลู่ถูกังเป็นระยะทางหลายร้อยหลาเพื่อนำไปเทยังจุดที่เขากำหนดให้
พวกเราจะต้องทำงานกุลีชนิดนี้ซึ่งกว่าจะเสร็จก็แสนลำบากยากเย็น
เมื่อขนหินไปจนหมดกองแล้วก็รู้สึกโล่งอกด้วยหวังว่าคงจะไม่ต้องทำงานเช่นนี้อีก
ท่านลองคิดดูซิคะ
เราจะเกิดความรู้สึกเช่นไรเมื่อได้รับคำสั่งให้ขนหินที่เพิ่งขนเสร็จหยกๆกลับไปไว้ที่เดิม
พวกเยอรมันคงหาเหตุฆ่าเราทั้งเป็นละกระมัง
บางครั้งไม่ขนหินก็ให้ขนอิฐหรือโคลน
งานเหล่านี้ดูทีจะมีจุดมุ่งหมายเพียงอย่างเดียว คือทำให้พวกเราทรุดโทรมทั้งทางร่างกายและจิตใจ
เพื่อจะได้มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะถูกคัดเลือกไปสังหาร
ครั้งหนึ่งดิฉันได้รับคำสั่งให้ไปทำหน้าที่ทำความสะอาดห้องสุขา
พวกที่ทำงานประเภทนี้เรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า สคีสกอมมานโด โดยทุกเช้าเราจะถือถังคนละ
2 ใบไปที่คูน้ำหลังโรงพยาบาลแล้วเอาถึงนั้นตักอุจจาระหิ้วเดินไปประมาณ 200-300 หลา
พวกเราต้องขนกันหลายเที่ยวตั้งแต่เช้าจรดเย็น
พองานเสร็จก็พยายามทำความสะอาดเนื้อตัวเท่าที่จะสามารถทำได้
แต่กลิ่นเหม็นของอุจจาระยังเห็นอบอวลติดมาอยู่อย่างนั้น
เกิดความขยะแขยงจนสุดประมาณ แต่ก็ต้องจำใจเข้านอนทั้งๆที่อยู่ในสภาพอย่างนั้นและขณะนอนก็คิดถึงมันอีกและรู้สึกกระอักกระอ่วนผะอืดผะอมว่าพรุ่งนี้ก็จะต้องเจอกับมันอีก
กลิ่นเหม็นที่โชยออกมาจากร่างกายของเพื่อนร่วมงานที่นอนอยู่ใกล้ๆมันเหม็นมากจนแทบทำให้ดิฉันถึงกับจับไข้และเจ้ากลิ่นที่ติดตัวมากับดิฉันก็คงจะทำให้เพื่อนมีความรู้สึกเห็นไม่แพ้กัน
โคลนก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พวกเขาสั่งให้เราจัดการขนไปทิ้ง
ตามปกติโคลนเป็นสิ่งที่มีอยู่ทั่วไปในค่ายเพราะทั้งค่ายเอาส์ชวิตซ์และค่ายเบอร์เคเนาตั้งอยู่ในภูมิประเทศที่เคยเป็นหนองน้ำมาก่อน
ด้วยเหตุนี้โคลนจึงมีอยู่ตลอดทั้งปี
มันเป็นศัตรูที่ร้ายกาจสำหรับพวกเรา
บางทีมันก็ติดตามรองเท้าตามเสื้อผ้าหรือแทรกเข้าไปตามพื้นรองเท้า
บางทีมันติดรองเท้าเสียหนักจนแทบจะยกขาไม่ขึ้น
ยิ่งมีฝนตกลงมาด้วยแล้วค่ายทั้งค่ายก็จะเปลี่ยนสภาพเป็นทะเลโคลนไปทันที
มนทำให้การสัญจรไปมาไม่สะดวก งานทุกอย่างก็ทำด้วยความยากลำบาก ดังนั้นโคลนและเตาเผาศพจึงเป็นสิ่งสำคัญ
2 อย่างที่เราเก็บมาครุ่นคิดในสมองอยู่ตลอดเวลา
พวกเยอรมันมอบหมายให้เราไปทำงานนอกค่ายด้วย
พวกที่ทำงานแบนี้เขาเรียกว่า ออสเซนกอมมานโด
เราจะออกไปกันตั้งแต่เช้าตรู่ไม่ว่าอากาศจะเลวร้ายสักเพียงใดก็ตาม
ไปทำงานกันทั้งๆที่ไม่มีอาหารอะไรตกถึงท้อง
นอกจากน้ำเหลืองๆที่คนครัวเรียกว่าน้ำชาหรือกาแฟแล้วแต่ความพอใจที่จะเรียก
ในเวลาที่พวกเราออกไปทำงานบางคนก็อยู่ในชุดทำงานที่ใส่มาตั้งแต่เมื่อเย็นวาน
บางคนก็อยู่ในชุดนอน
แต่ไม่ว่าจะเป็นชุดใดมันก็ขาดรุ่งริ่งแทบไม่มีชิ้นดีเหมือนกันหมด
แต่ละคนสวมร้องเท้าไม้บ้างสวมรองเท้าบู๊ทที่ขาดจนดูไม่ได้บ้าง
มันเป็นภาพที่ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างยิ่ง
แต่ละคนตัวสั่นเทาด้วยความหนาวเย็นของอากาศยามเช้าตรู่ มันหนาวมากจนปากสั่น
จากความทรมานเช่นนี้หลายคนจนถึงกับน้ำตาตก
บางครั้งมันก็ทรมานจนเหลือที่จะทน เมื่อต้องถูกบังคับให้ร้องเพลงในขณะที่เดินไปด้วย
มันจะเป็นไปได้อย่างไรล่ะคะที่ผู้คนจะมีอารมณ์สนุกสนานพอที่จะร้องเพลงออกมาได้เมื่ออยู่ในค่ายเอาส์ชวิตซ์
เช่นนี้
พวกนักโทษที่ออกไปทำงานต้องก้าวเท้าเดินไปให้พร้อมกันเหมือนกับการเดินของทหาร
จะแตกออกจากแถวไม่ได้ จะมีสุนัขของตำรวจลับประจำค่ายซึ่งได้รับการฝึกมาอย่างดีจากพวกเยอรมันคอยเดินประกบตามไปด้วย
ซึ่งมันจะกระโดดขย้ำคอของผู้ที่แตกแถวหรือเดินไม่ทันเพื่อนทันที
งานที่นักโทษออกไปทำกันนั้นเป็นงานที่ลำบากมาก
ผู้คุมจะคอยจับตามองไม่ให้ใครหยุดพักได้
ใครที่ทำท่าเหน็ดเหนื่อยก็จะถูกเฆี่ยนด้วยแส้หรือไม้กระบอง
นักโทษคนใดหมดแรงลมลงผู้คุมก็จะใช้กระบองตีปลุกให้ลุกขึ้น
ถ้ายังไม่ลุกก็จะใช้กระบองตีที่ศีรษะหรือไม่ก็กระทืบด้วยรองเท้าบู๊ท
และแน่นอนที่สุดผู้นั้นย่อมจะไม่มีโอกาสรอดชีวิตไปปรากฏตัวในเวลาเรียกชื่ออีกต่อไป
การเป็นลมในเวลาทำงานเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องเกิดขึ้นเพราะนักโทษที่ออกไปทำงานมักจะมีผู้ป่วยรวมอยู่ด้วยเสมอ
ดิฉันเคยเห็นพวกคนป่วยที่เป็นโรคปอดบวมแต่อุตส่าห์ทนเดินเป็นระยะทางไกลถึง 8
ไมล์จากค่ายกว่าจะถึงที่ทำงาน ต้องขุดดินกลางแดดกลางฝนอยู่ที่นั่นทุกวัน
เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกส่งไปโรงพยาบาล เพราะเธอเหล่านั้นต่างรู้เป็นอย่างดีว่าโรงพยาบาลคือห้องพักชั่วคราวก่อนที่จะถูกส่งตัวไปเข้าเข้าเตาเผาศพ
หากใครต้องการไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจริงๆก็ไม่ใช่ว่าจะได้รับอนุญาตเสมอไป
เพราะการที่ใครจะถูกรับตัวเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนั้นหมายความว่าคนนั้นจะตัวเป็นไข้หนักจริงๆจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่นักโทษพากันล้มตายเป็นจำนวนมากในช่วงเดือนที่มีอากาศหนาวจัด
ครั้งหนึ่งเมื่อเราทำงานกันเสร็จแล้วกำลังจะเดินทางกลับค่าย
ได้มีเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสคนหนึ่งถือแส้เดินเข้ามาขวางหน้าแล้วสอบถามนักโทษหญิงร่างกายผอมเหมือนโครงกระดูกเดินได้คนหนึ่ง
“แกมาอยู่ที่นี่นานเท่าใดแล้ว”เขาตะคอกถาม
“6 เดือนแล้วค่ะ” นักโทษหญิงตอบด้วยความนอบน้อม
อดีตเธอเป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย
แต่ในขณะนี้ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสคนนี้
ซึ่งอดีตเคยเป็นเด็กรับใช้ในบ้านของเธอมาก่อน
“เราจะต้องลงโทษแกให้ได้”เจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสขู่คะคอกซ้ำ
“แกเหลือเดนมาได้อย่างไร คนอย่างแกน่าจะตายตั้ง 3 เดือนที่แล้ว
นี่แกตายช้าไปตั้ง 3 เดือนแล้วนะ เข้าใจไหมอีตัวสกปรก”
พอพูดเสร็จเขาก็เฆี่ยนตีเธอจนสลบคามือ
ตามปกติเมื่อมีนักโทษล้มตายไปเนื่องจากอดทนต่องานหนักไม่ไหว
หรือเพราะถูกเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสเฆี่ยนตีอย่างหนัก เราก็ต้องมีหน้าที่พิเศษเพิ่มขึ้น
คือ ช่วยกันหามศพของคนตายนั้นกลับค่าย
เพราะเขาวางกฎเอาไว้ว่านักโทษมาจำนวนเท่าใดก็จะต้องกลับครบตามจำนวนนั้น
ขบวนแห่ศพของเราจะได้รับการต้อนรับการกลับคืนสู่ค่ายอย่างสนุกสนานโดยมีวงออร์เคสตร้าของนักโทษมาเล่นรอรับขบวนอยู่บริเวณประตูค่าย
เนื่องจากมีกฎบ้าๆไว้ว่าทุกคนต้องแสดงอาการสนุกสนานเมื่อเสร็จจากการงานในแต่ละวัน
พวกเยอรมันจะจัดการกำจัดเชื้อโรคออกจากร่างกายของนักโทษอยู่เป็นประจำ
มาตรการนี้ถ้าหากกระทำด้วยเหตุผลเพื่อสุขภาพอนามัยของนักโทษก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดี
แต่มาตรการเช่นนี้ก็เช่นเดียวกับมาตรการอื่นๆที่พวกเยอรมันทำกับนักโทษในค่ายเอาส์ชวิตซ์-เบอร์เคเนา
คือเป็นมาตรการที่มีเจตนาร้ายแอบแฝงโยมีจุดมุ่งหมายที่จะเพิ่มอัตราการตายของนักโทษซึ่งเป็นนโยบายหลักของพวกเยอรมัน
การฆ่าเชื้อโรคเริ่มต้นจากคุก 4-5 แห่งที่อยู่ห่างไกลออกไป
ทุกนต้องไปรวมอยู่ในโรงอาบน้ำของค่ายนั้นๆถอดเสื้อผ้าและรองเท้าซึ่งทุกชิ้นกว่าจะหามาได้แสนจะลำบากแทบเลือดตากระเด็น
เสร็จแล้วก็นำเสื้อผ้าไปวางไว้ในเตาอบฆ่าเชื้อ
จากนั้นก็ไปเข้าแถวเดินลอดใต้ฝักบัวที่ปล่อยน้ำยาฆ่าเชื้อออกมา ใช้เวลาอาบฆ่าเชื้อนี้คนละ
1 นาที ซึ่งจะเห็นว่าไม่นานพอที่จะทำให้ร่างกายหมดเชื้อโรคไปได้เลย
หลังจากที่ให้ยาฆ่าเชื้อโรครดลงมาบนศีรษะและตามส่วนต่างๆของร่างกายโยเฉพาะส่วนที่มีขนปกคลุมก็เดินออกจากห้องฆ่าเชื้อ
ผู้ที่มีหมัดหนูอยู่ตามผมบนศีรษะหรือตามขนในร่มผ้าก็จะถูกโกนผมหรือขนทิ้ง
เมื่อออกจากโรงอาบน้ำแล้วก็ต้องออกไปยืนเข้าแถวข้างนอกทั้งที่ยังเปลือยกายอยู่เช่นนั้น
มิใยว่าอากาศจะเป็นอย่างไร รอจนกว่าทุกคนมาเข้าแถวเรียบร้อย
ซึ่งก็จะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง
ในช่วงนี้ใครเป็นโรคปอดบวมก็ไม่มีหวังรอดชีวิตแน่ๆ
ในที่สุดเราก็ได้รับอนุญาตให้เดินกลับคุกทั้งๆที่ยังไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าอะไรแม้แต่ชิ้นเดียว
กว่าจะเดินถึงคุกเล่นเอาย่ำแย่เพราะความหนาวเหน็บที่เย็นยะเยือกไปถึงกระดูก
เมื่อถึงคุกแล้วก็อย่าได้หวังจะหาอะไรมาห่มกันหนาวได้เพราะขณะที่ออกไปรับการฆ่าเชื้ออยู่นั้นได้มีผู้แอบเอาผ้าห่มในกรุงขังของเราไปห่มเสียแล้ว
จะต้องรอจนกว่าเขาเหล่านั้นจะนำมาคืนให้
ส่วนเสื้อผ้าที่นำไปอบนั้นก็ยังไม่ได้คืน
ต้องรออยู่เป็นเวลานานทนหนาวอยู่บนไม้กระดานในกรุงขังโดยไม่มีสิ่งใดปกปิดร่างกายเลย
ในที่สุดพวกเยอรมันก็นำเสื้อผ้าที่อบไว้มาคืนแต่เขาก็เล่นตลกกับเราอีกโดยจะไม่คืนเสื้อผ้าให้หมดทุกคน
ยกตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งมีนักโทษหญิงไปรับการฆ่าเชื้อ 1,400
คนแต่เวลาคืนเสื้อผ้าก็จะคืนให้เพียง 1,200 คน
นักโทษหญิงที่โชคร้ายอีก 200
คนก็ไม่มีทางอื่นนอกจากขโมย ขณะที่คอยหาโอกาสขโมยเสื้อผ้าของคนอื่นอยู่นั้น
ก็จะใช้ผ้าห่มเพียง 2-3 ผืนที่มีอยู่มาห่มเพื่อช่วยให้ทำความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย
ดิฉันเคยกล่าวมาแล้วว่าปกติผ้าห่ม 1
ผืนต่อนักโทษหญิง 10 คน จึงเกิดการตบตีแย่งชิงผ้าห่มผืนเดียวนั้นระหว่างคน 10 คน
ยิ่งไปกว่านั้นแต่ละคนก็คิดอยากจะได้ผ้าห่มไปใช้ปกปิดร่างกายในตอนกลางวันเสียอีกด้วย
พวกผู้หญิงที่หาเสื้อผ้าหรือหาผ้าห่มมาปกปิดร่างกายไม่ได้
ก็ต้องไปเข้าแถวเรียกชื่อทั้งๆที่เปลือยกายล่อนจ้อน
เพราะเมื่ออยู่ในคุกแล้วจะไม่ไปเข้าแถวเรียกชื่อไม่ได้
พวกยามรักษาการณ์หน่วยเอสเอสรู้เป็นอย่างดีว่าทำไมนักโทษหญิงเหล่านี้ถึงตกอยู่ในสภาพเปลือยกายอย่างนั้นแต่พวกเขาก็ยังเฆี่ยนตีพวกเธออย่างไร้ความปรานีทั้งๆที่พวกเธออายกันแทบจะแทรกแผ่นดินหนีอยู่แล้ว
และในที่สุดพวกหญิงเปลือยกายเหล่านี้ก็จะเป็นพวกถูกคัดเลือกส่งตัวไปสังหาร
เราพยายามทำทุกอย่างเท่าที่จะสามารถกระทำได้เพื่อช่วยเหลือหญิงตกยากเหล่านี้
แต่เราก็มีเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชิ้นที่จะแบ่งปันให้ บางทีก็เสียสละกระโปรงชั้นใน
กางเกงใน เสื้อชั้นในให้บ้าง
มีอยู่คนหนึ่งสงสารเพื่อนมากถึงกับถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นให้เพื่อนๆไป
ส่วนตัวเองมีแค่เสื้อคลุมไหล่สวมใส่กันหนาวเท่านั้น
ในช่วงที่เรากำลังเกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่นั้นนายแอลสมาชิกคนหนึ่งของขบวนการใต้ดินต่อต้านเยอรมันได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือโดยไปให้เพื่อนคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในคลังเสื้อผ้าทำการจัดการ(ขโมย)เสื้อคลุมไหล่
3-4 ตัวทุกวันรวมทั้งให้จัดการกางเกงในมาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
แม้จะทำการจัดการอย่างเต็มขีดความสามารถขนาดไหนแต่ก็ยังไม่พอกับความต้องการของพวกเราอยู่ดี
หลังจากผ่านการฆ่าเชื้อทุกครั้งคุกต่างๆก็จะมีจำนวนนักโทษเบาบางเนื่องจากมีผู้เสียชีวิตเพราะทนอากาศหนาวและโรคภัยไข้เจ็บต่อไปไม่ได้เป็นจำนวนมาก
ศพของนักโทษเหล่านี้ก็จะถูกนำไปทิ้งไว้ที่ด้านหลังของคุกต่างๆเป็นเหยื่ออันโอชะของบหนูทั้งหลาย
ซึ่งเจ้าหนูเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นผู้อาศัยอยู่ในค่ายเอาส์ชวิตซ์-เบอร์เคเนาเพียงพวกเดียวเท่านั้นที่อยู่กินกันอย่างมีความสุข
มันจะมารุมแทะกินเนื้อศพของเพื่อนๆผู้โชคร้ายของเราและทำตัวเหมือนกับว่าในคุกเป็นบ้านของพวกมัน
แม้ว่าพวกเราจะพยายามไล่พวกมันออกไปอย่างไรมันก็ไม่เกรงกลัวและไม่ยอมหนีราวกับว่าพวกมันเองคือเจ้าของตัวจริงไม่ใช่พวกเรา
ในระหว่างที่ถูกกักกันอยู่ในค่ายพวกนักโทษจะถูกย้ายสับเปลี่ยนที่อยู่ไปตามค่ายต่างๆอยู่เสมอ
สำหรับดิฉันเองก็เคยไปอยู่ตามค่ายต่างๆถึง 3 แห่ง และเปลี่ยนงานทำจนนับครั้งไม่ถ้วน
ส่วนใหญ่จะทำงานเกี่ยวกับการให้บริการทางด้านสุขภาพอนามัยในสถานพยาบาลหรือในโรงพยาบาลต่างๆในค่ายนั้นๆ
แต่บางครั้งดวงตกอับเขาก็เคยให้ไปทำงานเกี่ยวกับการใช้แรงกาย เช่น
เป็นคนทำความสะอาดห้องส้วมห้องสุขาหรือแม้กระทั่งเป็นกรรมกรขุดดินนอกค่าย
การที่ต้องเปลี่ยนตำแหน่งหน้าที่เช่นนี้บางทีก็มีสาเหตุมาจากไม่ลงรอยกับหัวหน้าคุกบ้าง
พวกเยอรมันย้ายตามปกติบ้าง
ซึ่งบางครั้งก็ได้ทำงานดีๆบางครั้งก็ให้ไปทำงานที่ยากลำบาก สลับกันไปเรื่อยๆ
เมื่อปลายฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ. 1944
ดิฉันถูกย้ายไปทำงานกับหน่วยรักษาความสะอาดห้องสุขาแต่ต่อมาไม่นานก็โชคดีได้ย้ายกลับมาทำงานในโรงพยาบาลเดิม
เมื่อถึงต้นเดือนธันวาคม ค.ศ. 1944
มีค่ายสำหรับกักกันนักโทษหญิงเหลืออยู่ 2 ค่ายเท่านั้น
ส่วนค่ายอื่นๆที่เคยมีอยู่ถูกปิดไปเนื่องจากมีการอพยพนักโทษหญิงไปไว้ที่อื่น
หรือไม่ก็เนื่องมาจากนักโทษหญิงในค่ายต่างๆถูกนำตัวไปสังหารจนหมดค่าย
ค่ายที่เหลือ 2 แห่งนี้ได้แก่ ค่ายบี-2
ซึ่งเป็นค่ายบังคับใช้แรงงาน
และค่ายอี.ซึ่งเดิมเคยเป็นคุกขังพวกยิปซีตามที่เคยเล่าให้ฟังแล้วแต่ขณะนี้ถูกใช้เป็นที่ตั้งโรงพยาบาล
นักโทษในค่ายบี-2เป็นพวกที่ทำงานในโรงงานทอผ้าหรือผลิตสารสำหรับใช้ในการทำชนวนลูกระเบิด
พวกเธอมีสภาพความเป็นอยู่เลวมาก
วันทั้งวันต้องทนอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยกองผ้าขนสัตว์สกปรกกองหนึ่งๆสูงประมาณ 1-2
หลา
ซึ่งเมื่อมีอะไรไปกระทบแม้แต่เพียงเล็กน้อยก็จะมีฝุ่นฟุ้งออกมาเข้าจมูกและเข้าไปในปอดของคนงาน
ซ้ำร้ายยิงไปกว่านั้นคนงานก็ไม่มีน้ำที่จะมาชำระล้างร่างกายหลังจากเลิกงานแล้ว
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่โรงพยาบาลของเราคับคั่งไปด้วยคนไข้จากโรงงานบี-2แห่งนี้
ในสัปดาห์หนึ่งๆมีคนไข้หญิงเป็นจำนวนมากไปรับการรักษาในโรงพยาบาลที่ค่ายอี.ถึง
2 ครั้ง คนไข้ที่เดินมาเองไม่ได้ก็จะถูกนำตัวขึ้นรถบรรทุกหรือรถเข็นมาส่งโรงพยาบาล
บางรายก็ให้เพื่อนช่วยประคองเดินลุกลุกคลุกคลานมาจนกระทั่งถึงที่หมาย ลักษณะไม่ผิดอะไรกับคนพิการจูงคนตาบอด
เมื่อมาถึงโรงพยาบาลแล้วก็ใช่ว่าจะถูกกรับตัวเข้าโรงพยาบาลในทันทีเพราะเขามีกฎว่าผู้ป่วยไม่ว่าจะมีอาการหนักเพียงใด
ก่อนที่จะรับตัวเข้าโรงพยาบาลจะต้องให้ไปอาบน้ำเสียก่อน
ผลก็คือกว่าจะอาบน้ำเสร็จคนไข้ต่างเป็นลมล้มพับคาห้องน้ำไปตามๆกัน
บางครั้งเราก็ไม่ยอมปฏิบัติตามกฎที่ทารุณไร้มนุษยธรรมนั้น
โยนำผู้ป่วยหนักเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทันทีโดยไม่ต้องให้อาบน้ำก่อน
เนื่องจากโรงพยาบาลมีคนป่วยเข้มารับการรักษามาก
ดังนั้นสภาพภายในโรงพยาบาลจึงสับสนวุ่นวายเป็นอย่างยิ่ง
เพราะในหมู่คนไข้ของเรามีคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคขาดอาหารและโรคติดต่อร้ายแรงถึงร้อยละสามสิบ
สิ่งอำนวยความสะดวกในโรงพยาบาลก็มีไม่เพียงพอสำหรับบริการ
ที่นอนผืนหนึ่งมีคนไข้นอนรวมกัน 2-3 คนหรือบางครั้งถึง 4 คน
คนไข้ต้องนอนแออัดยัดเยียดอยู่กับเพื่อนซึ่งไม่ได้เป็นโรคเดียวกับตน จึงเป็นที่น่าวิตกว่าแทนที่จะมารับการรักษาโรคที่ตนป่วยอยู่นั้นกลับจะต้องมาติดโรคอื่นๆจากโรงพยาบาลไปเสียอีก
ส่วนเรื่องที่จะป้องกันโรคติดต่อนั้นก็เป็นสิ่งที่กระทำได้ยากยิ่ง
จากการที่ได้มาทำงานอยู่ในโรงพยาบาลที่มีคนไข้เป็นโรคขาดอาหารเช่นนี้
ทำให้ได้รู้ว่าการขาดอาหารเป็นสมุฏฐานของโรคหลายชนิด
ที่สำคัญได้แก่โรคท้องร่วงหรือที่พวกเยอรมันเรียกว่า โรคห่าลง โรคฝีหนองอักเสบ
โรคขาดวิตามิน และโรคปอดบวม
ส่วนที่เป็นโรคติดต่อนั้นส่วนใหญ่เป็นโรคไข้รากสาดใหญ่
โดยเฉพาะโรคไข้รากสาดใหญ่มีหมัดหนูเป็นพาหะนำโรค
เนื่องจากในค่ายมีหนูอาศัยอยู่อย่างขุกขุมในทุกซอกทุกมุม
แม้ว่าจะมีการประกาศสงครามขั้นแตกหักระหว่างนักโทษกับหมัดหนูแต่ผู้ชนะโดยเด็ดขาดก็คือหมัดหนูนั่นเอง
เพราะยาฆ่าเชื้อสับด้อยคุณภาพที่เรามีใช้กันในค่ายมันไม่มีฤทธิ์แรงพอที่จะทำให้หมัดหนูตายได้
ยิ่งไปกว่านั้นแล้วเราก็ไม่มีเวลาและมีเรี่ยวแรงมากพอที่จะต่อสู่กับศัตรูร้ายกาจเหล่านี้ได้
ซึ่งนับวันแต่จะเพิ่มจำนวนเป็ฯทวีคูณ
ทุกคนในค่ายกักกันต่างถูกหมัดหนูรบกวนตามร่างกายด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นนักโทษที่ทำงานเป็นกรรมกร
นักโทษในคุกหรือแม้แต่ผู้ที่ทำงานในโรงพยาบาล
มันมาปรากฏตัวอยู่ทุกหนทุกแห่ง เช่น ตามเสื้อผ้า
ในกรุงขัง ที่ผมบนศีรษะ ที่คนในที่ลับ ที่หนวดเครา หรือแม้แต่ที่คนคิ้ว
สัตว์ตัวเล็กๆพวกนี้ร้ายกาจมากถึงขนาดสามารถไปหลบซ่อนอยู่ใต้ผ้าปิดแผลของคนไข้
ดิฉันนึกในใจว่าหากพวกเราอยู่ในค่ายต่อไปอีกนานๆก็คงจะล้มตายกันหมด
จะมีเพียงหมัดหนูเท่านั้นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
แต่ในช่วงเดือนหลังๆที่เราไปประจำอยู่ที่ค่ายอี.สถานการณ์เริ่มดีขึ้นเนื่องจากว่าสาวน้อยเออร์ลี
ราชินีประจำค่ายได้ใช้มาตรการเด็ดขาดในการทำลายหมัดหนู
โดยบังคับให้นักโทษถอดเสื้อผ้าออกหมด
และเธอก็พร้อมที่จะให้นักโทษหนาวตายมากกว่าที่จะยอมให้หมัดหนูมีชีวิตอยู่ต่อไป
ในการรณรงค์ต่อสู้กับหมัดหนูนั้นเราที่ทำงานกันอยู่ในโรงพยาบาลค่อนข้างจะได้เปรียบคนอื่นอยู่บ้าง
เนื่องจากอยู่ในที่พักที่ไม่แออัดยัดเยียด
นอกจากนั้นแล้วเรายังมีอ่างล้างหน้าอย่างดีซึ่งเมื่อชำระล้างแล้วก็สามารถปล่อยน้ำเสียทิ้งไปได้
แต่ก็อีกนั้นแหละโอกาสที่จะติดหมัดหนูจากคนอื่นนั้นก็มีมากเหลือเกิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาตรวจรักษาคนไข้ในแต่ละวัน
ก็พวกคนไข้นี่แหละเป็นคนนำหมัดหนูมาให้
ถึงกระนั้นก็ตามเราก็ไม่ละความพยายามได้ใช้วิธีการต่างๆกำจัดมันออกจากร่างกายอยู่ทุกวันในขณะเดียวกันนั้นเราก็แนะนำวิธีการกำจัดมันให้คนไข้ในโรงพยาบาลของเราด้วย
ถ้าพวกเราในค่ายร่วมมือร่วมใจกันทำเช่นนี้หรือมีเครื่องมือที่จะต่อสู่กับหมัดหนูที่ดีกว่านี้
ก็เป็นที่แน่นอนว่าหมัดหนูไม่มีทางเอาชนะพวกเราได้แน่ที่พวกเราต้องพ่ายแพ้มันอย่างราบคาบและต้องประสบกับความทุกข์ยากกันเช่นนี้
ก็เพราะพวกมันนั่นเองเป็นตัวการ
เพื่อให้การดำเนินงานตามมาตรการกำจัดหมัดหนูได้อย่างได้ผลดีขึ้น
เราได้แนะนำให้คนไข้หญิงทุกคนชำระร่างกายให้สะอาดหมดจดทุกเย็นก่อนเข้านอน
โดยให้ผลัดกันใช้แปรงที่เรามีอยู่เพียงอันเดียวขัดสีสิ่งสกปรกและตัวหมัดออกไปให้หมด
นั่นเป็นวิธีการเพียงอย่างเดียวที่เราใช้ต่อสู้กับเจ้าปาราสิตตัวมารร้ายที่คอยมารังควานพวกเราจนตกเป็นเหยื่อของพวกมันคนแล้วคนเล่า
นักโทษที่อยู่ในค่ายเอาส์วิตซ์-เบอร์เคเนาต่างมีความฝันที่ตรงกันอยู่อย่างหนึ่ง
คือ พยายามหาทางหลบหนีออกจากค่ายแห่งนี้ให้ได้
แต่ในหมู่นักโทษนับหมื่นๆคนเหล่านี้แทบจะไม่มีผู้ใดเลยประสบความสำเร็จในการหลบหนี
ในระหว่างที่ดิฉันอยู่ในค่ายนี้เคยได้รู้มาว่ามีนักโทษหลบหนีออกไปได้เพียง
4-5 คน แต่ในกรณีที่หลบหนีไปได้เช่นนี้ก็ไม่แน่ว่าจะหนีไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่
ระบบคบคุมนักโทษของพวกเยอรมันมีประสิทธิภาพดีมาก
ที่ค่ายแห่งนี้มีการให้รางวัลแก่ยามรักษาการณ์ที่สามารถยิงนักโทษที่พยายามหลบหนี
การหลบหนีจึงกระทำได้ยากลำบากมาก
เพราะมีรั้วลวดหนามปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงสูงล้อมค่ายเอาไว้
นอกจากนั้นแล้วที่ข้างนอกของค่ายก็ยังมีเจ้ามิราเดอร์ซึ่งก็คือสุนัขที่ได้รับการฝึกมาเป็นพิเศษเพื่อใช้ติดตามล่านักโทษที่หลบหนีไป
นอกจากนั้นแล้วเมื่อมีผู้ใดหายไปเขาจะนำมาตรการเด็ดขาดออกมาใช้
คือเปิดไซเรนเป็นการเตือนเจ้าหน้าที่ในค่ายให้ได้รู้ เมื่อใดที่ได้ยินเสียงไซเรนอันน่าสะพรึงกลัวก้องไปทั่วบริเวณค่ายเมื่อนั้นเราก็จะรู้ทันทีว่ามีนักโทษคนใดคนหนึ่งกำลังพยายามหลบหนีและเราจะพากันตัวสั่นงันงกสวดมนต์อ้อนวอนขอให้คนที่กำลังหลบหนีนั้นหนีไปได้สำเร็จ
ความรู้สึกของเราในตอนนั้นมีลักษณะความเห็นแก่ตัวอยู่ไม่น้อยทั้งนี้เพราะราต่างก็ตั้งความหวังว่าใครก็ตามที่หลบหนีไปสำเร็จนั้นก็คงจะไปเผยความลับให้โลกได้รู้ถึงสิ่งที่เป็นไปในค่ายเบอร์เคเนา
ซึ่งในที่สุดแล้วก็จะมีคนมาช่วยเราให้พ้นจากค่ายนรกแห่งนี้
หรือไม่ก็ไปบอกให้ฝ่ายสัมพันธมิตรเข้ามาระเบิดเตาเผาศพให้สิ้นซากไปเลยก็ยิ่งดี
ซึ่งเมื่อนั้นการทำลายล้างมนุษยชาติของพวกเยอรมันก็จะลดลงไปได้บ้าง
เมื่อมีนักโทษหลบหนีไปก็จะมีคำสั่งให้ออกติดตามอย่างฉับพลัน
ถ้าหลบหนีไปในตอนกลางคืนเขาจะเปิดไฟตรวจค้นทั่วบริเวณพื้นที่รอบๆ
ขณะเดียวกันก็จะมีเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนพร้อมด้วยสุนัขออกค้นหาไปตามที่ต่างๆ
นักโทษคนนั้นก็จะต้องหนีอย่างหัวซุกหัวซุนและประสบกับความลำบากอย่างแสนสาหัส
ไม่ต้องหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือใดๆจากชาวบ้านในละแวกนั้น
แต่ในระยะต่อมาอีกเพียง 3-4
วันเท่านั้นนักโทษที่หลบหนีไปได้นั้นก็จะสิ้นฤทธิ์เพราะทนจ่อความหิวอาหารและกระหายน้ำไม่ไหว
ปกตินักโทษที่หนีไปนั้นจะไม่กล้าเข้าไปหาอาหารในเมืองจนกว่าจะหาเสื้อผ้าใหม่มาเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดขาดรุ่งริ่งของตนให้ได้เสียก่อน
ซึ่งถ้าหากเข้าไปในเมืองในชุดเดิมก็จะไม่แคล้วถูกสงสัยและถูกพวกเยอรมันจับได้ในที่สุด
โอกาสที่จะหลบหนีไปได้ตลอดรอดฝั่งนั้นอย่างน้อยที่สุดจะต้องได้รับความร่วมมือจากยามรักษาการณ์
โยพยายามไปตีสนิทเขาเอาไว้
นักโทษที่อยู่ในค่ายนานๆจะใช้วิธีขโมยทองหรือเพชรนิลจินดาจากคลังแคนาดาแล้วนำสิ่งของมีค่าเหล่านั้นไปติดสินบนยามรักษาการณ์
และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นก็ต้องหาชุดเจ้าหน้าที่เอสเอสมาไว้สวมใส่ในเวลาจะหลบหนีไป
แต่แม้จะมีชุดเจ้าหน้าที่เอสเอสสวมใส่ไว้พรางตาหลบหนีแล้วก็ตาม
ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะหลบหนีไปได้ตลอดรอดฝั่ง
.ในฤดูร้อนปี
ค.ศ. 1944 มีนักโทษชายจากประเทศโปแลนด์ผู้หนึ่งทำงานอยู่ในหน่วยบี-3
ได้วางแผนที่จะหลบหนีออกจากค่าย เขาพยายามหาชุดเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสมาไว้
2 ชุด
โดยวางแผนไว้ว่าตัวเองสวมชุดหนึ่งและอีกชุดหนึ่งให้คนรักซึ่งเป็นสาวชาวยิวจากโปแลนด์สวมใส่หนีไปด้วยกัน
หนุ่มสาวคูนี้มาอยู่ในค่ายกักกันนานแล้วพอที่จะทำความคุ้นเคยกับยามรักษาการณ์หน่วยเอสเอสได้เป็นอย่างดี
เมื่อทุกอย่างสำเร็จตามแผนขั้นต้นแล้วทั้งสองคนก็สวมชุดของเจ้าหน้าที่เอสเอสหลบหนีออกจากค่ายเบอร์เคเนามาอยู่ในค่ายเอาส์ชวิตซ์ก่อน
จากนั้นจึงหนีต่อไปยังหมู่บ้านเอาส์ชวิตซ์ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากค่ายเอาส์วิตซ์เท่ใดนัก
คนทั้งสองไปอยู่ในหมู่บ้านนั้นโยมี่ใครในหมู่บ้านระแวงสงสัย ทั้งนี้เพราะฝ่ายชายมีหน้าตาเหมือนคนเยอรมันเพราะมีเชื้อสายอารยัน
ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองคนแต่งกายในชุดของหน่วยเอสเอสของเยอรมันอีกด้วย
ทั้งสองคนได้ใช้ชีวิตดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์อ่างมีความสุขหลังจากที่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในค่ายนรกมาเป็นเวลานาม
เมื่อหลบอยู่ในหมู่บ้านได้ 2 สัปดาห์ก็เกิดความย่ามใจว่า
เมื่อพวกตนอยู่ในชุดเจ้าหน้าที่เอสเอสเช่นนี้แล้วก็คงจะไม่มีความระแวงสงสัย จึงสวมชุดดังกล่าวออกไปเดินเตร็ดเตร่ตามถนนต่างๆในหมู่บ้าน
บังเอิญว่ามีนายทหารจากหน่วยเอสเอสคนหนึ่งมาพบเข้าเกิดความสงสัยในตัวของเอสเอสตัวปลอมที่เป็นหญิง
เพราะหน้าตาของเธอไม่เหมือนคนเยอรมัน จึงได้ขอตรวจค้นเอกสารประจำของคนทั้งสอง
จึงถูกจับส่งกลับมาที่ค่ายกักกันในที่สุด
พวกเยอรมันได้ตั้งกฎบังคับใช้ประจำค่ายไว้อย่างหนึ่ง
คือ
นักโทษคนใดก็ตามที่หลบหนีออกจากค่ายเมื่อถูกจับได้ให้นำตัวกลับมายังค่ายเพื่อลงโทษสถานหนัก
ท่ามกลางสายตาของนักโทษทุกคนในค่าย
เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างสำหรับผู้ที่คิดจะกระทำอีกต่อไป
การลงโทษเริ่มต้นโยการให้นักโทษที่ถูกส่งตัวกลับมานั้นถือป้ายประสานความผิดของตนเดินไปจนทั่วบริเวณค่าย
เมื่อนักโทษเห็นกันทั่วถึงแล้วก็จะถูกแขวนคอประจานตรงบริเวณกลางค่ายนั่นเอง
หรือไม่ก็ถูกส่งตัวไปสังหารที่ห้องรมก๊าซพิษ
นักโทษหนุ่มและนักโทษสาวโปแลนด์ที่ถูกจับส่งตัวกลับมานี้
ได้แสดงความกล้าหาญชาญชัยให้ปรากฏต่อบรรดานักโทษที่มาชุมชุมเพื่อชมการประหารชีวิตครั้งนี้
โดยเฉพาะฝ่ายหญิงได้ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดที่จะถือป้ายประจานนั้น
พวกเยอรมันทำการตอบโต้อย่างฉับพลันโดยให้เจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสคนหนึ่งทุบตีเธออย่างโหดร้ายทารุณ
แล้วสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น
หญิงสาวคนนั้นได้รวบรวมพละกำลังที่ยังเหลืออยู่อีกเพียงเล็กน้อยกำหนัดชกไปที่ใบหน้าของเจ้าหน้าที่เอสเอสที่กำลังซ้อมเธออยู่นั้นทันที
นักโทษที่มาชุมนุมกันอยู่เต็มไปหมดนั้นต่างก็พึมพำแสดงความอัศจรรย์ใจในความกล้าหาญของนักโทษหญิงยิว
ต่างก็คิดว่าอย่างไรเสียพวกเยอรมันก็ต้องจัดการกับเธออย่างเด็ดขาด
และความจริงก็เป็นเช่นนั้น
พวกเยอรมันโกรธแค้นที่เห็นอาการแผลงฤทธิ์ของเธอจึงเข้ากลุ้มรุมทำร้ายเธอในทันที
ช่วยกันทั้งตีทั้งต่อยทั้งกระทืบทั่วร่างอย่างไม่ปรานีปราศรัยจนใบหน้าของเธอแตกยับเยินชุ่มโชกไปด้วยเลือด
ร่างแทบแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี
เมื่อจัดการซ้อมเธอจนหนำใจแล้วหัวหน้าหน่วยเอสเอสก็จับป้ายที่เธอไม่ยอมถือนั้นโยนไปบนร่างที่นอนจมกองเลือดหมดหนทางสู้นั้น
แล้วจัดการเรียกรถบรรทุกมรณะเพื่อนำตัวไปสังหารชีวิตยังห้องรมก๊าซพิษ พอรถมาถึงร่างของเธอก็ถูกจับโยนเข้าไปในรถบรรทุกเหมือนกับโยนกระสอบแป้งมัน
ถึงแม้นักโทษหญิงคนนี้จะมีอาการร่อแร่คือตาแตกหน้าอาบไปด้วยเลือดและทั่วทั้งร่างกายแหลกเหลวยับเยินแต่เธอได้พยายามรวมพลังครั้งสุดท้ายทรงตัวยืนขึ้นร้องประกาศว่า
“กล้าหาญไว้เถิดผองเพื่อนทั้งหลาย
พวกเขาจะต้องใช้หนี้กรรมที่สร้างกันไว้กับพวกเราอย่างแน่นอน
อีกไม่นานหรอกพวกเราก็จะได้รับการปลดปล่อยแล้ว”
พวกเยอรมัน 2
คนปีนเข้าไปในรถบรรทุกแล้วช่วยกันรุมกระทืบเธออีกครั้งหนึ่งจนเธอเงียบเสียงไปแล้วแต่ก็ยุงถูกรุมกระทืบต่อไปจนรถบรรทุกมรณะเคลื่อนลับสายตาไป
วันหนึ่งดิฉันได้เดินสำรวจรอบๆโรงพยาบาลในช่วงเวลาพัก
รู้สึกประหลาดใจมากที่ได้พบนายทาเด็กหนุ่มชาวโปแลนด์ผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าที่ดิฉันเคยกล่าวถึงเขามาแล้ว
เขาเดินตรงมาหาดิฉันดูท่าทางไม่เหมือนทาเด็กคนเดิมที่เคยเพียรพยายามหลอกล่อข่มขืนดิฉันที่โรงอาบน้ำเมื่อ
3 เดือนที่แล้ว
เดี๋ยวนี้เขากลายเป็นคนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต
ร่างผอมโซใบหน้าซีดเซียวเดินกระย่องกระแย่งเหมือนคนไม่มีแรงมานั่งลงตรงหน้าของดิฉันโดยปราศจากคำทักทายใดๆแล้วพูดโพล่ออกมาว่า
“ผมกำลังวางแผนหลบหนีออกจากค่ายในวันพรุ่งนี้
ทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว
มันเป็นเรื่องที่ผมพยายามและใฝ่ฝันมานานหลายปีตลอดเวลาที่อยู่ในคุก
ผมอาจทำสำเร็จหรือไม่ก็ถูกจับยิงเป้า แต่ผมไม่สนใจหรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น
เพราะเดี๋ยวนี้มันสุดที่จะทนอยู่ต่อไปอีกแล้ว”
เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อไปว่า
“ก่อนที่ผมจะจากไปผมอยากจะบอกกับคุณว่า
ตอนที่ผมอ้อนวอนขอความรักจากคุณครั้งนั้น ผมมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์
ก่อนที่สงครามจะเกิดผมเป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงวอร์ซอ
(ประเทศโปแลนด์) ถ้าคุณมีโอกาสรอดออกจากค่ายนรกนี้ไป ก็อย่าลืมไปเยี่ยมผมที่กรุงวอร์ซอบ้างนะครับ
และผมเองก็จะไปเยี่ยมคุณที่ทรานซิลวาเนียเช่นกันถ้ามีโอกาส”
เขากล่าวทุกถ้อยคำอย่างชัดเจนและหนักแน่น
“ผมเสียใจกับเหตุการณ์ที่ทำให้คุณขุ่นเคืองใจ
ผมรู้ว่าคุณเกลียดการกระทำของผมแต่คุณรู้ไหมครับว่าคุณไม่สามารถเกลียดผมได้เท่ากับที่ผมเกลียดตัวเองหรอกครับ”
พอกล่าวเสร็จเขาก็เดินไปที่ประตูรงพยาบาลแต่ก่อนที่จะก้าวพ้นประตูออกไปได้หันกลับมาทางดิฉันอีกครั้งหนึ่ง
แววตาครั้งสุดท้ายที่มองมามันเป็นแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความมีมนุษยธรรม
ทำให้ดิฉันหวนนึกถึงน้ำเสียงที่นุ่มนวลเต็มไปด้วยความเป็นสุภาพบุรุษของเขาในครั้งที่พบกันเป็นครั้งแรก
อีก 2-3
วันต่อมาเพื่อนๆของทาเด็กซึ่งเข้ามาทำงานในค่ายของเราก็มาบอกดิฉันว่า
ทาเด็กกับน้องชายได้หลบหนีไปโดยใช้อุบายหลอกล่อยามรักษาการณ์เอสเอสได้สำเร็จ
ทั้งคู่ได้หลบหนีจากจ่ายไปยัง”ดินแดนที่ว่างเปล่าไร้มนุษย์”ซึ่งอยู่ห่างจากพรมแดนประเทศรัสเซียประมาณ
1 ไมล์ ทั้งสองอดทนต่อความหิวโหวอาหารและกระหายน้ำอย่างแสนสาหัส
ไม่ได้ดื่มน้ำแม้แต่หยดเดียวตลอดเวลา 48 ชั่วโมงที่หลบหนีไปนั้น
ครั้นเดินทางไปพบบ่อน้ำแห่งหนึ่งทาเด็กก็หยุดดื่มน้ำแต่น้องชายยังเดินต่อไป
ขณะที่ทาเด็กกำลังใช้มือวักน้ำขึ้นมาดื่มอยู่นั้น
ทหารเยอรมันได้มาพบเข้าโดยบังเอิญ
เขาจึงถูกจับทันทีและก็รู้ดีว่าโทษที่จะได้รับนั้นแน่นอนคือความตาย เขาจึงได้พยายามช่วยเหลือน้องชายโดยแกล้งบอกพวกเยอรมันว่าน้องชายหลบหนีไปทางอื่น
ด้วยเหตุนี้น้องชายของทาเด็กจึงหลบหนีไปได้สำเร็จส่วนทาเด็กถูกนำตัวกลับมายังค่ายและถูกขังไว้ที่หลุมบังเกอร์
หลุมบังเกอร์นี้เป็นคุกใต้ดินที่พวกเยอรมันสร้างไว้เพื่อทรมานนักโทษ
ในนั้นแทบไม่มีอากาศและแสงว่างเลย
ภายในหลุมบังเกอร์ขุดเป็นหลุมแคบๆนักโทษจะยืนอยู่ในหลุมนี้ตลอดคืนและไม่มีที่พอจะนั่งหรือนอน
ในช่วงกลางวันนักโทษก็จะถูกเกณฑ์ออกไปทำงานที่หนักและลำบากมากมากกว่านักโทษธรรมดา
ส่วนอาหารที่ได้รับแจกก็คือขนมปังเพียง 6 ออนซ์ครึ่งต่อ 3 วัน ไม่มีการให้อาหารอื่นใดอีกเลย
โยทั่วไปแล้วหลังจาก 3-4
วันผ่านไปนักโทษชายซึ่งแม้ว่าจะแข็งแรงเพียงใด
เมื่อเจออาหารแบบนี้เข้าก็จะยอมแพ้อย่างราบคาบ แต่สำหรับทาเด็กเขาทนอยู่ได้หลายสัปดาห์
วันที่พวกเยอรมันตัดสินประหารชีวิตร่างกายของเขาแทบไม่มีสภาพของความเป็นมนุษย์เหลืออยู่เลย
ดินแดนของเยอรมันที่รุกรานได้มากว้างใหญ่ไพศาลนั้นได้เริ่มแคบลงๆทุกขณะเพราะถูกกองทัพของฝ่ายสัมพันธมิตรรุกคืบหน้ายึดคืน
พวกเยอรมันจึงอพยพนักโทษออกพ้นรัศมีการบุกของกองทัพชองฝ่ายสัมพันธมิตรมารวมกันไว้ที่ค่ายเอาส์ชวิตซ์
และต่อมาอีกไม่นานนัก
แม้แต่ค่ายเอาส์ชวิตซ์เองก็ต้องย้ายจากที่เดิมเข้าไปอยู่ในดินแดนส่วนในของประเทศเยอรมัน
นักโทษจากค่ายบรัสซอฟในประเทศโปแลนดเป็นพวกแรกที่อพยพมาอยู่ในค่ายเอาส์ชวิตซ์
ผู้ที่อพยพมาเหล่านี้ถูกบังคับให้ไปอยู่ที่ค่ายบี-2
ซึ่งเคยเป็นค่ายของพวกเชโกมาก่อน
ระหว่างการอพยพมีนักโทษได้เสียชีวิตระหว่างทางเป็นจำนวนมาก
ขณธอยู่ที่ค่ายบรัสซอฟนั้นความเป็นอยู่ของนักโทษมีความสะดวกสบาย
อาสาสมัครหญิงเป็นจำนวนมากที่ถูกนำมากักกันตัวอยู่ในค่ายแห่งนี้
สามารถทำมาหากินมีเงินมีทองใช้จ่าย
มีเงินจ้างนักโทษในค่ายให้ซักเสื้อผ้า ตัดเย็บเสื้อผ้าและทำความสะอาดซึ่งก็ทำให้นักโทษอื่นๆที่ไปรับจ้างทำงานพลอยมีมีเงินทองจับจ่ายใช้สอยและซื้ออาหารเพิ่มเติมจากร้านอาหารได้ด้วย
ถึงแม้ว่าร้านค้านั้นจะไม่ใช่ร้านใหญ่โตอะไรแต่พวกนักโทษก็คิดว่ายังดีกว่าไม่มีเสียเลย
นอกจากนั้นบรัสซอฟเป็นค่ายบังคับใช้แรงงาน
มีโรงงานปั้นด้ายอยู่ในนั้นด้วย ไม่ได้เป็นค่ายทำลายล้างมนุษย์
ดังนั้นนักโทษจึงไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับเตาเผาศพ
ที่นั่นพวกเยอรมันจะใช้ปืนกลสังหารหมู่นักโทษจากรัสเซีย โปแลนด์
และฝรั่งเศสในป่าใกล้ๆค่ายนั่นเอง
การอพยพนักโทษออกจากบรัสซอฟกระทำกันอย่างรีบเร่ง
โดยเริ่มเรียกระดมพลในตอนกลางวันและนำนักโทษขึ้นรถไฟที่แออัดยัดเยียดเหมือนกับขนสัตว์
จากนั้นก็รีบเคลื่อนขบวนรถออกจากสถานีรถไฟอย่างฉับพลัน
ส่วนนักโทษที่ออกไปทำงานนอกค่ายตั้งแต่เช้าก็ได้กลายเป็นผู้โชคดีไปเพราะเมื่อกลับมาค่ายในตอนเย็นก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากกองทหารโซเวียตซึ่งเพิ่งจะเข้าไปยึดครองพื้นที่
ในจำนวนผู้อพยพมาอยู่ค่ายเอาส์ชวิตซ์เนื่องจากปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายสัมพันธมิตรจนฝ่ายเยอรมันจำต้องถอนกำลังจากดินแดนต่างๆกลับนั้น
มีชาวยิวเป็นจำนวนมากถูกบังคับให้อพยพจากศูนย์ควบคุมยิวที่เมืองลอดซ์
ดิฉันได้ฟังเรื่องราวต่อไปนี้จากปากของแพทย์หญิงชาวโปแลนด์คนหนึ่ง
ซึ่งทำให้มองเห็นภาพชีวิตของชาวยิวในเมืองลอดซ์ในช่วงที่ถูกเยอรมันยึดครองได้ชัดเจนพอสมควร
ศูนย์ควบคุมชาวยิวที่เมืองลอดซ์ดดังกล่าวมีคูน้ำล้อมรอบ
มีทหารเยอรมันถือปืนกลรักษาการณ์อยู่ตลอดเวลา
ภายในศูนย์พวกยิวสามารถไปไหนมาไหนได้อย่างเสรีเฉพาะในบางเวลาเท่านั้น
แต่ตลอดเวลาพวกเขาจะถูกบังคับให้ทำงานแก่กองทัพนาซี
โยเป็นผู้ผลิตเครื่องแบบและถักคอเสื้อติดเครื่องหมายหัวกระโหลกทับกระดูกไขว้อันเป็นสัญลักษณ์ของทหารเอสเอส
ในเวลาเจ็บป่วยพวกยิวเหล่านี้มีแพทย์คอยรักษาพยาบาลให้เป็นอย่างดี
ส่วนเสบียงอาหารที่ให้บริการแจกจ่ายภายในศูนย์ก็มีให้อย่างเหลือเฟือ
ขวัญและกำลังใจของพวกเขาก็จึงดีมาก
การอพยพชาวยิวจากศูนย์มายังค่ายเอาส์ชวิตซ์กระทำอย่างเร่งด่วนเช่นเดียวกัน
พวกเยอรมันได้ใช้วิธีการสกปรกหลอกลวงหลอกอีกตามเคยโยในขั้นแรกได้จับพวกผู้ชายยิวทั้งหมดไปไว้ที่สถานีรถไฟก่อน
เมื่อภรรยาและญาติมิตรฝ่ายหญิงไปสอบถามพวกเยอรมันก็บอกว่าพวกผู้ชายกำลังจะเดินทางไปทำงานในประเทศเยอรมัน
หากพวกผู้หญิงหรือบรรดาญาติมิตรต้องการเดินทางร่วมไปกับพวกผู้ชายก็ไม่ขัดข้อง
เมื่อพวกผู้หญิงยิวได้ฟังเช่นนั้นก็รีบไปเก็บรวมรวมสิ่งของมีค่าของตนในศูนย์แล้วรีบติดตามพวกผู้ชายไปที่สถานีรถไฟ
พวกเยอรมันก็จะถ่ายภาพยนตร์เหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้เอาไว้
แล้วนำออกฉายเป็นภาพยนตร์ข่าวโฆษณาชวนเชื่อเพื่อต่อต้านข่าวลือที่ว่าพวกเขาใช้วิธีการบังคับขมขู่ผู้ถูกเนรเทศ
เมื่อใครได้ชมภาพยนตร์นี้ก็จะหลงเข้าใจผิดไปว่าการเนรเทศกระทำด้วยความสมัครใจหาได้มีการบังคับแต่อย่างใดไม่
พวกผู้ชายผู้หญิงและเด็กๆจากค่ายยิวที่ศูนย์เมืองลอดซ์นี้ไม่ได้ไปทำงานในประเทศเยอรมันตามที่พวกเยอรมันอ้างแต่อย่างใด
หากแต่ถูกบังคับให้อพยพมาอยู่ในค่ายทำลายล้างมนุษยชาติต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ค่ายเบอร์เคเนา
ดิฉันเคยให้การรักษาพยาบาลชาวยิวจากเมืองลอดซ์จำนวนหนึ่งในโรงพยาบาล
คนไข้เหล่านี้มีสภาพร่างกายทรุดโทรมมาก
ทั้งขวัญและกำลังใจก็ตกอยู่ในสภาวะที่เลวร้ายที่สุด
ดิฉันกล้าพูดได้เลยว่าในบรรดาผู้ป่วยในโรงพยาบาลของเราพวกยิวจากเมืองลอดซ์เป็นผู้ป่วยที่บอบบางที่สุดแทบจะไม่สามารถอดทนต่อสภาพเจ็บป่วยใดๆได้เลย
พวกที่มีสภาพเลวร้ายรองลงมาก็ได้แก่ผู้ป่วยจากประเทศกรีซ
อิตาลี ยูโกสลาเวีย เนเธอร์แลนด์ ฮังการี โรมาเนีย ส่วนผู้ป่วยที่มีความอดทนมากที่สุดต้องยกให้พวกฝรั่งเศสและรัสเซีย
ผู้ถูกเนรเทศที่มาใหม่นอกจากเป็นพวกที่มาจากประเทศในแถบยุโรปตะวันออกแล้วก็ยังมีพวกกลุ่มใต้ดินต่อต้านเยอรมันและกลุ่มอื่นๆที่เยอรมันถือว่าเป็นบุคคลไม่พึงปรารถนาขากประเทศต่างๆในยุโรปตะวันตกด้วย
ในเดือนกันยายนปี ค.ศ.
1944ก่อนที่ฝ่ายสัมพันธมิตรจะทำการปลดปล่อยพื้นที่โลว์แลนด์มีชาวเบลเยี่ยมเป็นจำนวนมากถูกเยอมันเกณฑ์ให้มายังค่ายเอาส์ชวิตซ์ด้วย
นอกจากนั้นแล้วก็มีชาวยิวจากเทเรเซียนสเตดต์
พวกกรีกและอิตาเลียน บุคคลเหล่านี้ถูกกวาดต้อนขึ้นรถไฟเดินทางมายังค่ายเอาส์วิตซ์แทบทุกวัน
สำหรับพวกกรีกและอิตาเลียนเคยถูกคุมขังอยู่ในคุกต่างๆในแถบยุโรปตะวันตกมาก่อน
เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรรุกคืบค้าเอาชนะได้เรื่อยๆพวกเยอรมันจึงทำการอพยพนักโทษออกจากคุกเหล่านั้น
แล้วส่งตัวมาอยู่ในค่ายเอาส์ชวิตซ์และเบอร์เคเนา
ขวัญและกำลังใจของนักโทษชาวกรีกและอิตาเลียนมีสภาพเลวร้ายลงตามลำดับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักโทษชราซึ่งไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของค่ายแห่งใหม่ได้
ก็มักหาทางออกโดยการฆ่าตัวตายอยู่เสมอ
การที่มีผู้ถูกเนรเทศรุ่นใหม่ๆเข้ามาอยู่นี้ทำให้บรรยากาศในค่ายเปลี่ยนแปลงไป
ค่ายเบอร์เคนได้กลายเป็นศูนย์รวมนักโทษนานาชาติยิ่งกว่าเดิม
มีนักโทษเกือบทุกชาติทุกภาษา ซึ่งมีวัฒนธรรมประเพณีปฏิบัติแตกต่างกันไป
ส่วนพวกนักโทษเก่าที่เหลืออยู่ในค่ายก็ได้แก่นักโทษประเภทได้รับการคุ้มครองรวมทั้งเจ้าหน้าที่ประจำค่าย
พวกเจ้าหน้าที่ประจำค่ายหน้าเก่าเหล่านี้ ก็มักจะกดขี่ข่มเหงพวกนักโทษที่มาใหม่ด้วยความโหดร้ายทารุณเช่นเดิม
ยังปฏิบัติตัวสมกับเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ของรัฐบาลนาซีอย่างไม่เสื่อมคลาย
ค่ายเบอร์เคเนาจะรับนักโทษจากค่ายบังคับแรงงานในบริเวณใกล้เคียงกลับมาอีก
ในกรณีที่นักโทษเหล่านั้นไม่สามารถทำประโยชน์ในด้านการผลิตยุทธปัจจัยให้แก่เยอรมันต่อไปได้
ปกติค่ายเอาส์ชวิตซ์-เบอร์เคเนาจะจัดการส่งนักโทษที่มีร่างกายแข็งแรงไปทำงานในพื้นที่ราเวนสบรูกซึ่งมีโรงงานผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์อยู่หลายแห่ง
เมื่อนักโทษที่ถูกส่งไปทำงานได้รับบาดเจ็บหรือล้มป่วยลงก็จะถูกส่งกลับโดยอ้างว่าให้กลับมาพักรักษาตัว
แต่ความเป็นจริงแล้วพวกเยอรมันถือว่านักโทษที่เจ็บป่วยเหล่านี้เป็นพวกที่มีร่างกายอ่อนแอและมีจิตใจไม่เข้มแข็งจึงไม่สมควรมีชีวิตอยู่ในโลกต่อไป
ศพของนักโทษที่ถูกสังหารในค่ายใกล้เคียงจะถูกลำเลียงมายังค่ายเบอร์เคเนาด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้เตาเผาศพของเบอร์เคเนาจึงทำหน้าที่เผาศพของนักโทษจากค่ายต่างๆที่อยู่ในอาณาบริเวณใกล้เคียงด้วย
การที่พวกเยอรมันนิยมการเผาศพนั้นก็ไม่ใช่เพราะพิจารณาถึงหลักอนามัยแต่เพราะมีศพมากจนเกินกว่าจะหาที่ฝังได้หมด
และยิ่งไปกว่านั้นการนำศพมาเผายังเอื้อประโยชน์ให้แก่ฝ่ายเยอรมันอีกด้วย เพราะสามารถริบทรัพย์สินที่มีค่าจากศพก่อนที่จะนำไปเผา
เป็นที่น่าสังเกตว่ามีขบวนรถไฟนำนักโทษเข้าๆออกๆค่ายเบอร์เคเนาอยู่ตลอดเวลาโยแต่ละวันจะมีประกาศว่ารถไฟหลายขบวนกำลังจะนำนักโทษไปทำงานตามโรงงานในประเทศเยอรมัน
โดยจะนำนักโทษอัดเข้าไปในตู้รถไฟจนเต็มหมดทุกตู้
เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้วรถไฟก็จะเคลื่อนขบวนออกจากสถานีมุ่งหน้าไปสู่จุดหมายปลายทางที่ไม่มีใครทราบได้
แต่อีก 2-3
ชั่วโมงต่อมารถไฟขบวนเดียวกันนั้นก็บรรทุกผู้โดยสารพวกเดิมกลับคืนมายังสถานีเบอร์เคเนาและผู้โยสารซึ่งเป็ฯเหยื่อรายใหม่เหล่านี้จะถูกนำตัวไปสังหารในเตาเผาศพ
ทำไมพวกเยอรมันจึงใช้วิธีสังหารนักโทษด้วยวิธีอันสลับซับซ้อนเช่นนี้?ดิฉันก็ยังไม่แน่ใจว่ามันเป็นปฏิบัติการตามแผนหรือเป็นเพราะเกิดจากผู้นำสั่งการผิดพลาดกันแน่
แต่ที่แน่ๆมันเป็นสิ่งที่ดิฉันเห็นมากับตาตนเอง
ต่อมาอีกวันหนึ่งรถไฟขบวนที่ 2ก็บรรทุกผู้ถูกเนรเทศรุ่นใหม่ออกจากสถานีเบอร์เคเนาโดยใช้ข้ออ้างอย่างเดิมว่าเพื่อส่งนักโทษไปทำงานในประเทศเยอรมัน
และอีก 2-3
วันต่อมาพวกเยอรมันก็ขนเสื้อผ้าและทรัพย์สินของผู้ถูกเนรเทศกลับมายังค่ายเบอร์เคเนาอีก
ซึ่งก็เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นอย่างแน่ชัดว่าผู้ถูกเนรเทศเหล่านั้นไม่ได้ไปประเทศเยอรมันแต่ได้จากโลกนี้ไปแล้ว
ไม่รู้ว่าได้ถูกนำตัวไปสังหารที่ใด และโดยวิธีการย่างใด
ถึงแม้จะมีนักโทษจากค่ายอื่นๆมาอยู่ในค่ายเอาส์ชวิตซ์อย่างมากมาย
แต่ในระยะหลังๆจำนวนนักโทษในค่ายเริ่มลดน้อยลงตามลำดับ
เหตุที่เป็ฯเช่นนี้ก็เพราะว่าหลังจากฤดูใบไม้ร่วงปี
ค.ศ. 1944
นักโทษจากค่ายแห่งนี้เป็นจำนวนมากถูกย้ายไปทำงานตามโรงงานต่างๆในประเทศเยอรมันแทนคนงานเยอรมันซึ่งส่งไปรบในแนวหน้า
ส่วนพวกอาชญากรชาวเยอรมันที่ติดเครื่องหมายสามเหลี่ยมสีขาวนั้นต่างก็ได้รับการปลดปล่อยให้มีอิสรภาพ
ภายหลังจากยอมรับข้อเสนอจากเจ้าหน้าที่เยอรมันให้ออกไปรบกับศัตรูของประเทศในแนวหน้า
พวกทหารหน่วยเอสเอสส่วนใหญ่ก็ถูกส่งไปทำการรบในแนวหน้าเช่นเดียวกัน
ส่วนพวกทหารหน่วยเอสเอสที่เหลืออยู่ในค่ายส่วนใหญ่เป็นพวกทุพลภาพที่กลับมารักษาตัวภายหลังจากออกไปสู้รบมาแล้ว
การคัดเลือกนักโทษไปสังหารเป็นอีกปัจจัยหนึ่งซึ่งทำให้จำนวนนักโทษในค่ายเบอร์เคเนาลดน้อยลงไป
พวกเยอรมันยังคงทำการคัดเลือกนักโทษไปสังหารอยู่เสมอ
เช่นบ่ายวันหนึ่ง ในขณะที่ฝนตกหนักเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสได้พากันมาที่โรงพยาบาลแล้วใช้อาวุธขมขู่บังคับให้คนไข้หญิงนำทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ไปกองรวมกันไว้
รวมทั้งอาหารที่ได้รับแจกประจำวันและเสื้อผ้าที่โรงพยาบาลแจกให้ใช้ด้วย
แต่ครั้งนี้ไม่ได้ใช้รถบรรทุกแต่ใช้รถขนขยะเพื่อบรรทุกหญิงมี่เคราะห์ร้ายเหล่านี้ไปสังหาร
เมื่อพวกเธอขึ้นรถขยะเรียบร้อยแล้วพวกเยอรมันก็เข็นรถขยะเหล่านั้นออกไปในท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำลงมาจนดินในค่ายเบอร์เคเนาเละกลายเป็นทะเลโคลน
เหยื่อสังหารเหล่านี้ไม่มีใครร้องไห้แม้แต่คนเดียว
ทุกคนอยู่ในอาการสงบพลางโบกมืออำลาด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก
เหมือนกับจะบอกกับพวกเราว่า
“วันนี้เป็นวาระของพวกเรา
แต่วันนี้จะเป็นวาระของพวกคุณบ้าง”
อีก 1 ชั่วโมงต่อมารถขยะเหล่านั้นก็ทยอยกลับมาจากเตาเผาศพในสภาพที่ว่างเปล่ามีแม้แต่เงาของเหยื่อสังหารเหล่านั้น
ค่ายเบอร์เคเนาอยู่ในระหว่างเตรียมพร้อมที่จะทำลายหลักฐานทุกสิ่งทุกอย่าง
ทั้งนี้เพราะเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารค่ายต่างตระหนักว่าจะต้องอพยพนักโทษออกไปจากค่ายแห่งนี้ก่อนที่กองทัพรัสเซียจะมาถึง
แม้แต่เตาเผาศพก็ต้องทำลายเพื่อไม่ให้เหลือร่องรอยอะไรไว้ให้พวกรัสเซียเห็น
อย่างไรก็ตามกระบวนการทำลายได้กระทำอย่างช้าๆและมีระบบ
เจ้าหน้าที่ประจำเตาเผาศพได้รับคำสั่งให้ทำลายเตาเผาศพไป 1 เตา
ส่วนเตาอื่นๆยังคงใช้เผาศพนักโทษตามปกติ บางเตายังคงเผาอยู่จนกระทั่งถึงเดือนธันวาคมปี
ค.ศ. 1944
ขบวนรถไฟทยอยมาอยู่เรื่อยๆและยังมีการคัดเลือกตัวผู้มาใหม่ที่สถานีรถไฟอยู่ต่อไป
ผู้ที่ถูกคัดเลือกตัวแล้วก็ถูกส่งไปยังดินแดนที่จำเป็นต้องใช้แรงงานภายในประเทศเยอรมัน
แต่ในบางขบวนผู้โดยสารทั้งหมดถูกจำกัดในทันทีที่เดินทางมาถึงค่ายเบอร์เคเนา
ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพวกเยอรมันจึงทำเช่นนั้น
ในช่วงนั้นดิฉันมีหน้าที่ต้องไปที่บริเวณสถานีรถไฟอยู่เสมอ
วันหนึ่งเมื่อไปที่นั่นพร้อมกับเพื่อน 2-3
คนก็ได้เห็นรถไฟขบวนหนึ่งบรรทุกพลเรือนชาวรัสเซียที่พวกเยอรมันจับมาในขณะที่จะถอยทัพ
เมื่อประตูตู้รถไฟเปิดออกเรามองเข้าไปข้างในก็เห็นพวกเด็กๆร้องไห้กันระงม
ส่วนคนชราก็พากันโอดครวญด้วยความระทมทุกข์ บ้างก็นอนซมด้วยโรคภัยไข้เจ็บ
เป็นที่น่าสมเพชเวทนายิ่งนัก
ส่วนเด็กหนุ่มสาวไม่ได้แสดงความเกรงกลัวใดๆเลยพากันร้องตะโกนคำขวัญปลุกใจเป็นภาษารัสเซียเป็นระยะๆ
พวกผู้หญิงชาวรัสเซียเมื่อมองเห็นพวกเราต่างก็พากันชะโงกหน้าออกมาจากตู้รถไฟ
ร้องขอน้ำและขนมปังเป็นภาษารัสเซีย”โวดา---เคล็บ”
เราได้ยิน 2 คำนี้อยู่เสมอ
จึงเข้าใจความหมายได้เป็นอย่างดี
ซึ่งก็ไม่ใช่แต่เฉพาะภาษารัสเซียเท่านั้นเรายังรู้จักคำว่า “ขอขนมปังและน้ำ”ของทุกชาติทุกภาษาในยุโรป
พวกหญิงรัสเซียเหล่านี้ต่างแย่งกันถามเราถึงสถานที่ที่พวกตนมาถึงในขณะนี้
แต่ละคนไม่ได้ระแวงสงสัยเลยแม้แต่น้อยว่าบัดนี้ได้มาถึงจุดจบแห่งชีวิตแล้ว
ดิฉันเดินกลับเข้าค่ายด้วยความเศร้าสร้อย
มีนักโทษน้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้พบเห็นสภาพที่แท้จริงที่เกิดขึ้นในสถานีรถไฟ
ตามปกติทุกๆครั้งที่มีรถไฟขบวนใหม่นำนักโทษมาถึงสถานี
นักโทษจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาดู ต้องเก็บตัวอยู่ในคุก
เฉพาะเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเท่านั้นที่มีสิทธิ์ออกไปไหนมาไหนได้
ก็เพราะเสื้อคลุมสีขาวนี่แท้ๆที่ทำให้ดิฉันไปไหนมาไหนได้สะดวกกว่านักโทษธรรมดาอื่นๆ
ในวันรุ่งขึ้นดิฉันได้กลับไปที่สถานีรถไฟอีกครั้งหนึ่ง
แต่บัดนี้ไม่มีใครอยู่ในตู้รถไฟกว่า 60 ตู้นั้นเลยแม้แต่คนเดียว
ต่อมาจึงรู้ว่าพวกเยอรมันได้สั่งนักทาลงจากตู้รถไฟตั้งแต่เมื่อคืนวานแต่ก็ไม่รู้ว่าชาวรัสเซียเหล่านั้นถูกนำตัวไปไว้ที่ไหน
ไม่มีใครเห็นชาวรัสเซียในค่ายแม้แต่คนเดียว
ในวันต่อๆมาก็มีขบวนรถไฟนำชาวรัสเซียกลุ่มอื่นๆมาที่ค่ายเบอร์เคเนาอีก
และชะตากรรมของพวกเขาก็ลงเอยในทำนองเดียวกับกลุ่มแรกๆ
ดิฉันยังจำเหตุการณ์ได้อีกครั้งหนึ่ง
วันนั้นดิฉันกับเพื่อนนักโทษกลุ่มหนึ่งกำลังจะเดินไปยังค่ายเอฟ.ค่ายเค.และค่ายแอล.โยมียามรักษาการณ์เดินคุมไปด้วย
ขณะที่เดินไปใกล้สถานีรถไฟเราได้หยุดให้ผู้ถูกเนรเทศเดินผ่านไปก่อน
สังเกตดูจากรูปร่างหน้าตาและเครื่องแต่งกายก็คงเป็นชนชั้นกลางชาวโปแลนด์
บางคนเป็นเจ้าหน้าที่รถไฟ บางคนเป็นพนักงานขนส่ง บุรุษไปรษณีย์ แม่ชี และเด็กนักเรียน
เมื่อคนเหล่านี้เดินชักข้าไม่ทันใจพวกยามรักษาการณ์หน่วยเอสเอสที่ควบคุมมาก็ใช้กระบองและแส้เฆี่ยนตี
หรือไม่ก็ใช้วิธียิงปืนพกช่มขู่
ขณะนั้นมีชายชราคนหนึ่งอายุประมาณ 60 ปี
แต่งกายในชุดไปรษณีย์เกิดเสียหลักหกล้มลง เด็กหนุ่มคนหนึ่งอายุประมาณ 18 ปีซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นบุตรชายเห็นเข้าจึงรีบเข้าไปประคอง
ในขณะที่ชายชรากำลังพยายามจะยันกายลุกขึ้นนั้นเอง
เจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสคนหนึ่งได้วิ่งเข้ามาใช้ปืนพกจ่อยิงอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต
ดิฉันกับเพื่อนๆมองเห็นเหตุการณ์ครั้งนี้ได้อย่างชัดเจนเพราะยืนอยู่ห่างจากจุดที่เกิดเหตุเพียง
3 หลาเท่านั้นเอง
ชายชราทรุดฮวบลงกับพื้นเพราะฤทธิ์ของกระสุนปืนนัดนั้น
แกดิ้นทุรนทุรายกำลังจะสิ้นใจตาย ปากบิดเบี้ยวแสดงถึงความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
ดวงตาทั้ง
2จ้องจับอยู่ที่ใบหน้าของบุตรชายที่กำลังคุกเข่าร้องไห้ละล่ำละลักอยู่ข้างๆว่า”พ่อครับๆๆๆ”เหมือนกับว่าเขาเองกำลังจะขาดใจตายตามชายชราไปด้วย
แต่ฆาตกรหน่วยเอสเอสคนนั้นกลับมีอารมณ์เยือกเย็น
ยินนิ่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มือล้วงกระเป๋าเสื้อนอกหยิบไฟแช็กมาเพื่อจุดบุหรี่สูบ
แต่ในขณะนั้นเองลมแรงมากจนต้องใช้มืออีกข้างหนึ่งป้องลมเพื่อไม่ให้เปลวไฟดับ
กว่าจะจุดบุหรี่ติดต้องใช้ความพยายามอยู่หลายครั้ง
ดูๆไปแล้วก็เหมือนกับว่าสำหรับเขาการทำลายชีวิตมนุษย์มันง่ายเสียยิ่งกว่าการจุดบุหรี่เสียอีก
เมื่อจุดบุหรี่ติดก็เก็บไฟแช็กใส่ลงในกระเป๋าเสื้อนอกตามเดิม
แล้วหันมามองชายหนุ่มที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่กับอกผู้เป็นบิดาที่กำลังจะสิ้นใจตายเพราะพิษบาดแผลจากกระสุนปืน
“ลุกขึ้นเดินไปเดี๋ยวนี้” เจ้าหน้าที่เอสเอสตะโกนสั่งเป็นภาษาเยอรมัน
เมื่อเด็กหนุ่มทำท่าอ้อยอิ่งเหมือนกับไม่เข้าใจคำสั่ง ก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
ถือแส้เข้าไปกระหน่ำตีให้ลุกขึ้นยืน
เด็กหนุ่มถูกตีหลายครั้งก็ลุกขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด
ยืนมองร่างของบิดาด้วยความเป็นห่วงและสุดอาลัยอาวรณ์
ก่อนที่จะเดินไปสมทบกับขบวนของผู้ถูกเนรเทศ
ที่ถูกบังคับให้เดินมุ่งหน้าไปยังป่าเบอร์เคเนาโดยไม่รู้ชะตากรรมของตนเอง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น