ที่ค่ายเอาส์ชวิตซ์-เบอร์เคเนามีอาคารอยู่หลังหนึ่งเรียกกันว่า”แคนาดา”
ภายในอาคารหลังนี้ใช้เป็นที่เก็บเสื้อผ้าและสมบัติต่างๆที่ยึดมาจากเชลยผู้ถูกเนรเทศมา
ในขณะที่เดินทางมาถึงสถานีรถไฟ ในช่วงที่เข้าห้องรมก๊าซพิษ
หรือในช่วงที่เป็นศพนำตัวไปที่ห้องเก็บก่อนเขาเตาเผา
อาคารแคนาดากลายเป็นคลังมหาสมบัติเนื่องจากพวกเยอรมันสนับสนุนให้ผู้ถูกเนรเทศนำของมีค่าติดตัวมาจากบ้าน
โดยพวกเขาจะบอกผู้ถูกเนรเทศก่อนออกเดินทางว่าการนำของมีค่าติดตัวไปด้วยสามารถกระทำได้ไม่มีข้อห้ามแต่อย่างใด
การชี้แนะทางอ้อมเช่นนี้ได้ผลดีมากกว่าการแนะนำไปตรงๆว่าผู้ถูกเนรเทศควรนำเครื่องประดับมีค่าติดตัวไปด้วย
เพราะการแนะนำเช่นนั้นอาจจะทำให้เกิดความสงสัยได้
โดยปกติผู้ถูกเนรเทศจะนำสิ่งของมีค่าติดตัวกันมาอย่างเต็มที่
เพราะหวังจะใช้ของมีค่านั้นซื้อความสะดวกสบายจากเจ้าหน้าที่เยอรมัน
ในกระเป๋าเดินทางของผู้ถูกเนรเทศจะมีสิ่งของเกือบทุกอย่าง เช่น ยาสูบ
เสื้อแจ็คเก็ตขนสัตว์ หมูแฮมรมควัน จักรเย็บผ้าแบบหูหิ้ว ฯลฯ
สิ่งของเหล่านี้จะถูกเจ้าหน้าที่ริบทรัพย์ประจำค่ายยึดเอามาเก็บไว้ในคลังแคนาดาทั้งสิ้น
ในคลังแคนาดามีผู้ชำนาญในการค้นหาทรัพย์ที่นักโทษซุกซ่อนมาในกระเป๋า พวกเขาจะค้นจนทั่วทุกซอกทุกมุม
ผลก็คือสามารถรวบรวมสิ่งของได้อย่างมากมาย
เพราะผลที่เห็นทันทาเช่นนี้ทำให้พวกเยอรมันไม่เสียดายกำลังพลเหมือนในที่อื่นๆ
ได้จัดกำลังพลมาทำหน้าที่มากมาย เป็นเจ้าหน้าที่ชาย 1,200 คน
เป็นเจ้าหน้าที่หญิง 2,000 คน ทุกสัปดาห์จะมีรถไฟอย่างน้อย 1
ขบวนเดินทางออกจากค่ายเอาส์ชวิตซ์ไปประเทศเยอรมัน
ซึ่งแต่ละขบวนบรรทุกสิ่งของที่ยึดจากนักทาเหล่านี้เต็มเพียบ
นอกจากสิ่งของต่างๆที่ยึดจากกระเป๋าเดินทางของนักโทษแล้ว
ก็ยังมีสิ่งมีค่าอีกอย่างหนึ่งที่นำมาเก็บไว้ในคลังแห่งนี้
สิ่งนั้นคือผมที่ตัดจากนักโทษและจากศพของคนตาย
ในบรรดาสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในคลังแคนาดา
สิ่งที่เห็นแล้วเกิดความสะเทือนใจมากที่สุดก็คือรถเข็นเด็กที่นำมาเก็บเรียงรายเอาไว้
แสดงว่าพวกเยอรมันได้สังหารเด็กทารกไปเป็นจำนวนมากมาย ที่สำหรับเก็บรองเท้าและของเล่นของเด็กทารกก็เป็นอีกที่หนึ่งที่เห็นแล้วเกิดความหดหู่ใจเป็นที่สุด
นักโทษคนใดได้เป็นเจ้าหน้าที่หรือคนงานในคลังแคนาดาถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
ซึ่งเจ้าหน้าที่เหล่านี้มักจะฉวยโอกาสขโมยสิ่งของในคลังไปเป็นของตน
แม้จะเสี่ยงกับการถูกลงโทษอย่างหนักก็ตาม
แต่เมื่อพวกเยอรมันทำอย่างนั้นบ้างจะไม่ถูกลงโทษแต่อย่างใด
พวกนี้มักจะมาตรวจดูสิ่งของในคลังอยู่เสมอ เวลากลับก็จะหยิบฉวยของมีค่า เช่น
เครื่องเพชร เครื่องประดับทองคำ กล้องถ่ายรูป และกล่องบุหรี่ เป็นต้น
พนักงานส่วนใหญ่ขโมยสิ่งของเพื่อนำไปแลกกับเสรีภาพของตน
ในช่วงที่ดิฉันอยู่ในค่ายมีพนักงานหลายคนขโมยสิ่งของจากคลังแคนาดานำไปติดสินบนเจ้าหน้าที่เยอรมันเพื่อปล่อยให้หลบหนีไปจากค่ายอย่างสะดวก
แต่ก็หนีไปไม่ได้แม้แต่รายเดียว
คือพวกเยอรมันจะรับสินบนของคนเหล่านั้นไว้
แต่เมื่อเวลาหนีแทนที่จะอำนวยความสะดวกให้ผู้ติดสินบนได้หนีกลับหักหลังยิ่งคนเหล่านี้ทิ้งราวกับสุนัขถูกตามล่า
ปกติสิ่งของที่ถูกขโมยจากคลังแคนาดาจะถูกนำไปจำหน่ายในตลาดมืดที่มีอยู่ในค่าย
ถึงแม้ว่าจะมีมาตรการห้ามเด็ดขาดอย่างไร
พวกเราก็ยังแอบไปหาซื้อสินค้าในตลลาดมืดกัน
ซึ่งราคาสินค้าขึ้นอยู่กับว่าหายากหรือไม่ มีแจกจ่ายในค่ายพอหรือไม่
อัตราการเสี่ยงที่จะได้มามีมากเพียงใด
ดังนั้นจึงไม่เป็นเรื่องที่น่าแปลกในที่เนยเทียมเนยแท้และเนื้อสัตว์มีราคาสูงลิบลิ่ว
เนยเทียมน้ำหนัก 1 ปอนด์มีราคา 250 มาร์ค(หรือประมาณ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ)
เนยแท้กิโลกรัมละ 500 มาร์ค เนื้อสัตว์กิโลกรัมละ 1,000 มาร์ค บุหรี่ซองละ 7 มาร์ค
ส่วนราคาแป้งผัดหน้าไม่แน่นอนขึ้นลงอยู่เป็นประจำ
มีเพียงไม่กี่คนที่มีกำลังเงินพอที่จะซื้อของฟุ่มเฟือยเหล่านี้มาบริโภคได้
เห็นจะมีก็เฉพาะเจ้าหน้าที่หรือคนงานในคลังแคนาดาเท่านั้นที่มีปัญญาหาซื้อของเหล่านั้นมาใช้ได้
โดยพวกเขาจะคิดต่อกับบุคคลที่ทำงานอยู่นอกค่ายหรือไม่ก็ยามรักษาการณ์
เพื่อนำของมีค่าไปแลกเป็นเงินหรือสิ่งที่หายาก
การค้าขายในตลาดมืดแบบนี้เจ้าหน้าที่นคลังแคนาดามักจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
บางทีเพชรพลอยราคาแพงๆใช้แลกเหล้าไวน์ธรรมดาได้เพียงขวดหนึ่งเท่านั้นเอง
เจ้าหน้าที่ที่ทำงานในโรงครัวก็เป็นอีกพวกหนึ่งที่ทำการค้าในตลาดมืด
พวกนี้มีศักดิ์ศรีดีกว่านักโทษธรรมดา สามารถหาอาหารดีๆในโรงครัวมาบริโภคได้
นอกจากนั้นทุกคนก็ยังมีเสื้อผ้าดีๆสวมใส่เนื่องจากใช้ระบบแลกเปลี่ยนสินค้า
พวกคนครัวจะขโมยอาหารไปแลกรองเท้าหรือเสื้อคลุมเก่าๆมาใช้ ทุกวันในตอนเย็นๆระหว่าง
5 โมงเย็นถึง 1 ทุ่มจะมีการค้าขายแบบตลาดมืดนอกคุกแห่งหนึ่ง
การค้าขายแบบนำสินค้าไปแลกเปลี่ยนกันนี้เป็นผลมาจากการขาดแคลนสิ่งของภายในค่าย
จึงนับว่ายากที่ผู้ใดจะหลีกเลี่ยงได้ ดิฉันเองก็เคยทำมาเหมือนกัน โดยครั้งหนึ่งเคยอดขนมปังที่ได้รับแจกอยู่ถึง
8 วันเพื่อเก็บสะสมมันไปแลกผ้ามาตัดกระโปรงให้พยาบาลที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลของเรา
และก็เคยอดน้ำซุปอยู่ 3
วันเพื่อนำไปเป็นค่าจ้างให้เขาเย็บกระโปรงตัวนั้น
เรื่องอาหารการกินและเรื่องเครื่องนุ่งห่มเป็นปัญหาที่พวกเราต้องเผชิญอยู่ตลลอดเวลา
ไหนๆก็เล่าถึงตลาดมืดแล้วดิฉันใคร่ขออนุญาตเล่าถึงเรื่อง
ค่ายของชาวยิวเชโก ซึ่งค่ายนี้เป็นแหล่งที่มีเสื้อผ้ามากมายอยู่หลายเดือน
นักโทษในค่ายของดิฉันหลายคนต้องการเสื้อผ้าจากค่ายเชโก
จึงไปต่อรองกันอยู่ครู่หนึ่ง
เสร็จแล้วก็ใช้วิธีขว้างขนมปังและเนยเทียมที่ได้รับแจกข้ามรั้วลวดหนามไปยังค่ายของชาวเชโก
อีกครู่หนึ่งต่อมาพวกที่อยู่ในค่ายเชโกก็ขว้างเสื้อผ้ามาให้นักโทษในค่ายของดิฉัน
นับว่าเป็นธุรกิจที่ออกจะเสี่ยงไปสักหน่อย
เพราะถ้ายามรักษาการณ์มาเห็นเข้าก็อาจถูกยิงได้ง่ายๆหรือมิฉะนั้นเสื้อผ้าที่โยนมานั้นอาจจะเกี่ยวค้างอยู่บนรั้วลวดหนามก็ได้
แต่ก็อย่างว่าล่ะ ไม่เสี่ยงก็ไม่ได้
ทำไมพวกเชโกจึงมีเสื้อผ้ามากกว่าพวกเรา
คิดว่าน่าจะเป็นเพราะระบบการบริหารค่ายไม่เคร่งครัดปล่อยปละละเลย
หรือไม่ก็เพราะผู้มีอิทธิพลในประเทศเชโกสโลวะเกียเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้
เหตุผลประการหลังมีคนเล่าลือกันมาก ในตอนต้นฤดูร้อนปี ค.ศ. 1943
ผู้ถูกเนรเทศจากประเทศเชโกสโลวะเกียที่มากับรถไฟขบวนหนึ่ง
ไม่ต้องผ่านกรรมวิธีปฏิบัติกันตามปกติ คือ ไม่มีการคัดเลือกตัว
ไม่มีการยึดกระเป๋าเดินทาง ไม่ถูกกล้อนผม
นอกจากนั้นผู้ชายได้รับการยกเว้นจากการบังคับใช้แรงงาน
และครอบครัวยังอยู่ด้วยกันได้เป็นปกติ
ซึ่งเป็นกรณีพิเศษที่ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ถูกเนรเทศชาติอื่นในค่ายเบอร์เคเนาได้รับอภิสิทธิ์เช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการจัดตั้งโรงเรียนสอนเด็กๆในค่ายของพวกเชโกเสียอีกด้วย
พวกเชโกเป็นพวกเดียวที่ยังคงได้รับพัสดุภัณฑ์จากทางบ้านเป็นปกติ
พวกเขาเคยถือโอกาสใช้อภิสิทธิ์ร้องขอให้เจ้าหน้าที่เยอรมันจ่ายสิ่งที่เป็นประโยชน์อื่นๆโดยเฉพาะผ้าขนสัตว์
เพื่อนำมาตัดเย็บเสื้อผ้ากันหนาวเพื่อใช้เองบ้าง
เพื่อนำมาแลกเปลี่ยนกับสิ่งของจากนักโทษค่ายอื่นบ้าง
แต่อภิสิทธิ์เหล่านี้มีอยู่ในช่วงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น หลังจาก 6
เดือนแล้วเขาก็เลิกให้อภิสิทธิ์
มีอยู่วันหนึ่งพวกนักโทษชาวเชโกทราบข่าวมาว่าพวกเยอรมันกำลังเตรียมการเพื่อกำจัดพวกตนจึงทำการลุกฮือขึ้นต่อต้านทันที
แต่กระทำการไม่สำเร็จ
เพราะในนาทีสุดท้ายนั้น
ผู้นำการต่อต้านซึ่งเป็นศาสตราจารย์จากกรุงปร๊ากถูกลอบวางยาพิษเสียชีวิต ราชินีประจำค่ายซึ่งเคยเป็นอาชญากรหญิงที่ดุร้ายที่สุดสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้
ในตอนเย็นวันรุ่งขึ้นหลังจากเหตุการณ์นั้น
พวกเยอรมันได้นำไปรษณียบัตรมาแจกจ่ายนักโทษเชโกให้เขียนถึงญาติสนิทของตน
โดยให้แจ้งไปว่าตนอยู่สุขสบายดี กับขอให้ญาติส่งพัสดุภัณฑ์มาให้
อีก2-3 ชั่วโมงต่อมาหลังจากเขียนไปรษณียบัตรนักโทษชาวเชโกที่เป็นคนชรา
เด็ก คนป่วยและคนมีสุขภาพไม่แข็งแรงก็ถูกนำตัวไปประหารชีวิตทั้งหมด
เพราะไปรษณียบัตรเหล่านั้นทำให้ผู้ถูกเนรเทศชาวเชโกรุ่นที่ 2 เดินทางมาอยู่ในค่ายแทนพวกแรก
ดิฉันได้มีโอกาสติดต่อกับชาวเชโกรุ่นที่ 2 นี้
จึงทราบว่าพวกเขาได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดีเหมือนกับพวกแรก
ยกเว้นในกรณีของอาหารซึ่งนับว่ามีสภาพเลวมาก
พวกเด็กๆอดอยากมากถึงกับมาเดินเลาะอยู่ตามรั้วลวดหนามเพื่อคอยให้ใครโยนเศษอาหารหรือเศษขนมปังให้
วันหนึ่งมีข่าวออกมาว่าชาวเชโกกลุ่มที่ 2 นี้จะถูกกำจัด ปรากฏว่าข่าวนี้เป็นเรื่องจริง
ผู้ชายถูกนำตัวไปก่อน ต่อมาเป็นพวกผู้หญิง
ส่วนผู้ที่ยังเหลือคือเด็กและคนชรา ต่างก็ทราบดีว่าตัวเองไม่รอดแน่
จึงได้นำทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนมีอยู่มาแลกขนมปังและเนยเทียม เพราะอย่างน้อยต่างก็ต้องการรับประทานอาหารให้อิ่มก่อนที่จะตาย
บ่ายวันนั้นเด็กหนุ่มเชโกผู้หนึ่งซึ่งรักอยู่กับหญิงสาวชาวเวอร์ทรีทีรินในค่ายของดิฉัน
ได้ตะโกนกล่าวคำอำลาหญิงคนรักผ่านทางรั้วลวดหนามที่กั้นค่ายทั้งสองไว้ เด็กหนุ่มคนนี้รู้ดีว่าวันสุดท้ายของตนกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ
“เมื่อคุณมองเห็นเปลวไฟแรกพุ่งขึ้นจากเตาเผาศพในตอนเช้าตรู่”
เด็กหนุ่มตะโกน
“โปรดรู้ไว้เถิดที่รัก ว่านั่นคือคำอวยพรของผมที่จะให้แก่คุณก่อนจาก”
เด็กสาวได้ยินเช่นนั้นถึงกับเป็นลมล้มพับไป
เด็กหนุ่มมองหญิงคนรักเป็นลมผ่านทางรั้วลวดหนามด้วยน้ำตานองหน้า
เป็นที่เวทนาแก่ผู้พบเห็นทั่วไป ส่วนพวกเราก็ช่วยกันประคบประหงมเด็กสาวฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“ที่รัก”เด็กหนุ่มกล่าวต่อ
“ผมมีเพชรเม็ดหนึ่งตั้งใจจะมอบให้คุณเป็นของขวัญ
เพชรเม็ดนี้ขโมยมาในขณะผมทำงานอยู่ในคลังแคนาดา
แต่ขณะนี้ผมกำลังจะใช้มันติดสินบนเพื่อให้เขาอนุญาตให้ผมได้มีโอกาสข้ามมาอยู่กับคุณก่อนที่ผมจะตาย”
แล้วเด็กชายคนนั้นก็นำเพชรเม็ดนั้นไปจัดการตามที่ได้ตะโกนบอกหญิงคนรัก
อีกครู่หนึ่งต่อมาเขาก็ได้รับอนุญาตให้ข้ามมาหาคนรัก
ทุกคนต่างรู้ดีว่าจุดจบของค่ายเชโกกำลังใกล้เข้าทุกขณะ
อาจจะเป็นพรุ่งนี้หรืออาจจะภายใน 2-3 ชั่วโมงนี้ก็ได้
และทุกคนก็เกิดความสงสารหนุ่มน้อยเชโกผู้นี้มาก
หัวหน้าคุกของดิฉันถึงกับมอบห้องส่วนตัวให้หนุ่มสาวทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพัง
ส่วนนักโทษคนอื่นๆก็เป็นใจให้ โดยไปยืนข้างรนอกห้องคอยเป็นยามไปโดยปริยาย
ในตอนเข้าแถวเรียกชื่อบ่ายวันนั้นพวกนักโทษชาวเชโกถูกบังคับให้ถอดรองเท้า
นั่นเป็นสัญญาณว่าความตายกำลังใกล้เข้ามาเพียงแค่เอื้อม
พอตกกลางคืนรถบรรทุกหลายคันก็เข้ามาจอดในค่าย
นักโทษทุกคนที่ยังอยู่ในค่ายเชโกถูกบังคับให้ปีนขึ้นรถบรรทุก
บางคนพยายามขัดขืนแต่ก็ถูกยามรักษาการณ์ทุบตีบ้างพุ่งด้วยหลาวบ้าง
เรายืนพงผาโรงพยาบาลมองดูภาพอันน่าระทึกใจนั้น ส่วนหญิงสาวชาวเวอร์ทรีทิรินก็มองคนรักชาวเชโกของเธอในขณะถูกผลักเข้าไปในรถบรรทุก
เรายืนตัวสั่นอยู่ที่ข้างกำแพงโรงพยาบาลจนกระทั่งรุ่งอรุณ
ซึ่งก็เป็นช่วงที่รถบรรทุกคันสุดท้ายเพิ่งจะจากไป
เราเพ่งสายตามองไปดูควันไฟที่พุ่งออกจากปล่องเตาเผาศพ
อนิจจา...บัดนี้เพื่อนบ้านผู้น่าสงสารของเราได้กลายเป็นเถ้าถ่านไปเสียแล้ว
เมื่อแสงทองทาบขอบฟ้าในค่ายของนักโทษชาวเชโกก็มีแต่ความว่างเปล่า
มีสิ่งที่เหลืออยู่บ้างก็เพียงเศษขนมปัง ตุ๊กตาและเศษผ้า บัดนี้ไม่มีนักโทษชาวเชโก
8,000 ชีวิตอยู่ในค่ายนั้นอีกต่อไป.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น