Ads

วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 11 คลังมหาสมบัติ “แคนาดา”



ที่ค่ายเอาส์ชวิตซ์-เบอร์เคเนามีอาคารอยู่หลังหนึ่งเรียกกันว่า”แคนาดา” ภายในอาคารหลังนี้ใช้เป็นที่เก็บเสื้อผ้าและสมบัติต่างๆที่ยึดมาจากเชลยผู้ถูกเนรเทศมา ในขณะที่เดินทางมาถึงสถานีรถไฟ ในช่วงที่เข้าห้องรมก๊าซพิษ หรือในช่วงที่เป็นศพนำตัวไปที่ห้องเก็บก่อนเขาเตาเผา

อาคารแคนาดากลายเป็นคลังมหาสมบัติเนื่องจากพวกเยอรมันสนับสนุนให้ผู้ถูกเนรเทศนำของมีค่าติดตัวมาจากบ้าน โดยพวกเขาจะบอกผู้ถูกเนรเทศก่อนออกเดินทางว่าการนำของมีค่าติดตัวไปด้วยสามารถกระทำได้ไม่มีข้อห้ามแต่อย่างใด

การชี้แนะทางอ้อมเช่นนี้ได้ผลดีมากกว่าการแนะนำไปตรงๆว่าผู้ถูกเนรเทศควรนำเครื่องประดับมีค่าติดตัวไปด้วย เพราะการแนะนำเช่นนั้นอาจจะทำให้เกิดความสงสัยได้ 


โดยปกติผู้ถูกเนรเทศจะนำสิ่งของมีค่าติดตัวกันมาอย่างเต็มที่ เพราะหวังจะใช้ของมีค่านั้นซื้อความสะดวกสบายจากเจ้าหน้าที่เยอรมัน

ในกระเป๋าเดินทางของผู้ถูกเนรเทศจะมีสิ่งของเกือบทุกอย่าง เช่น ยาสูบ เสื้อแจ็คเก็ตขนสัตว์ หมูแฮมรมควัน จักรเย็บผ้าแบบหูหิ้ว ฯลฯ สิ่งของเหล่านี้จะถูกเจ้าหน้าที่ริบทรัพย์ประจำค่ายยึดเอามาเก็บไว้ในคลังแคนาดาทั้งสิ้น

ในคลังแคนาดามีผู้ชำนาญในการค้นหาทรัพย์ที่นักโทษซุกซ่อนมาในกระเป๋า พวกเขาจะค้นจนทั่วทุกซอกทุกมุม ผลก็คือสามารถรวบรวมสิ่งของได้อย่างมากมาย เพราะผลที่เห็นทันทาเช่นนี้ทำให้พวกเยอรมันไม่เสียดายกำลังพลเหมือนในที่อื่นๆ

ได้จัดกำลังพลมาทำหน้าที่มากมาย เป็นเจ้าหน้าที่ชาย 1,200 คน เป็นเจ้าหน้าที่หญิง 2,000 คน ทุกสัปดาห์จะมีรถไฟอย่างน้อย 1 ขบวนเดินทางออกจากค่ายเอาส์ชวิตซ์ไปประเทศเยอรมัน ซึ่งแต่ละขบวนบรรทุกสิ่งของที่ยึดจากนักทาเหล่านี้เต็มเพียบ

นอกจากสิ่งของต่างๆที่ยึดจากกระเป๋าเดินทางของนักโทษแล้ว ก็ยังมีสิ่งมีค่าอีกอย่างหนึ่งที่นำมาเก็บไว้ในคลังแห่งนี้ สิ่งนั้นคือผมที่ตัดจากนักโทษและจากศพของคนตาย

ในบรรดาสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในคลังแคนาดา สิ่งที่เห็นแล้วเกิดความสะเทือนใจมากที่สุดก็คือรถเข็นเด็กที่นำมาเก็บเรียงรายเอาไว้ แสดงว่าพวกเยอรมันได้สังหารเด็กทารกไปเป็นจำนวนมากมาย ที่สำหรับเก็บรองเท้าและของเล่นของเด็กทารกก็เป็นอีกที่หนึ่งที่เห็นแล้วเกิดความหดหู่ใจเป็นที่สุด

นักโทษคนใดได้เป็นเจ้าหน้าที่หรือคนงานในคลังแคนาดาถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่เหล่านี้มักจะฉวยโอกาสขโมยสิ่งของในคลังไปเป็นของตน แม้จะเสี่ยงกับการถูกลงโทษอย่างหนักก็ตาม

แต่เมื่อพวกเยอรมันทำอย่างนั้นบ้างจะไม่ถูกลงโทษแต่อย่างใด พวกนี้มักจะมาตรวจดูสิ่งของในคลังอยู่เสมอ เวลากลับก็จะหยิบฉวยของมีค่า เช่น เครื่องเพชร เครื่องประดับทองคำ กล้องถ่ายรูป และกล่องบุหรี่ เป็นต้น


พนักงานส่วนใหญ่ขโมยสิ่งของเพื่อนำไปแลกกับเสรีภาพของตน ในช่วงที่ดิฉันอยู่ในค่ายมีพนักงานหลายคนขโมยสิ่งของจากคลังแคนาดานำไปติดสินบนเจ้าหน้าที่เยอรมันเพื่อปล่อยให้หลบหนีไปจากค่ายอย่างสะดวก แต่ก็หนีไปไม่ได้แม้แต่รายเดียว

คือพวกเยอรมันจะรับสินบนของคนเหล่านั้นไว้ แต่เมื่อเวลาหนีแทนที่จะอำนวยความสะดวกให้ผู้ติดสินบนได้หนีกลับหักหลังยิ่งคนเหล่านี้ทิ้งราวกับสุนัขถูกตามล่า

ปกติสิ่งของที่ถูกขโมยจากคลังแคนาดาจะถูกนำไปจำหน่ายในตลาดมืดที่มีอยู่ในค่าย

ถึงแม้ว่าจะมีมาตรการห้ามเด็ดขาดอย่างไร พวกเราก็ยังแอบไปหาซื้อสินค้าในตลลาดมืดกัน ซึ่งราคาสินค้าขึ้นอยู่กับว่าหายากหรือไม่ มีแจกจ่ายในค่ายพอหรือไม่ อัตราการเสี่ยงที่จะได้มามีมากเพียงใด

ดังนั้นจึงไม่เป็นเรื่องที่น่าแปลกในที่เนยเทียมเนยแท้และเนื้อสัตว์มีราคาสูงลิบลิ่ว เนยเทียมน้ำหนัก 1 ปอนด์มีราคา 250 มาร์ค(หรือประมาณ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ) เนยแท้กิโลกรัมละ 500 มาร์ค เนื้อสัตว์กิโลกรัมละ 1,000 มาร์ค บุหรี่ซองละ 7 มาร์ค ส่วนราคาแป้งผัดหน้าไม่แน่นอนขึ้นลงอยู่เป็นประจำ

มีเพียงไม่กี่คนที่มีกำลังเงินพอที่จะซื้อของฟุ่มเฟือยเหล่านี้มาบริโภคได้ เห็นจะมีก็เฉพาะเจ้าหน้าที่หรือคนงานในคลังแคนาดาเท่านั้นที่มีปัญญาหาซื้อของเหล่านั้นมาใช้ได้

โดยพวกเขาจะคิดต่อกับบุคคลที่ทำงานอยู่นอกค่ายหรือไม่ก็ยามรักษาการณ์ เพื่อนำของมีค่าไปแลกเป็นเงินหรือสิ่งที่หายาก 

การค้าขายในตลาดมืดแบบนี้เจ้าหน้าที่นคลังแคนาดามักจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ บางทีเพชรพลอยราคาแพงๆใช้แลกเหล้าไวน์ธรรมดาได้เพียงขวดหนึ่งเท่านั้นเอง

เจ้าหน้าที่ที่ทำงานในโรงครัวก็เป็นอีกพวกหนึ่งที่ทำการค้าในตลาดมืด พวกนี้มีศักดิ์ศรีดีกว่านักโทษธรรมดา สามารถหาอาหารดีๆในโรงครัวมาบริโภคได้

นอกจากนั้นทุกคนก็ยังมีเสื้อผ้าดีๆสวมใส่เนื่องจากใช้ระบบแลกเปลี่ยนสินค้า พวกคนครัวจะขโมยอาหารไปแลกรองเท้าหรือเสื้อคลุมเก่าๆมาใช้ ทุกวันในตอนเย็นๆระหว่าง 5 โมงเย็นถึง 1 ทุ่มจะมีการค้าขายแบบตลาดมืดนอกคุกแห่งหนึ่ง

การค้าขายแบบนำสินค้าไปแลกเปลี่ยนกันนี้เป็นผลมาจากการขาดแคลนสิ่งของภายในค่าย จึงนับว่ายากที่ผู้ใดจะหลีกเลี่ยงได้ ดิฉันเองก็เคยทำมาเหมือนกัน โดยครั้งหนึ่งเคยอดขนมปังที่ได้รับแจกอยู่ถึง 8 วันเพื่อเก็บสะสมมันไปแลกผ้ามาตัดกระโปรงให้พยาบาลที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลของเรา

 และก็เคยอดน้ำซุปอยู่ 3 วันเพื่อนำไปเป็นค่าจ้างให้เขาเย็บกระโปรงตัวนั้น เรื่องอาหารการกินและเรื่องเครื่องนุ่งห่มเป็นปัญหาที่พวกเราต้องเผชิญอยู่ตลลอดเวลา

ไหนๆก็เล่าถึงตลาดมืดแล้วดิฉันใคร่ขออนุญาตเล่าถึงเรื่อง ค่ายของชาวยิวเชโก ซึ่งค่ายนี้เป็นแหล่งที่มีเสื้อผ้ามากมายอยู่หลายเดือน

นักโทษในค่ายของดิฉันหลายคนต้องการเสื้อผ้าจากค่ายเชโก จึงไปต่อรองกันอยู่ครู่หนึ่ง เสร็จแล้วก็ใช้วิธีขว้างขนมปังและเนยเทียมที่ได้รับแจกข้ามรั้วลวดหนามไปยังค่ายของชาวเชโก

อีกครู่หนึ่งต่อมาพวกที่อยู่ในค่ายเชโกก็ขว้างเสื้อผ้ามาให้นักโทษในค่ายของดิฉัน นับว่าเป็นธุรกิจที่ออกจะเสี่ยงไปสักหน่อย เพราะถ้ายามรักษาการณ์มาเห็นเข้าก็อาจถูกยิงได้ง่ายๆหรือมิฉะนั้นเสื้อผ้าที่โยนมานั้นอาจจะเกี่ยวค้างอยู่บนรั้วลวดหนามก็ได้ แต่ก็อย่างว่าล่ะ ไม่เสี่ยงก็ไม่ได้

ทำไมพวกเชโกจึงมีเสื้อผ้ามากกว่าพวกเรา คิดว่าน่าจะเป็นเพราะระบบการบริหารค่ายไม่เคร่งครัดปล่อยปละละเลย หรือไม่ก็เพราะผู้มีอิทธิพลในประเทศเชโกสโลวะเกียเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ 


เหตุผลประการหลังมีคนเล่าลือกันมาก ในตอนต้นฤดูร้อนปี ค.ศ. 1943 ผู้ถูกเนรเทศจากประเทศเชโกสโลวะเกียที่มากับรถไฟขบวนหนึ่ง ไม่ต้องผ่านกรรมวิธีปฏิบัติกันตามปกติ คือ ไม่มีการคัดเลือกตัว ไม่มีการยึดกระเป๋าเดินทาง ไม่ถูกกล้อนผม

นอกจากนั้นผู้ชายได้รับการยกเว้นจากการบังคับใช้แรงงาน และครอบครัวยังอยู่ด้วยกันได้เป็นปกติ ซึ่งเป็นกรณีพิเศษที่ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ถูกเนรเทศชาติอื่นในค่ายเบอร์เคเนาได้รับอภิสิทธิ์เช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการจัดตั้งโรงเรียนสอนเด็กๆในค่ายของพวกเชโกเสียอีกด้วย

พวกเชโกเป็นพวกเดียวที่ยังคงได้รับพัสดุภัณฑ์จากทางบ้านเป็นปกติ พวกเขาเคยถือโอกาสใช้อภิสิทธิ์ร้องขอให้เจ้าหน้าที่เยอรมันจ่ายสิ่งที่เป็นประโยชน์อื่นๆโดยเฉพาะผ้าขนสัตว์ เพื่อนำมาตัดเย็บเสื้อผ้ากันหนาวเพื่อใช้เองบ้าง เพื่อนำมาแลกเปลี่ยนกับสิ่งของจากนักโทษค่ายอื่นบ้าง

แต่อภิสิทธิ์เหล่านี้มีอยู่ในช่วงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น หลังจาก 6 เดือนแล้วเขาก็เลิกให้อภิสิทธิ์ มีอยู่วันหนึ่งพวกนักโทษชาวเชโกทราบข่าวมาว่าพวกเยอรมันกำลังเตรียมการเพื่อกำจัดพวกตนจึงทำการลุกฮือขึ้นต่อต้านทันที แต่กระทำการไม่สำเร็จ

เพราะในนาทีสุดท้ายนั้น ผู้นำการต่อต้านซึ่งเป็นศาสตราจารย์จากกรุงปร๊ากถูกลอบวางยาพิษเสียชีวิต ราชินีประจำค่ายซึ่งเคยเป็นอาชญากรหญิงที่ดุร้ายที่สุดสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้

ในตอนเย็นวันรุ่งขึ้นหลังจากเหตุการณ์นั้น พวกเยอรมันได้นำไปรษณียบัตรมาแจกจ่ายนักโทษเชโกให้เขียนถึงญาติสนิทของตน โดยให้แจ้งไปว่าตนอยู่สุขสบายดี กับขอให้ญาติส่งพัสดุภัณฑ์มาให้ 


อีก2-3 ชั่วโมงต่อมาหลังจากเขียนไปรษณียบัตรนักโทษชาวเชโกที่เป็นคนชรา เด็ก คนป่วยและคนมีสุขภาพไม่แข็งแรงก็ถูกนำตัวไปประหารชีวิตทั้งหมด

เพราะไปรษณียบัตรเหล่านั้นทำให้ผู้ถูกเนรเทศชาวเชโกรุ่นที่ 2 เดินทางมาอยู่ในค่ายแทนพวกแรก


ดิฉันได้มีโอกาสติดต่อกับชาวเชโกรุ่นที่ 2 นี้ จึงทราบว่าพวกเขาได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดีเหมือนกับพวกแรก ยกเว้นในกรณีของอาหารซึ่งนับว่ามีสภาพเลวมาก พวกเด็กๆอดอยากมากถึงกับมาเดินเลาะอยู่ตามรั้วลวดหนามเพื่อคอยให้ใครโยนเศษอาหารหรือเศษขนมปังให้

วันหนึ่งมีข่าวออกมาว่าชาวเชโกกลุ่มที่ 2 นี้จะถูกกำจัด ปรากฏว่าข่าวนี้เป็นเรื่องจริง ผู้ชายถูกนำตัวไปก่อน ต่อมาเป็นพวกผู้หญิง

ส่วนผู้ที่ยังเหลือคือเด็กและคนชรา ต่างก็ทราบดีว่าตัวเองไม่รอดแน่ จึงได้นำทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนมีอยู่มาแลกขนมปังและเนยเทียม เพราะอย่างน้อยต่างก็ต้องการรับประทานอาหารให้อิ่มก่อนที่จะตาย

บ่ายวันนั้นเด็กหนุ่มเชโกผู้หนึ่งซึ่งรักอยู่กับหญิงสาวชาวเวอร์ทรีทีรินในค่ายของดิฉัน ได้ตะโกนกล่าวคำอำลาหญิงคนรักผ่านทางรั้วลวดหนามที่กั้นค่ายทั้งสองไว้  เด็กหนุ่มคนนี้รู้ดีว่าวันสุดท้ายของตนกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ

“เมื่อคุณมองเห็นเปลวไฟแรกพุ่งขึ้นจากเตาเผาศพในตอนเช้าตรู่” เด็กหนุ่มตะโกน

“โปรดรู้ไว้เถิดที่รัก ว่านั่นคือคำอวยพรของผมที่จะให้แก่คุณก่อนจาก”

เด็กสาวได้ยินเช่นนั้นถึงกับเป็นลมล้มพับไป เด็กหนุ่มมองหญิงคนรักเป็นลมผ่านทางรั้วลวดหนามด้วยน้ำตานองหน้า เป็นที่เวทนาแก่ผู้พบเห็นทั่วไป ส่วนพวกเราก็ช่วยกันประคบประหงมเด็กสาวฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

“ที่รัก”เด็กหนุ่มกล่าวต่อ

“ผมมีเพชรเม็ดหนึ่งตั้งใจจะมอบให้คุณเป็นของขวัญ เพชรเม็ดนี้ขโมยมาในขณะผมทำงานอยู่ในคลังแคนาดา แต่ขณะนี้ผมกำลังจะใช้มันติดสินบนเพื่อให้เขาอนุญาตให้ผมได้มีโอกาสข้ามมาอยู่กับคุณก่อนที่ผมจะตาย”

แล้วเด็กชายคนนั้นก็นำเพชรเม็ดนั้นไปจัดการตามที่ได้ตะโกนบอกหญิงคนรัก อีกครู่หนึ่งต่อมาเขาก็ได้รับอนุญาตให้ข้ามมาหาคนรัก

ทุกคนต่างรู้ดีว่าจุดจบของค่ายเชโกกำลังใกล้เข้าทุกขณะ อาจจะเป็นพรุ่งนี้หรืออาจจะภายใน 2-3 ชั่วโมงนี้ก็ได้ และทุกคนก็เกิดความสงสารหนุ่มน้อยเชโกผู้นี้มาก

หัวหน้าคุกของดิฉันถึงกับมอบห้องส่วนตัวให้หนุ่มสาวทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพัง ส่วนนักโทษคนอื่นๆก็เป็นใจให้ โดยไปยืนข้างรนอกห้องคอยเป็นยามไปโดยปริยาย

ในตอนเข้าแถวเรียกชื่อบ่ายวันนั้นพวกนักโทษชาวเชโกถูกบังคับให้ถอดรองเท้า นั่นเป็นสัญญาณว่าความตายกำลังใกล้เข้ามาเพียงแค่เอื้อม

พอตกกลางคืนรถบรรทุกหลายคันก็เข้ามาจอดในค่าย นักโทษทุกคนที่ยังอยู่ในค่ายเชโกถูกบังคับให้ปีนขึ้นรถบรรทุก บางคนพยายามขัดขืนแต่ก็ถูกยามรักษาการณ์ทุบตีบ้างพุ่งด้วยหลาวบ้าง

เรายืนพงผาโรงพยาบาลมองดูภาพอันน่าระทึกใจนั้น ส่วนหญิงสาวชาวเวอร์ทรีทิรินก็มองคนรักชาวเชโกของเธอในขณะถูกผลักเข้าไปในรถบรรทุก

เรายืนตัวสั่นอยู่ที่ข้างกำแพงโรงพยาบาลจนกระทั่งรุ่งอรุณ ซึ่งก็เป็นช่วงที่รถบรรทุกคันสุดท้ายเพิ่งจะจากไป เราเพ่งสายตามองไปดูควันไฟที่พุ่งออกจากปล่องเตาเผาศพ อนิจจา...บัดนี้เพื่อนบ้านผู้น่าสงสารของเราได้กลายเป็นเถ้าถ่านไปเสียแล้ว

เมื่อแสงทองทาบขอบฟ้าในค่ายของนักโทษชาวเชโกก็มีแต่ความว่างเปล่า มีสิ่งที่เหลืออยู่บ้างก็เพียงเศษขนมปัง ตุ๊กตาและเศษผ้า บัดนี้ไม่มีนักโทษชาวเชโก 8,000 ชีวิตอยู่ในค่ายนั้นอีกต่อไป.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น