ในเช้าวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 1944
กองกำลังทหารของหน่วยเอสเอสส่วนหนึ่งได้เดินทางมาที่โรงพยาบาลและช่วยกันขนเครื่องมือแพทย์ที่ยังใช้การได้ดีไปขึ้นรถบรรทุก
ในเวลาเที่ยงคืนของวันเดียวกันนี้ทหารของหน่วยเอสเอสอีกกลุ่มหนึ่งก็มาที่โรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง
และได้ออกคำสั่งให้พวกเรารวบรวมทะเบียนประวัติคนไข้เสร็จแล้วพวกเขาก็เดินตรงไปที่”ที่ทำการฝ่ายการเมือง”ประจำค่ายในทันที
อีกครึ่งชั่วโมงต่อมาเอกสารทั้งหมดก็ถูกนำไปกองไว้ที่ที่ทำการฝ่ายการเมืองนั้น
เอกสารเหล่นี้วางกองสุมกันอยู่บนพื้นสูงท่วมหัวแล้วเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสคนหนึ่งก็ได้จุดไฟเผา
ราชินีประจำค่ายได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลและแจ้งให้ทุกคนรู้ว่าจะมีการอพยพโยกย้ายไปจากค่าให้นักโทษทุกคนรวบรวมเสื้อผ้าเพื่อเตรียมไว้บรรเทาในขณะเดินทาง
ตามข่าวที่ราชินีประจำค่ายรู้มานั้นพวกเราต้องเดินทางไปอยู่ในดินแดนของประเทศเยอรมัน
อย่างไรก็ดีราชินีประจำค่ายได้กล่าวด้วยท่าทางเศร้าๆว่า
แผนการนี้อาจเปลี่ยนแปลงตามความเหมะสม
พวกเยอรมันอาจตัดสินใจทำอย่างอื่นกับชะตาชีวิตของพวกเราก็ได้
แต่สำหรับนักโทษที่ป่วยนั้นก็เป็นที่แน่นอนว่าพวกเยอรมันจะให้อยู่ในค่ายต่อไป
การกระทำของพวกเยอรมันในครั้งนี้
ถึงจะไม่บอกพวกเราทุกคนก็รู้อย่างปราศจากความสงสัยว่าพวกเยอรมันมีแผนที่จะกำจัดคนไข้ก่อนที่กองทหารรัสเซียซึ่งอยู่ไม่ไกลจากนี้จะเข้ายึดครอง
สำหรับพวกเราในขณะนี้มีทางเลือกอยู่ 2 อย่าง คือ
อย่างหนึ่งหลบซ่อนอยู่แห่งใดแห่งหนึ่งในค่ายและรอการปลดปล่อย sหรือย่างที่
2 เดินทางไปพร้อมกับนักโทษอื่นๆแล้วหาทางหลบหนีในขณะเดินทางซึ่งมันก็เสี่ยงทั้ง 2
ทาง เพราะถึงพวกเราจะเดินทางไปจนถึงดินแดนของเยอรมันแต่ในที่สุดก็ต้องตายอยู่ดี
ข่าวที่ว่าจะมีการอพยพค่ายนี้ได้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว
นักโทษทั้งหลายต่างพากันอาออกันอยู่ใกล้รั้วลวดหนามที่กั้นค่ายนักโทษหญิงและนักโทษชายเอาไว้
นักโทษหญิงชายที่เป็นสามีภรรยาคนรักเพื่อนฯลฯต่างกล่าวคำอำลากันด้วยความเศร้าท่ามกลางเสียงร้องไห้ระงม
เพราะทกคนต่างไม่รู้ว่าในอนาคตจะได้พบกันอีกหรือไม่
ทุกคนตกอยู่ในภาวะสับสนวุ่นวายใจ บ้างก็ตะโกนข้ามรั้วลวดหนามบอกที่อยู่
ที่นัดพบกันหลังสงครามสิ้นสุดลง
พวกเยอรมันไม่ยอมให้มีการจดทันทึกข้อความใดๆทั้งสิ้น
ดังนั้นพวกนักโทษจึงต้องพยายามจดจำถ้อยคำต่างๆในวันนั้นไว้อย่างสุดความสามารถ
มีข่าวกระเซ็นกระสายออกมาเป็นระลอกๆ
บ้างก็ว่าพวกเราจะถูกนำไปสังหารในระหว่างการเดินทาง
บ้างก็ว่าพวกรัสเซียจะเดินทางมาถึงภายในเวลา 2-3 ชั่วโมงที่จะถึงนี้ ดังนั้นก็ควรรอคอยทหารรัสเซียอยู่ที่นี่ไม่ควรเดินทางไปกับพวกเยอรมัน
ในโรงพยาบาลก็เกิดการสับสนอลหม่าน
พวกคนไข้เกิดความตื่นตระหนก ผู้ที่พอจะมีกำลังเหลืออยู่บ้างก็ลุกขึ้นจากเตียงเพื่อมาขอเสื้อผ้าของตนคืนซึ่งพวกเราก็ได้แจกคืนให้เท่าที่มีอยู่
แต่ก็ให้ได้เพียงไม่กี่คน
พวกเราคงปฏิบัติตามคำสั่งโยให้การดูแลรักษาคนไข้อยู่ต่อไป
ในกลุ่มของพวกเรามีความเห็นที่แตกแยกกัน
บางคนตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในกุล่มนี้มีแพทย์หญิงชาวอิตาเลียนชื่อมารีน
เนตตีรวมอยู่ด้วย
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งเกิดความรู้สึกว่าตนเองไม่แข็งแรงพอที่จะเดินทางไกลไปกับพวกเยอรมันได้
แต่สำหรับพวกคนป่วยนั้นต่างมีใจเป็นหนึ่งเดียวว่าถึงอย่างไรก็ต้อไปกับพวกเยอรมันให้ได้
ผู้ที่ไม่มีเสื้อผ้าก็เอาผ้าห่มมาพันกาย แต่ไม่มีผู้ป่วยคนใดเลยที่มีรองเท้าและถุงเท้า
ทุกคนจึงตรงเข้าไปยื้อแย่งรองเท้าไม้ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่สิบคู่ที่พวกเยอรมันให้ไว้ใช้ในโรงพยาบาล
ซึ่งปกติแล้วรองเท้าคู่หนึ่งๆจะเอาไว้สำหรับนักโทษจำนวน 20
คนได้ใช้ร่วมกันในเวลาจะไปห้องสุขาเท่านั้น
ในตอนเช้าพวกเยอรมันเรียกนักโทษทั้งหมดไปเข้าแถวที่ถนนใหญ่ที่ตัดผ่านตรงกึ่งกลางของค่าย
ต้องไปยืนเข้าแถวคอยอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานเกือบ 2
ชั่วโมงทั้งๆที่อากาศหนาวเหน็บจนจับขั้วหัวใจ หลังจากนั้นนักโทษก็ถูกปล่อยให้กลับเข้าไปอยู่ในคุกตามเดิม
ในตอนบ่ายผู้บัญชาการค่ายคนใหม่ก็เดินทางมาถึงพร้อมด้วยคณะผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก
ทันทีที่มาถึงก็มีการโหมการคัดเลือกคนไข้ทั้งหมดทั้งที่ป่วยจริงและที่เพียงสุขภาพร่างกายอ่อนแอ
แล้วก็ให้คนไข้เหล่านั้นกลับเข้าคุกเช่นเดิม
คนไข้บางคนได้พยายามจะหลบหนีเข้าไปอยู่ในกลุ่มของผู้เดินทางออกจากค่าย
เจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสผู้ไร้ความเมตตาได้ใช้ไม้กระบองไล่ตีและใช้ปืนพกยิงขู่
กวาดต้อนคนไข้เหล่านั้นกลับเขาคุกของตนๆ
ขณะที่พวกเราเข้าแถวอยู่นั้นดิฉันได้ปลีกตัวออกจากแถวไปเดินดูภายในโรงพยาบาลเป็นครั้งสุดท้าย
ปรากฏว่าขณะนั้นภายในโรงพยาบาลไม่มีระเบียบวินัยใดๆเหลืออยู่เลย
คนไข้เกือบทั้งหมดลงจากเตียงมารวมกันอยู่รอบๆเตาไฟที่กลางห้อง
บ้างก็เข้าไปในห้องของหัวหน้าคุก รวมรวมอาหารที่พบในห้องนั้นมาทอดเป็นขนมพลาสกีกินกันอย่างเอร็ดอร่อย
ก่อนที่ดิฉันจะกลับมาเข้าแถวอีกครั้งหนึ่งนั้นดิฉันได้ฉีดยาระงับความเจ็บปวดให้กับผู้ที่กำลังป่วยหนักคนหนึ่ง
พอถึงตอนนี้ดิฉันชักเกิดความลังเลใจว่า จะอยู่หรือจะไปดีนะ
เพื่อนๆก็มาเรียกให้ดิฉันรีบไปเข้าแถว
ส่วนผู้ที่ต้องการอยู่ในค่ายต่อไปก็มาเรียกให้อยู่กับพวกเขา
เมื่อกลับเข้าแถวอีกครั้งหนึ่งดิฉันมองไปอีกฟากหนึ่งของรั้งลวดหนามก็เห็นแถวอันยาวเหยียดของนักโทษชายกำลังเตรียมตัวเดินทางเช่นเดียวกัน
และเมื่อมองสำรวจไปทั่วบริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาลของค่ายเบอร์เคเนาก็เห็นเปลวไฟกำลังลุกโชติช่วงไหม้กองกระดาษอยู่ที่หน้าค่ายดี.
ค่ายซี.และค่ายบี.
แน่นอนว่าพวกเยอรมันกำลังทำลายหลักฐานการประกอบอาชญากรรมของพวกตนเพราะไม่ต้องการให้เหลือร่องรอยไว้ให้ตกไปถึงมือของทหารรัสเซีย
อีกไม่กี่นาทีต่อมานักโทษหญิงคนหนึ่งก็ละล่ำละลักพูดขึ้นว่า
“เร็วๆเข้าเดี๋ยวไม่ทันพวกผู้ชายนะ”
ประตูค่ายได้ถูกเปิดออกแล้วกองทหารหน่วยเอสเอสกรูกันออกไปจ่ายค่าย
ติดตามด้วยนักโทษกลุ่มหนึ่ง พวกเรารีบวิ่งไปคว้าสิ่งของที่เตรียมไว้สำหรับเดินทาง
ดิฉันได้ฉุกคิดขึ้นมาในทันทีว่ายังไม่มีอาหารเพราะหากจะต้องเดินทางไกลกันเป็นเวลานานหลายวันพวกเราอาจหิวตายไปก็ได้
“เดี๋ยวก่อนๆ”ดิฉันตะโกนไล่หลังของเพื่อนๆที่กำลังวิ่งไปเอาห่อสิ่งของ
“พวกเรายังไปไม่ได้
ไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่มีอาหารเป็นเสบียงในการเดินทาง
มาช่วยกันพังประตูคลังเก็บของกันก่อน”
ดิฉันจำไม่ได้ว่าเสียงที่ตะโกนออกไปนั้นดังขนาดไหน
แต่มันก็ทำให้เพื่อนๆหลายคนชุดชะงักแล้วดิฉันก็ตะโกนซ้ำอีกครั้ง
จากนั้นพวกเราก็คว้าพลั่วและอุปกรณ์ต่างๆที่พวกกรรมกรทิ้งไว้ตรงไปที่คลังเก็บของ
ในขณะเดียวกันนั้นก็มียามรักษาการณ์หน่วยเอสเอส 2
คนขี่จักรยานผ่านมาแต่เราก็ไม่ได้ให้ความสนใจยังคงช่วยกันพังประตูคลังเก็บของต่อไปและได้ขนมปังมาตามที่ต้องการ
พอถึงตอนนี้พวกเรามีความกล้าพอที่จะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างได้แล้ว
ยิ่งมาเห็นผลสำเร็จจากการทำลายประตูคลังเก็บของก็ยิ่งมีกำลังใจมากยิ่งขึ้นว่าสามารถทำลายสิ่งของของผู้ที่เคยกดขี่ข่มเหงพวกเราได้สำเร็จ
“ขอให้ค่ายนรกจงพินาศๆ” พวกเราตะโกนร้องพร้อมกัน
“ขอให้ค่ายนรกจงพินาศ เสรีภาพจงเจริญๆ”
ภาพที่เห็นอยู่นั้นเป็นภาพที่ดิฉันและเพื่อนนักโทษเคยใฝ่ฝันอยากจะเห็นกันมานานแล้ว
และก็ได้เห็นสมใจนึก
ยิ่งนึกถึงตอนที่เคยทุกข์ทรมานจากความหิวโหยมาไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนครั้ง
ก็ยิ่งมีใจฮึกเหิมอยากจะทำอะไรที่มันสะใจมากยิ่งขึ้น
“เมื่อกองทัพรัสเซียบุกเข้ามาใกล้กว่านี้อีกหน่อย
พวกเราก็จะช่วยกันปล้นคลังเก็บขนมปังกันอีก จริงไหมพวกเธอ” ดิฉันตะโกนบอกเพื่อนๆ
“เยี่ยมไปเลย”
พวกเพื่อนๆตะโกนตอบพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะครืนเครงด้วยความพอใจ
เมื่อพวกเรามีเสบียงเพียงพอแล้วดิฉันก็รีบวิ่งกลับไปที่คุกเพื่อจัดการเรื่องส่วนตัวของตัวเองได้รวบรวมสิ่งของลงกล่อง
ส่วนผ้าห่มก็ม้วนกลมๆมัดหัวท้ายเหมือนกับเป้ทหาร
ในขณะนั้นดิฉันมีอารมณ์เหมือนคนบ้าคลั่ง
รู้สึกเหมือนแก้มสองข้างของตัวเองร้อนผ่าว คิดแต่ว่าบัดนี้ศัตรูใกล้จะพินาศแล้วและดิฉันเองได้เป็นผู้เปิดฉากแรกเพื่อนำไปสู่การปลดปล่อยมวลนักโทษ
ซึ่งได้รับการกดขี่ข่มเหงถูกสังหารชีวิตไปจนเหลือที่จะนับ
พวกเราวิ่งกรูไปทางประตูค่าย
ตรงจุดนั้นได้ยินเสียงระเบิดอังแว่วๆมาแต่ไกล นั่นคงเป็นเสียงปืนใหญ่กระกระมัง?
“ไชโยๆ”เสียงโห่ร้องดังขึ้นกึกก้อง
มียามรักษาการณ์ 3 คนยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูด้านหน้า
ก่อนที่จะปล่อยให้พวกเราออกไปพวกยามเหล่านี้ก็ใช้ไฟฉายส่องหน้าพวกเราทีละคน
เป็นการคัดเลือกตัวอีกครั้งหนึ่ง ผู้ที่พวกยามเห็นว่าแกเกินไปหรืออ่อนแอจนเกินไปก็จะถูกผลักดันให้กลับเข้าไปอยู่ในค่ายตามเดิม
เมื่อออกไปอยู่นอกค่ายกันแล้วพวกเราก็ไปเข้าแถวเรียงห้าเหมือนเคยที่ทำมา
แต่ครั้งนี้ต้องยืนรอนานถึง 2 ชั่วโมงกว่าจะพร้อมกัน
เพราะขบวนที่จะเดินทางไปครั้งนี้มีนักโทษหญิงถึง 6,000 คน
ต่อมาเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสก็เปิดประตูค่ายทุกด้านออก
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว คำสั่งเคลื่อนขบวนก็ดังขึ้น
แล้วขบวนของพวกเราก็เริ่มออกเดินทาง
เป็นไปได้หรือนี่ที่พวกเราสามารถออกจากค่ายเบอร์เคเนาได้ทั้งๆที่ยังมีลมหายใจอยู่?
หลังจากเดินทางไปได้สักระยะหนึ่งก็ถึงทางทางโค้ง
พวกเราต่างเหลียวหลังกลับไปมองค่ายเบอร์เคเนาค่ายนรกที่พวกเราเคยทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสเป็นครั้งสุดท้าย
ดิฉันหวนนึกถึงเย็นวันที่เดินทางมาถึงค่ายในท่ามกลางคนที่ดิฉันรัก
คือ สามี บุตร 2 คน และบิดามารดา ค่ำวันนั้นทั่วทั้งค่ายสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ
แต่มาบัดนี้ทุกสิ่งทุกอย่างในค่ายตกอยู่ในความมดมิด
มีเพียงแสงสลัวๆของไฟที่กรุ่นจากการเผาเอกสารหลักฐานการทำลายล้างมนุษยชาติเท่านั้นที่ช่วยทำให้เราสามารถมองเห็นเงาตะคุ่มๆของคุกแดนต่างๆและแนวรั้วลวดหนามได้บ้าง
ในช่วงนี้ดิฉันคิดถึงบิดามารดาบุตรและสามีมากเหลือเกิน
ความเศร้าโศกและตรอมใจที่ไม่เคยห่างหายไปจากดวงใจมันยิ่งโถมทับเข้ามาในใจอย่างท่วมท้น
ดิฉันมีหน้าที่ที่จะต้องแก้แค้นแทนพวกเขาให้จงได้
และการที่จะแก้แค้นได้นั้นอันดับแรกดิฉันต้องได้รับเสรีภาพเสียก่อน
ซึ่งเมื่อมีโอกาสเมื่อใดดิฉันจะต้องหลบหนีไปให้ได้
ทันใดนั้นเองพวกเราก็ได้ยินเสียงกัมปนาทราวกับแผ่นดินไหวเริ่มดังขึ้น
นั่นเป็นเสียงปืนใหญ่ที่ยิงปะทะกันอยู่ไม่ไกลจากป่าแห่งนี้เท่าใดนัก
แสดงว่ากองกำลังทหารรัสเซียฝ่ายสัมพันธมิตรของพวกเราได้เคลื่อนทัพเข้ามาใกล้จนมีระยะห่างกันเพียงแค่วิถีกระสุนปืนใหญ่เท่านั้นเอง
เจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสสั่งให้พวกเราเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น
ขณะที่พวกเราเดินห่างออกไปนั้นแสงไฟจากค่ายนรกก็ค่อยๆสลัวดำมืดลงทีละน้อยๆ
บัดนี้ค่ายเบอร์เคเนาโรงงงานทำลายล้างมนุษยชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ก็ได้เริ่มเล็กลงๆจนกระทั่งหายลับไปจากสายตาในที่สุด.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น