เนื่องจากว่าพวกเราตกอยู่ในสภาพถูกกดขี่ข่มเหงอย่างรุนแรงจึงทำให้มีการต่อต้านพวกเยอรมันเกิดขึ้นในค่ายโดยอัตโนมัติ
การต่อต้านปรากฏให้เห็นในรูปแบบต่างๆจะพบเห็นกันอยู่เสมอตลอดระยะเวลาที่พวกเรามีชีวิตอยู่ในค่าย
เมื่อคนงานในคลังแคนาดาขโมยสิ่งของที่พวกเยอรมันเตรียมไว้เพื่อส่งต่อไปยังประเทศเยอรมันมาได้แล้วก็จะนำมาแจกจ่ายแก่เพื่อนนักโทษในค่าย
การกระทำของคนงานในคลังแคนาดาดังกล่าวนี้จัดว่าเป็นการต่อต้านเยอรมันได้ประเภทหนึ่ง
การต่อต้านในรูปแบบอื่นๆ เช่น
กรรมกรในโรงงานปั่นด้ายรวมหัวกันทำงานอย่างเฉื่อยชาเพื่อให้เกิดผลผลิตน้อยลง
เมื่อถึงวันคริสต์มาสพวกเราในโรงพยาบาลสามารถจัดงานเฉลิมฉลองกันในงานสำคัญทางศาสนาเช่นนี้ได้อย่างสำเร็จทั้งๆที่พวกเยอรมันห้ามไว้อย่างเด็ดขาด
การส่งจดหมายลับจากค่ายหนึ่งไปยังอีกค่ายหนึ่ง
หรือการช่วยเหลือนักโทษชายที่เป็นญาติๆกันแต่อยู่คนละค่ายให้ได้มีโอกาสไปอยู่รวมกันโยวิธีการสับเปลี่ยนนักโทษคนหนึ่งกับอีกคนหนึ่งที่ทำหน้าที่หามเปลคนไข้
ลักษณะต่างๆดังกล่าวนี้ก็คือว่าเป็นการปฏิบัติการต่อต้านเยอรมันได้อีกเหมือนกัน
การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นภาระหน้าที่สำคัญของขบวนการใต้ดินของพวกเรา
ซึ่งปกติแล้วพวกเราจะไม่ทำอะไรที่รุนแรงมากไปกว่านี้
แต่ก็มีบางรายที่กล้าหาญมากๆถึงกับปฏิบัติการเข้าข่ายก่อการจลาจลเลยก็มี
ยกตัวอย่างเช่น
นักโทษคนหนึ่งแย่งปืนพกจากเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสแล้วใช้ปืนพกนั้นตีศีรษะของเจ้าหน้าที่ผู้นั้น
แม้ว่าอย่างนี้จะเป็นการกระทำที่แสดงออกถึงความกล้าหาญแต่ก็ให้โทษอย่างใหญ่หลวงต่อนักโทษโดยส่วนรวม
เพราะพวกเยอรมันจะไม่เล่นงานเฉพาะนักโทษคนนั้นเท่านั้นแต่จะทำการตอบโต้ด้วยการเล่นงานนักโทษอื่นๆที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วยทั้งนี้เพราะพวกเยอรมันถือว่าทุกคนมีความผิดและจะต้องรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างร่วมกัน
นักโทษในค่ายเกรงกลัวการถูกเฆี่ยนตีและการถูกจับส่งไปห้องรมก๊าซพิษกันมาก
จนไม่กล้าพอที่จะลุกฮือขึ้นต่อต้านพวกเจ้าหน้าที่เยอรมัน
พวกนักโทษหญิงหลายต่อหลายคนยอมให้เจ้าหน้าที่เยอรมันนำลูกๆของตนไปประหารชีวิต
โยที่ไม่กล้าแสดงการขัดขืนหรือตอบโต้ อย่างเช่นในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1944
มีนักโทษหญิงชาวรัสเซียและโปแลนด์ถูกบังคับให้ยอมยกลูกๆของตนให้พวกเยอรมันไป
โดยในคำสั่งระบุว่าเด็กๆเหล่านั้นจะถูกโยกย้ายให้ไปอยู่ที่อื่น
ภาพที่น่าเวทนาสงสารก็อุบัติขึ้นเมื่อหญิงเหล่านั้นส่งพวกเด็กให้แก่พวกเยอรมัน
แต่ละคนต่างหาไม้กางเขนหรือโลหะมาห้อยคอลูกๆเพื่อทำเป็นเครื่องหมายให้สามารถจดจำได้ในภายหลัง
แต่ละคนร้องไห้ด้วยความเสียใจขณะมอบเลือดในอกที่รักปานดวงใจให้แก่พวกเยอรมันไป
ไม่มีนักโทษหญิงคนใดกล้าขัดขวางการกระทำของพวกเยอรมันและในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครฆ่าตัวตายด้วย
เพราะว่าได้ยาหอมจากพวกเยอรมันว่าเด็กๆเหล่านั้นจะถูกนำไปเลี้ยงดูเป็นอย่างดีและจะได้กลับมาพบกับมารดาอีกครั้งหนึ่ง
การดำเนินงานของขบวนการใต้ดินได้ก้าวหน้าไปตามลำดับ
วิธีการที่พวกเรานำมาใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายมีอยู่หลายประการ
นับตั้งแต่ส่งสมาชิกของขบวนการออกไปทำหน้าที่ผู้สื่อข่าวและสอดแนมในหมู่นักโทษจนกระทั่งถึงการก่อวินาศกรรมในโรงงานผลิตยุทธปัจจัยและการใช้ระเบิดทำลายเตาเผาศพในที่สุด
สมาชิกที่ออกไปทำหน้าที่เป็นผู้สื่อข่าวจะได้รับมอบหมายให้ไปเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับสงครามโดยมีเป้าหมายเพื่อให้นักโทษมีขวัญและกำลังใจดีขึ้น
การหาข่าวเพื่อนำไปป้อนให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายนี้กระทำได้โดยยากลำบากมาก
เพราะพวกเราไม่สามารถได้ข่าวใดๆเลยจากฝ่ายสัมพันธมิตร
แต่ต่อมานายแอลเพื่อนของพวกเราในขบวนการใต้ดินได้ร่วมมือกับนักโทษที่ทำงานอยู่ในคลังแคนาดาทำการผลิตเครื่องรับวิทยุได้สำเร็จเครื่องหนึ่งและก็ได้นำเครื่องรับวิทยุนี้ไปฝังไว้ใต้ดินเพื่อให้รอดพ้นสายตาของพวกเยอรมัน
ในตอนกลางคืนดึกๆก็จะมีสมาชิกของขบวนการใต้ดินไปขุดเครื่องรับวิทยุนี้มาเปิดรับฟังข่าวการรบของฝ่ายสัมพันธมิตร จากนั้นพวกเราที่ทำหน้าที่เป็นผู้สื่อข่าวก็นำข่าวที่ได้รับจากการฟังวิทยุไปบอกกล่าวแก่นักโทษอื่นๆให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
สถานที่ที่ใช้เป็นศูนย์กลางกระจายข่าวแก่บรรดานักโทษก็ได้แก่ห้องสุขาภายในค่าย
ซึ่งสถานที่แห่งนี้มีบทบาททางสังคมเช่นเดียวกับโรงอาบน้ำและโรงพยาบาล
เมื่อใดที่พวกเยอรมันได้ข่าวระแคะระคายเกี่ยวกับงานเผยแพร่ข่าวสารสงครามของพวกเราเมื่อนั้นก็จะจัดการกับพวกเราอย่างโหดร้ายทารุณ
ทุกคนในค่ายได้รับความเดือดร้อนเสมอหน้ากันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังจากที่ฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีทางอากาศที่เมืองหนึ่งในประเทศเยอรมัน
วิทยุของรัฐบาลเยอรมันได้ออกประกาศว่า”จะทำการแก้เผ็ด”และเมื่อพวกเยอรมันปฏิบัติแก้เผ็ดจุดแรกก็คือในค่ายของพวกเรา
โดยจะทำการคัดเลือกตัวนักโทษไปสังหารมากขึ้น
และเมื่อพวกยามรักษาการณ์ในค่ายรู้ข่าวการพ่ายแพ้ของฝ่ายเยอรมันเขาก็เริ่มสงสัยในพฤติการณ์ของพวกเรามากยิ่งขึ้น
ได้เพิ่มมาตรการควบคุมและตรวจค้นนักโทษในค่ายบ่อยครั้ง
แม้แต่เจ้าหน้าที่ในระดับหัวหน้าในค่ายต่างก็หวาดผวาวิตกกังวลเกี่ยวกับงานใต้ดินของพวกเราไปตามๆกัน
อย่างเช่น นายแพทย์เมงเกเลวิตกกังวลมากถึงกับผิวปากไม่ออกเหมือนอย่างเคย
สมาชิกของขบวนการใต้ดินบางคนก็ยังได้พยายามส่งข่าวสภาพอันเลวร้ายที่พวกเราประสบกันอยู่นี้ไปให้ฝ่ายสัมพันธมิตร
ด้วยหวังจะให้เครื่องบินของกองทัพอากาศอังกฤษหรือของโซเวียตบินมาทิ้งระเบิดทำลายเตาเผาศพในค่าย เพื่อที่ว่ามันจะได้ลดอัตราการทำลายล้างมนุษยชาติของพวกเยอรมันลงไปได้บ้าง
และในที่สุดนักโทษชาวยิวจากประเทศเชโกสโลวะเกียผู้หนึ่งซึ่งเป็นฝ่ายซ้ายนิยมความรุนแรงก็ประสบความสำเร็จในการส่งข่าวไปให้กองทัพโซเวียต
ดิฉันได้รู้ข่าวมาว่ามีหน่วยก่อวินาศกรรมของฝ่ายสัมพันธมิตรมาปฏิบัติการอยู่ไม่ไกลจากค่ายของพวกเรา
ซึ่งตามความเข้าใจของดิฉันแล้วเจ้าหน้าที่หน่วยก่อวินาศกรรมเหล่านี้ได้ทำการติดต่อกับนักโทษในค่าย
และดิฉันก็ได้รับแจ้งมาว่าลูกระเบิดที่จะนำมาใช้ระเบิดทำลายสิ่งต่างๆในค่ายก็เป็นระเบิดที่ได้มาจากกองโจรของฝ่ายสัมพันธมิตรนี่เอง
กล่องระเบิดที่ได้มานี้มีขนาดเล็กเท่ากับซองบุหรี่
สามารถเก็บซุกซ่อนไว้ในเสื้อได้อย่างสะดวก
ระเบิดเหล่านี้ถูกนำเข้ามาในค่ายได้อย่างไร?นั้นเป็นปัญหาที่พวกเราต้องติดตามกันต่อไป
ต่อมาดิฉันได้รู้ว่าพวกกองโจรรัสเซียซึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ตามภูเขาได้ส่งสมาชิกจำนวนหนึ่งมาป้วนเปี้ยนอยู่ในบริเวณใกล้ๆค่ายเอาส์ชวิตซ์อยู่เสมอ
และคอยหาโอกาสติดต่อกับนักโทษที่ออกไปทำงานนอกค่าย
ซึ่งในหมู่นักโทษที่ออกไปทำงานนอกค่ายก็มีส่วนหนึ่งเป็นสมาชิกของขบวนการใต้ดินของพวกเรา
พวกกองโจรรัสเซียจึงนำลูกระเบิดไปฝังไว้ในดินแล้วแจ้งให้นักโทษที่ออกไปทำงานไปขุดแล้วลักลอบนำเข้ามาในค่าย
ระเบิดเหล่านี้นำเข้ามาในค่ายเพื่อจุดมุ่งหมายอะไร?พวกเราที่เป็นสมาชิกในขบวนการใต้ดินต่างรู้ว่ามันถูกนำเข้ามาเพื่อใช้ทำลายเตาเผาศพนั่นเอง
มีระเบิดจำนวนหนึ่งถูกลักลอบนำเข้ามาในค่ายแต่ถูกเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสจับได้
ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นพวกเยอรมันจะใช้มาตรการรุนแรงกับพวกที่ถูกจับได้โดยจะถูกนำตัวไปแขวนคอในทันที
เมื่อใดก็ตามที่พวกเยอรมันสงสัยว่าจะมีระเบิดซุกซ่อนอยู่ก็จะออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสทำการตรวจค้นตามคุกต่างๆทันที
ในเวลาตรวจค้นพวกเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสจะตรวจค้นกันอย่างละเอียดถี่ถ้วนในทุกตารางนิ้วเลยทีเดียว
จะนำทุกสิ่งทุกอย่างในคุกออกมาค้นกระจุยกระจาย
แม้ว่าจะมีมาตรการป้องกันเข้มแข็งถึงเพียงนี้
องค์การใต้ดินของเราก็หาได้ถูกทำลายไปไม่ ยังคงทำงานต่อต้านอยู่ต่อไป
สมาชิกขององค์การใต้ดินมักมีการเปลี่ยนตัวกันอยู่เสมอ
หากคนใดถูกจับไปสังหารก็จะหาคนอื่นมาทำหน้าที่แทน
เด็กหนุ่มคนหนึ่งเป็นสมาชิกของขบวนการใต้ดินถูกนำตัวไปแขวนคอแค่หนึ่งวันก่อนที่จะมารับหีบห่อไปจากดิฉัน
เพื่อนดิฉันคนหนึ่งเมื่อเห็นเหตุการณ์นั้นรูสึกตัวจนตัวสั่นงันงก
เพราะจำได้ว่าเด็กหนุ่มคนนนี้เคยมาพบกับดิฉันที่โรงพยาบาล เธอได้ทากระซิบถามว่า
“นั่นมันเด็กคนที่มาโรงพยาบาลของพวกเราเมื่อวานนี้ไม่ใช้รึ”
“ฉันไม่เคยเห็นเด็กคนนั้นมาก่อนเลยนี่”
นี่เป็นกฎของคนที่ทำงานลับให้กับองค์การใต้ดิน
พวกเราจะทำเป็นไม่รู้จักสมาชิกทุกคนที่ทำงานพลาดจนถูกพวกเยอรมันจับได้พวกเราในขบวนการใต้ดินไม่ได้เป็นวีรชน
และไม่เคยอ้างตัวเองว่าเป็นวีรชนด้วย
พวกเราไม่เคยได้รับเหรียญกล้าหาญจากชาติใดๆไม่ว่าจะเป็นเหรียญกล้าหาญจากสหรัฐอเมริกา
ฝรั่งเศส หรืออังกฤษ
ทั้งๆที่งานของพวกเราเสี่ยงตายพอๆกันหรืออาจจะมากไปกว่าพวกที่ได้รับเหรียญกล้าหาญเหล่านั้นเสียอีก
ความจิงคงามตายหรือสิ่งที่เรียกว่าเสี่ยงตายนั้นไม่มีความหมายอไรกับพวกเราชาวค่ายเอาส์ชวิตซ์-เบอร์เคเนา
ปกติความตายจะอยู่กับพวกเราตลอดเวลาเพราะทุกคนต่างมีสิทธิ์ที่จะถูกคัดเลือกตัวไปสังหารได้ทุกเมื่อ
การพยักหน้าของพวกเยอรมันแต่ละครั้งอาจหมายถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของพวกเราคนใดคนหนึ่ง
หากใครไปเข้าแถวเรียกชื่อช้าอาจถูกตบหน้าอย่างน้อยหนึ่งฉาดหรือเผอิญพวกเยอรมันเกิดบ้าระห่ำขึ้นมาอาจชักปืนมายิงแทนการตบหน้านั้นก็ได้
พวกเราในค่ายต่างมีความรู้สึกว่าตนเองจะต้องตายไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ความรู้สึกนี้ฝังอยู่ในสายเลือดเลยทีเดียว อาจจะตายได้ทุกแบบ
ไม่ถูกนำตัวไปสังหารในห้องรมก๊าซพิษก็อาจจะถูกผลักลงไปในเตาเผาศพ
ถูกแขวนคอหรือถูกนำไปยิงเป้า
ดังนั้นเหล่าสมาชิกของขบวนการใต้ดินต่างตระหนักว่าไหนๆจะตายก็ควรตายเพื่อการต่อสู้ให้ได้มาซึ่งบางสิ่งบางอย่างที่เอื้อผลประโยชน์ต่อขบวนการ
ดิฉันเคยกล่าวมาแล้วว่าตัวดิฉันเองมีหน้าที่ในการส่งจดหมายและห่อพัสดุของขบวนการใต้ดิน
มีอยู่วันหนึ่งหลังจากรับพัสดุจากสาชิกแล้วก็รีบเข้าไปในโรงพยาบาลเพื่อจะนำไปเก็บไว้ใต้โต๊ะตัวหนึ่งในห้องพยาบาล
ขณะที่กำลังจะซ่อนห่อพัสดุอยู่นั้นก็มีเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสคนหนึ่งมาพบเข้าอย่างไม่คาดฝัน
“นั่นแกกำลังจะซ่อนอะไรไว้ตรงนั้น”
เขาตะคอกถามด้วยใบหน้าถมึงทึง
ดิฉันตกใจแทบช็อกแต่ก็ได้ระงับใจไม่แสดงอะไรออกมาให้เกิดพิรุธแบบทำใจดีสู้เสือตอบไปว่า
“ชุดผ่าตัดค่ะ
ดิฉันนำไปออกไปใช้แล้วกำลังจะเอามาเก็บเข้าที่”
“ขอดูหน่อย”
เขาตะคอกใส่ดิฉันอีกเหมือนกับว่าเกิดความสงสัยอะไรขึ้นมา
ดิฉันดึงกล่องใส่ชุดผ่าตัดจากใต้โต๊ะออกมาให้เขาดูด้วยมืออันสั่นเทา
แต่โชคดีเข้าข้างดิฉันเขาไม่ได้ตรวจดูของข้างในกล่อง
เพียงแต่มองดูแวบเดียวก็เดินออกจากห้องพยาบาลไป ถ้าหากเขาตรวจดูในกล่องดิฉันก็คงเสร็จไปแล้ว
ปกติดิฉันจะได้รับจดหมายและหีบห่อต่างๆจากนักโทษชายที่เข้ามาทำงานเป็นกรรมกรในค่ายของนักโทษหญิง
การรับ-ส่งสิ่งของต้องกระทำด้วยความรอบคอบและระมัดระวังเป็นพิเศษ
เพื่อให้นักโทษที่นำสิ่งของเหล่านั้นมาไปส่งคนรับโดยไม่ผิดตัว
ดิฉันจึงใช้แถบผ้าไหมมาห้อยคอเพื่อให้เป็นที่สังเกตและเมื่อจะส่งจดหมายหรือหีบห่อก็จะส่งให้คนมารับที่ใช้เครื่องหมายชนิดเดียวกัน
ซึ่งปกติดิฉันจะไปพบคนเหล่านั้นในโรงอาบน้ำหรือไม่ก็ตามถนนที่คนเหล่านั้นมาทำงานกันอยู่
ในระยะแรกๆดิฉันยังไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับงานของขบวนการใต้ดินที่ตนมีส่วนร่วมอยู่ด้วยนั้นแต่ต่อมาก็รู้ว่างานของขบวนการนี้มีประโยชน์อย่างใหญ่หลวง
เมื่อตระหนักถึงข้อนี้ก็ทำให้มีกำลังใจที่จะล่มหัวจมท้ายกับขบวนการนี้มากยิ่งขึ้น ไม่รู้สึกหมดอาลัยตายอยากในชีวิต ได้พยายามรับประทานอาหารเพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรง
เพื่อพร้อมที่จะเผชิญกับความลำบากในค่ายต่อไป
การรับประทานอาหารและการไม่ปล่อยให้ร่างกายทรุดโทรมก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้การต่อต้านเยอรมันประสบผลสำเร็จ
ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงมีชีวิตเพื่อทำงานต่อต้านและพยายามทำงานนี้เพื่อการมีชีวิตอยู่ของพวกเราต่อไป
แพทย์หญิงมีตรอฟนาศัลยแพทย์ชาวรัสเซียเป็นนักโทษหญิงรัสเซียคนแรกที่ดิฉันได้พบในขณะทำงานในโรงพยาบาล
ดิฉันเคยรู้จักนักโทษหญิงจากประเทศต่างๆมามากมาย
แต่ก็ไม่ค่อยจะมีโอกาสได้พบหญิงชาวรัสเซียมากนัก
จึงมีความกระตือรือร้นที่จะทำความรู้จักกับหญิงจากประเทศนี้มากเป็นพิเศษ
แพทย์หญิงมีตรอฟนาเป็นคนร่างท้วมผมสีดำแต่มีดวงตาสีน้ำตาลคมวาว
เป็นแพทย์ด้วยชีวิตจิตใจจริงๆ
นอกจากจะอุทิศเวลารักษาคนไข้อย่างเต็มที่แล้วเธอก็ยังพยายามต่อสู่สู้เพื่อคนไข้ตลอดมา
เมื่อนายแพทย์เมงเกเลทำการคัดเลือกคนไข้เพื่อย้ายไปที่”โรงพยาบาลแห่งใหม่”
เธอคัดค้านอย่างเต็มที่โยยืนยันกับนายแพทย์เมงเกเลว่า
“คนไข้หญิงคนนี้ไม่ได้เป็นอะไรมากนะคะ
ตอนนี้เธอหายดีแล้ว จะออกจากโรงพยาบาลได้ภายใน 3 วัน”
ซึ่งก็เป็นที่น่าประหลาดว่านายแพทย์เมงเกเลได้ยินยอมทำตามข้อเสนอของเธอเสมอ
เธอจะสร้างบรรยากาศแห่งความเป็นมิตรกับทุกๆคน
ใครที่พบเห็นพูดคุยด้วยก็จะเกิดความรู้สึกนับถือชื่นชมในกิริยาอาการที่เป็นธรรมชาติและความเป็นผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารีของเธอ
คงไม่มีใครอีกแล้วที่จะเอาจริงเอาจังกับงานเหมือนแพทย์หญิงวัย
50 ปีผู้นี้ เมื่อใดที่เห็นดิฉันหน้าซีดเซียวเพราะตรากตรำทำงานหนักเธอก็จะมาพูดกับดิฉันว่า
“แบบนี้เป็นคนรัสเซียได้สบายมาก”เธอจะกล่าวชมเชยเป็นการให้กำลังใจผู้อื่นด้วยคำพูดเช่นนี้อยู่เสมอ
ในระยะที่รัสเซียส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดในค่ายมีนักโทษเป็นจำนวนมากได้รับบาดเจ็บ
ดิฉันพยายามจับตาดูว่าเธอจะมีใจลำเอียงให้การดูแลรักษาเฉพาะเพื่อนร่วมชาติชาวรัสเซียของเธอเท่านั้นหรือไม่
ปรากฏว่าเธอไม่เป็นคนเช่นนั้นเลย
เธอจะเอาใจใส่ดูแลผู้บาดเจ็บทุกคนโยไม่คำนึงว่าจะมาจากประเทศใด
พ้อมกับกล่าวถ้อยคำปลอบโยนให้คนเจ็บทุกคนมีกำลังใจเสมอ
ในเทศกาลวันคริสต์มาสแพทย์หญิงมีตรอฟนาได้มาร่วมในพิธีและร่วมเต้นรำกับแพทย์และพยาบาลในโรงพยาบาล
โดยไม่ถือเนื้อถือตัวเลยแม้แต่น้อยและได้ร่วมร้องเพลงกับคนอื่นๆด้วยความสนุกสนานเธอบอกกับพวกเราว่า
เมื่อครั้งที่อยู่ประเทศรัสเซียเธอชอบไปร่วมงานสำคัญอย่างนี้เพราะมีอาหารดีๆให้รับประทาน
ดิฉันสังเกตเห็นว่า
แม้ว่าจะมาจากประเทศคอมมิวนิสต์ซึ่งไม่ยอมให้คนนับถือศาสนาแต่เธอก็มีใจกว้างยอมรับฟังความคิดเห็นของเพื่อนนักโทษที่เขานับถือศาสนากันซึ่งผิดกับนักโทษชาวรัสเซียคนอื่นๆที่ยังมีความคิดแบบเดิมอยู่”พวกเราจะจดจำเทศกาลคริสต์มาสที่จัดขึ้นในขณะที่พวกเราถูกกักกันอยู่ในค่ายแห่งนี้”เธอกล่าวกับพวกเรา
“เพราะในงานนี้มีประชาชนจากทุกประเทศในยุโรปมาชุมนุมกันและต่างก็หวังในสิ่งเดียวกันคืออิสรเสรีภาพ”
ต่อมาดิฉันได้พบกับหญิงชาวรัสเซียอีกหลายคนแต่ละคนแม้จะมีลักษณะภายนอกออกจะแข็งกร้าวไปบ้างแต่ภายในจิตใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความกรุณาและความสุภาพอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ
ทุกครั้งเมื่อจะส่งคนไข้ไปเข้าโรงพยาบาลในค่ายเอฟ.แพทย์หญิงมีตรอฟนาจะเป็นผู้ตัดสินใจเลือกผู้ที่จะทำหน้าที่หามเปลคนไข้
ครั้งแรกดิฉันถูกเลือกให้ไปทำหน้าที่นี้ก็ถึงกับร้องไห้เนื่องจากเกิดความกลัวและหวั่นวิตกมาก
ในขณะที่หามเปลคนไข้ไปนั้นมียามรักษาการณ์เดินติดตามไปด้วย
แต่ก็แปลกที่ยิ่งเดินห่างออกจากรั้วลวดนามในค่ายออกไปไกลมากเท่าใดก็ดูเหมือนว่ายิ่งมีจิตใจปลอดโปรงโล่งอกมากขึ้นๆเท่านั้น
มีความรู้สึกว่างานชนิดนี้แม้ว่าจะเป็นงานหนักมิใช่น้อยแต่ก็เป็นงานที่มีค่ามากพอดู
พวกเรา 5 คนใช้เวลาประมาณ 15
นาทีกว่าจะหามคนไข้ไปถึงห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลในค่ายเอฟ. เมื่อไปถึงก็ได้เห็นภาพในห้องผ่าตัดซึ่งขณะนั้นบรรดาแพทย์กำลังขมีขมันผ่าตัดช่วยชีวิตคนไข้รายหนึ่งอยู่
มันแตกต่างกับอีกภาพหนึ่งซึ่งเป็นภาพที่พวกเยอรมันส่งคนไข้ไปยังห้องรมก๊าซพิษ
ขณะที่นายแพทย์กำลังทำการผ่าตัดคนไข้อยู่นั้น
ดิฉันมองสำรวจไปรอบๆห้องผ่าตัดเมื่อเห็นเครื่องมือผ่าตัด
เห็นคนไข้ที่ถูกคลุมด้วยผ้าขาวและได้กลิ่นยาสลบในห้องนั้น
ก็ทำให้หวนรำลึกถึงสามีและโรงพยาบาลของเราที่เมืองครูซขึ้นมาทันที
ในขณะที่ดิฉันยืนใจลอยอยู่นั้นเองพลันก็มีคนๆหนึ่งมากระซิบที่ข้างหู
“กรุณาอย่าขยับเขยื้อนหรือถามอะไร
รีบไปติดต่อกับนายจากัวส์บุรุษพยาบาลชาวฝรั่งเศสที่ศูนย์พยาบาลของคุกหมายเลข 30”
ครั้งแรกก็แปลกใจว่าทำไมเขาถึงรู้ว่าดิฉันเป็นสมาชิกของขบวนการใต้ดิน
แต่ต่อมาก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี ก็เพราะดิฉันมีแถบผ้าไหมห้อยคออยู่นั่นเองจึงทำให้เขารู้ว่าดิฉันเป็นสมาชิกของกลุ่มต่อต้านพวกเยอรมัน
ดิฉันต้องปฏิบัติตามคำสั่งที่มากระซิบบอกแต่จะทำอย่างไรล่ะ? ในเมื่อขณะนี้ดิฉันมาอยู่ในโรงพยาบาลของค่ายกักกันชายและดิฉันก็เป็นผู้หญิงเสียด้วยจะหาทางเข้าไปในคุกของนักโทษชายได้อย่างไรกัน?
ทันใดนั้นเองพยาบาลคนหนึ่งได้กระหืดกระหอบเข้าไปบอกนายแพทย์ที่กำลังผ่าตัดคนไข้อยู่ว่านายแพทย์เมงเกเลกำลังเดินทางมาทางนี้
นายแพทย์เหล่านั้นได้พยายามระงับความตื่นตระหนก
แต่เสียงที่สั่งการออกมาบ่งบอกถึงความตื่นเต้นลนลานอย่างไรชอบกล
“ซ่อนถุงมือเดี๋ยวนี้ เปิดประตูออกให้หมด
อย่าให้นายแพทย์เมงเกเลได้กลิ่นยาสลบเป็นอันขาด”
เหตุการณ์ในวินาทีนี้เองทำให้ดิฉันเข้าใจอะไรต่อมิอะไรได้ดีขึ้น
นายแพทย์ที่ทำการผ่าตัดอยู่นี้ใช้อาหารที่ได้รับแจกประจำวันไปแลกเอาเครื่องมือผ่าตัดและยาสลบมาจากโรงพยาบาลแห่งอื่นเพื่อนำมาผ่าคนไข้
เวลานี้พวกเขาจะต้องซ่อนทุกอย่างเพื่อไม่ให้นายแพทย์เมงเกเลพบเห็นมิฉะนั้นจะถูกลงโทษหรือนำตัวไปสังหารในฐานให้ความเมตตาปรานีแก่คนไข้
แต่การผ่าตัดต้องดำเนินต่อไป
หญิงคนไข้ซึ่งนอนอยู่บนเตียงผ่าตัดร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวดทั้งนี้เพราะยอมให้แพทย์ทำการผ่าตัดโดยไม่ได้ใช้ยาสลบ
“ไอ้ปีศาจร้าย”ดิฉันสบถออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ความเจ็บแค้นพวกเยอรมันที่เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้ต้องรีบไปที่คุกหมายเลข
30 ทันที
ขณะที่ดิฉันกำลังคิดหาวิธีการที่จะไปยังคุกหมายเลข
30 อยู่นั้น บังเอิญสายตาเหลือบไปเห็นผ้าห่มกองอยู่ในเปลหามคนไข้
จึงเกิดความคิดที่จะใช้มันห่มเดินเข้าไปโยทำทีว่าเป็นคนไข้
ก็คงจะไม่มีใครสงสัยและจับได้
เพราะการที่คนไข้ใช้ผ้าห่มคลุมตัวเดินไปไหนมาไหนนั้นเป็นเรื่องที่พบเห็นกันอยู่ในค่ายเป็นประจำ
ดิฉันรีบนำผ้าห่มมาคลุมตัวแล้ววิ่งออกจากห้องผ่าตัดมุ่งตรงไปพบนายจากัวส์บุรุษพยาบาลที่คุกหมายเลข
30 เมื่อไปถึงก็ได้พบกับบุรุษพยาบาลผู้นี้ ดิฉันก็ได้บอกกับเขาว่าได้รับคำสั่งให้มารับของ
เขารีบปีนขึ้นไปบนเตียงชั้นสูงสุดแล้วนำกล่องเล็กๆกล่องหนึ่งที่รองศีรษะคนไข้ชายอยู่ออกมามอบให้
“เอาสิ่งนี้ไปมอบให้คุณ....ที่ค่ายของคุณนะครับ”
เขาบอกดิฉัน
เมื่อได้ของสิ่งนั้นแล้วดิฉันก็รีบวิ่งกลับมาที่คุกผ่าตัดอีกครั้งหนึ่ง
ปรากฏว่าเพื่อนๆที่หามคนไข้มากับดิฉันไม่อยู่ที่นั่นเสียแล้ว
เปลที่หามคนไข้มาก็หายไปด้วย แสดงว่าเพื่อนๆได้กลับเข้าค่ายกันหมดแล้ว
ดิฉันจึงรีบวิ่งไปที่ประตูค่ายก็เห็นแพทย์หญิงมีตรอฟนากำลังโต้เถียงอยู่กับเจ้าหน้าที่เยอรมัน
ซึ่งก็คงจะมีสาเหตุมาจากที่พวกเราเข้าไปในค่ายนักโทษชายนานเกินควรและเมื่อกลับออกมาดิฉันหายไปคนหนึ่ง
เมื่อแพทย์หญิงมีตรอฟนาเห็นดิฉันวิ่งไปหาโดยมีผ้าห่มคลุมศีรษะมาด้วยเธอก็เข้าใจที่จะหาทางออกได้โต้เถียงกับเจ้าหน้าที่เยอรมันผู้นั้นว่า
“ฉันบอกคุณแล้วไงว่า
มีคนหยิบผ้าห่มจากเปลหามคนไข้ของพวกเราไป ดิฉันจึงส่งนักโทษคนนี้ไปเอามันกลับคืนมา
คุณก็เห็นกับตาแล้วนี่ไง ยังไม่เชื่ออีกหรือ?”
แพทย์หญิงมีตรอฟนาพูดภาษาเยอรมันได้เพียงเล็กน้อย
ตลอดเวลาที่พูดกับเจ้าหน้าที่เยอรมันเธอพูดด้วยภาษารัสเซียปนเยอรมัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ยิ่งช่วยดิฉันได้เป็นอย่างดีกว่าที่เธอพูดแต่ภาษารัสเซีย
เจ้าหน้าที่เยอรมันก็อ่อนใจไม่ต้องการซักถามมาก
เรื่องราวจึงลงด้วยดี
ในขณะเดินกลับเข้าค่ายดิฉันวิตกอยู่ตลอดเวลาเกรงว่าแพทย์หญิงมีตรอฟนาจะถามถึงสาเหตุที่กลับมาช้า
แต่การณ์กลับปรากฏว่าเธอไม่ได้ถามถึงเรื่องนี้แม้แต่คำเดียว
เมื่อกลับถึงค่ายแล้วดิฉันพยายามตามหาคนที่นายจากัวส์บอกให้มอบหีบห่อชิ้นนั้นให้แต่เธอไม่ได้อยู่ในค่าย
อย่างไรก็ดีในวันรุ่งขึ้นนายจากัวส์ได้ส่งคนมารับหีบห่อนั้นไป
จึงเป็นอันว่าในที่สุดก็สามารถกำจัดกล่องบรรจุลูกระเบิดออกไปจากตัวเองได้
ซึ่งเจ้ากล่องนี้เองเกือบจะทำให้เอาตัวไม่รอดอย่างที่กล่าวมาแล้ว
ดิฉันไม่รู้ว่าแพทย์หญิงมีตรอฟนาคิดอย่างไร
ที่จริงเธอควรจะบอกยามรักษาการณ์หน่วยเอสเอสผู้นั้นว่าดิฉันออกจากกลุ่มผู้หามเปลไปโดยไม่ได้รับอนุญาต
ซึ่งถ้าหากบอกไปเช่นนี้เธอเองก็ไม่ต้องมาลำบากเถียงช่วยดิฉัน
แต่กลับไม่ทำเช่นนี้หากแต่ได้โต้เถียงกับเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสผู้นั้นเพื่อประวิงเวลารอ
และเมื่อเธอเห็นผ้าห่มหายไปจากเปลก็ใช้กรณีนี้เป็นข้ออ้างเพื่อช่วยชีวิตของดิฉันเอาไว้
ซึ่งก็นับได้ว่าเธอเป็นสหายที่ดีคนหนึ่งเท่าที่เคยพบมา
ดิฉันจำได้ว่าเคยเห็นกรรมกรที่นำหีบห่อมามอบให้ดิฉันเป็นประจำได้เข้าไปพูดคุยกับแพทย์หญิงรัสเซียคนนี้อยู่เสมอ
ดิฉันจึงพออนุมานได้ว่าเธอน่าจะเป็นสมาชิกของขบวนการใต้ดินด้วยคนหนึ่ง และเธอก็น่าจะรู้เช่นกันว่าดิฉันเป็นสมาชิกขบวนการใต้ดิน
บางทีอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้กระมังเธอจึงเลือกดิฉันให้ไปทำหน้าที่หามเปลคนไข้ไปที่ค่ายเอฟ.และได้ช่วยดิฉันให้รอดพ้นจากการถูกยามรักษาการณ์หน่วยเอสเอสเล่นงาน
ตามปกติแล้วพวกเราที่เป็นสมาชิกของขบวนการใต้ดินมักจะไม่ค่อยรู้จักกัน
ทั้งนี้เพราะเป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างหนึ่ง
คือถ้าเผื่อบังเอิญใครคนใดคนหนึ่งถูกจับก็จะได้ไม่มีโอกาสเปิดเผยชื่อของสมาชิกคนอื่นๆของขบวนการ
หรือบางทีแพทย์หญิงมีตรอฟนาอาจจะไม่ได้เป็นสมาชิกของขบวนการใต้ดิน
แต่การทำงานของเธอชวนให้เชื่อว่าน่าจะเป็นสมาชิกที่ทำงานทุกอย่างเพื่อขบวนการใต้ดิน
ในวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1944 เวลาประมาณบ่าย 3
โมงมีเสียงระเบิดดังกึกก้องสั่นสะเทือนไปทั้งค่ายราวกับเกิดแผ่นดินไหว พวกนักโทษต่างมองหน้ากันด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น?หลังจากเสียงระเบิดแล้วก็มีแสงไฟพวยพุ่งขึ้นจากบริเวณที่ตั้งของเตาเผาศพและมีข่าวแพร่สะพัดไปเหมือนไฟลามทุ่งว่าเตาเผาศพเตาหนึ่งถูกวางระเบิดพังพินาศ
พวกทหารหน่วยเอสเอสและเจ้าหน้าที่เยอรมันตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ครั้งนี้มาก
พวกเขารีบกระจายกำลังออกปฏิบัติงานกันจ้าละหวั่น
ด้วยความเกรงกลัวว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้นักโทษฉวยโอกาสก่อการจลาจล
ทหารหน่วยเอสเอสได้ใช้ปืนยิ่งขู่นักโทษที่ออกมามุงดูเหตุการณ์ให้กลับเข้าคุก
ดิฉันต้องการจะรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไรกันแน่
จึงถือโอกาสตอนเกิดโกลาหลออกจากโรงพยาบาลไปที่โรงครัว
ซึ่งอยู่ห่างจากประตูค่ายของดิฉันประมาณ 10 หลา
และจากจุดที่ตั้งของโรงครัวนี้เองก็สามารถมองเห็นเหตุการณืที่เกิดขึ้นในบริเวณเตาเผาศพได้อย่างชัดเจน
เห็นมีกองทหารหน่วยเอสเอสเป็นจำนวนมากกำลังมุ่งหน้าตรงมาที่ค่าย
บางพวกนั่งมาในรถบรรทุก บางพวกขับขี่รถจักรยานยนต์กันมาเป็นทิวแถว
ติดตามมาด้วยขบวนรถบรรทุกกระสุนปืน
เมื่อมาถึงก็ได้โอบล้อมบริเวณเตาเผาศพและเปิดฉากระดมยิงปืนกลเข้าไปทันที
ดิฉันยืนตัวสั่นด้วยความกลัว ทำไมหรือคะ? ก็เพราะว่ามีเสียงปืนพกยิงตอบโต้ออกมาจากบริเวณด้านในของเตาเผาศพด้วย
นี่มันเกิดการจลาจลหรือเปล่า?พวกทหารได้ใช้ปืนกลระดมยิงอย่างหนักราวกับห่าฝนครู่หนึ่งก็บุกเข้าไปในบริเวณเตาเผาศพได้สำเร็จ
อะไรเกิดขึ้น? สิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้ก็คือ
พวกสมาชิกขบวนการใต้ดินที่ทำงานอยู่ในตึกเตาเผาศพได้วางแผนระเบิดเตาเผาศพทั้ง 4 เตาทิ้งโดยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มของนายแพทย์ปัสเช่
ซึ่งจัดหาลูกระเบิดจำนวนหนึ่งมาให้
และระเบิดก็มีจำนวนเพียงพอที่จะใช้ระเบิดทำลายเตาเผาศพทั้ง
4
เตาได้ในพริบตาแต่เกิดการผิดพลาดบางประการทำให้สามารถระเบิดทำลายเตาเผาศพได้เพียงเตาเดียวเท่านั้น
มันน่าเสียดายจริงๆ
การปฏิบัติการก่อวินาศกรรมในครั้งนี้มีนายเดวิดยิวหนุ่มจากประเทศฝรั่งเศสเป็นตัวตั้งตัวตี
ทั้งนี้เนื่องจากนายเดวิดรู้ตัวว่าจะถูกประหารชีวิต
เพราะเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่านักโทษที่ทำงานในเตาเผาศพทุกคนจะถูกนำตัวไปกำจัดในทุก
3-4 เดือน
เดวิดตัดสินใจใช้เวลาอันน้อยนิดที่ชีวิตจะดำรงอยู่ได้นี้สร้างประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
จึงไปเอาระเบิดจากกลุ่มของนายแพทย์ปัสเช่มาแอบซุกซ่อนเอาไว้
แต่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นเสียก่อนจึงทำให้แผนการของเดวิดล้มเหลว
กล่าวคือพวกเยอรมันได้เตรียมนำพวกที่ทำงานประจำหน่วยเตาเผาศพรุ่นเดียวกับเดวิดไปสังหารก่อนกำหนดโยได้ออกคำสั่งให้ทุกคนเตรียมพร้อมไปขึ้นรถออกจากเจาเผาศพ
ในหมู่นักโทษที่ถูกกำจัดในครั้งนี้มีเพียง 100
คนเท่านั้นที่ยอมปฏิบัติตามคำสั่ง
ส่วนพวกที่เหลืออีกเป็นจำนวนมากพากันต่อต้านและขัดขืนไม่ยอมปฏิบัติตาม
ซึ่งโดยทั่วไปแล้วนักโทษที่ประจำอยู่หน่วยนี้จะเป็นผู้มีร่างกายล่ำสันแข็งแรง
เมื่อมารวมหัวกันต่อต้านเช่นนี้เจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสแค่ 2-3
คนที่มาควบคุมอยู่นั้นจึงไม่สามารถดำเนินการปราบปรามใดๆได้
ต้องรีบถอนตัวออกไปเพื่อรอกำลังเสริมจากหน่วยอื่น
ในขณะที่กองกำลังสนับสนุนยังเดินทางมาไม่ถึงนักโทษก็ได้นำระเบิดไปวางไว้ที่เตาเผาศพเตาหนึ่ง
แล้วใช้น้ำมันราดและทำการจุดชนวนระเบิดจนเกิดระเบิดสนั่นหวั่นไหว
เป็นเหตุให้เตาเผาศพพังพินาศไป 1 เตา
พวกเขาพยายามที่จะใช้ระเบิดทำลายเตาเผาศพอีก 3
เตาที่ยังเหลืออยู่แต่ไม่มีเวลาพอที่จะทำได้ เพราะกองกำลังเสริมของเยอรมันได้เดินทางมาถึงเสียก่อน
เจ้าหน้าที่ประจำเตาเผาศพที่ 4
ได้ถือโอกาสในตอนที่เกิดสับสนวุ่นวายตัดลวดหนามหนีออกจากค่ายได้สำเร็จซึ่งมีบางคนเท่านั้นถูกนำตัวกลับมาได้แต่ส่วนใหญ่แล้วสามารถหนีรอดไปได้
ในการต่อสู้กันระหว่างเจ้าหน้าที่กำลังเสริมของพวกเยอรมันกับนักโทษประจำเตาเผาศพครั้งนี้
ทางฝ่ายนักโทษได้ทำการต่างสู้อย่างเต็มความสามารถแต่อาวุธที่มีอยู่มีเพียงท่อนไม้ก้อนหินและปืนพกไม่กี่กระบอก
ไหนเลยจะสู้กับกองทหารติดอาวุธทันสมัยและได้รับการฝึกมาอย่างดีได้ ผมก็คือนักโทษ
430คนถูกจับเป็นรวมทั้งนายเดวิดตัวตั้งตัวตีในการก่อจลาจลครั้งนี้ซึ่งก็ได้รับบาดเจ็บ
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ผ่านไปพวกเยอรมันได้ทำการตอบโต้นักโทษอย่างรุนแรง
โดยเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสบังคับให้นักโทษที่ถูกจับได้ลงคลานกับพื้นดิน
แล้วเจ้าหน้าที่ 2-3 คนก็จ่อปืนยิงทางต้นคอด้านหลังของนักโทษทีละคนๆ
นักโทษคนใดเงยหน้าขึ้นไปมองดูเจ้าหน้าที่หรือเพื่อนๆที่กำลังถูกจ่อยิง
นักโทษคนนั้นก็จะถูกเฆี่ยนอย่างแรง 25 ทีก่อนที่จะถูกยิงตาย
หลังจากจลาจลครั้งนี้แล้วพวกเยอรมันก็ยังตอบโต้นักโทษในค่ายเป็นการแก้เผ็ดหลายอย่างด้วยกัน
เช่น มีการทุบตีนักโทษอย่างทารุณบ่อยครั้งขึ้น และเพิ่มจำนวนครั้งในการตัดเลือกนักโทษไปประหารชีวิต
ในขณะที่ทำการคัดเลือกตัวนักโทษนายแพทย์เมงเกเลจะใช้ปืนยิงนักโทษทันทีถ้าหากนักโทษที่ได้รับการคัดเลือกไว้แล้วพยายามจะหลบหนี
และพวกผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นๆก็ทำตามนายแพทย์เมงเกเลนั้นด้วย
พื้นที่ส่วนใหญ่ในค่ายกักกันจึงเกรอะกรังไปด้วยเลือดนักโทษ
ซึ่งกว่าเลือดจะหมดไปได้ต้องรอฝนครั้งใหม่มาช่วยชะล้าง
สำหรับเจ้าหน้าที่ประจำตึกเตาเผาศพอีกหลายร้อยคน
ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจลาจลครั้งนี้
ก็ได้ถูกนำตัวไปสังหารหมู่ด้วยการยิงเป้าที่บริเวณใกล้ๆค่ายนั่นเอง
และหนึ่งในจำนวนบุคคลที่ถูกนำตัวไปสังหารในครั้งนี้คือนายแพทย์ปัสเช่นายแพทย์ชาวฝรั่งเศสซึ่งทำงานในหน่วยประจำเตาเผาศพและก็เป็นสมาชิกคนสำคัญของขบวนการใต้ดินต่อจ้านเยอรมันมนค่าย
เขาผู้นี้เองคือผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกิจการของเจ้าหน้าที่ประจำเตาเผาศพ
นายแอลซึ่งพบกับเขาในช่วงสั้นๆก่อนที่เขาจะถูกนำตัวไปยิงเป้าครั้งนี้ได้เล่าให้ดิฉันฟังว่า
นายแพทย์ปัสเช่ไม่ได้แสดงความสะทกสะท้านใดๆเลยเมื่อพูดถึงความตายที่กำลังจะมาถึง
ถ้าหากจะถามว่า
เรารู้สึกเสียใจที่ระเบิดเตาเผาศพได้ไม่สำเร็จทั้งหมดครั้งนี้หรือไม่? แน่นอนว่าคำตอบของพวกเราคือเสียใจมาก
แต่เหตุการณ์ครั้งนี้แม้ว่าจะกระทำสำเร็จได้ไม่สมบูรณ์ทว่าอย่างน้อยมันก็ได้แสดงให้เห็นว่า
ค่ายเอาส์ชวิตซ์-เบอร์เคเนาไม่ได้คงสภาพเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น