Ads

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 20 ขบวนการใต้ดินต่อต้านเยอรมัน



เนื่องจากว่าพวกเราตกอยู่ในสภาพถูกกดขี่ข่มเหงอย่างรุนแรงจึงทำให้มีการต่อต้านพวกเยอรมันเกิดขึ้นในค่ายโดยอัตโนมัติ การต่อต้านปรากฏให้เห็นในรูปแบบต่างๆจะพบเห็นกันอยู่เสมอตลอดระยะเวลาที่พวกเรามีชีวิตอยู่ในค่าย

เมื่อคนงานในคลังแคนาดาขโมยสิ่งของที่พวกเยอรมันเตรียมไว้เพื่อส่งต่อไปยังประเทศเยอรมันมาได้แล้วก็จะนำมาแจกจ่ายแก่เพื่อนนักโทษในค่าย การกระทำของคนงานในคลังแคนาดาดังกล่าวนี้จัดว่าเป็นการต่อต้านเยอรมันได้ประเภทหนึ่ง

การต่อต้านในรูปแบบอื่นๆ เช่น กรรมกรในโรงงานปั่นด้ายรวมหัวกันทำงานอย่างเฉื่อยชาเพื่อให้เกิดผลผลิตน้อยลง เมื่อถึงวันคริสต์มาสพวกเราในโรงพยาบาลสามารถจัดงานเฉลิมฉลองกันในงานสำคัญทางศาสนาเช่นนี้ได้อย่างสำเร็จทั้งๆที่พวกเยอรมันห้ามไว้อย่างเด็ดขาด

การส่งจดหมายลับจากค่ายหนึ่งไปยังอีกค่ายหนึ่ง หรือการช่วยเหลือนักโทษชายที่เป็นญาติๆกันแต่อยู่คนละค่ายให้ได้มีโอกาสไปอยู่รวมกันโยวิธีการสับเปลี่ยนนักโทษคนหนึ่งกับอีกคนหนึ่งที่ทำหน้าที่หามเปลคนไข้  ลักษณะต่างๆดังกล่าวนี้ก็คือว่าเป็นการปฏิบัติการต่อต้านเยอรมันได้อีกเหมือนกัน

การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นภาระหน้าที่สำคัญของขบวนการใต้ดินของพวกเรา ซึ่งปกติแล้วพวกเราจะไม่ทำอะไรที่รุนแรงมากไปกว่านี้ แต่ก็มีบางรายที่กล้าหาญมากๆถึงกับปฏิบัติการเข้าข่ายก่อการจลาจลเลยก็มี

ยกตัวอย่างเช่น นักโทษคนหนึ่งแย่งปืนพกจากเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสแล้วใช้ปืนพกนั้นตีศีรษะของเจ้าหน้าที่ผู้นั้น แม้ว่าอย่างนี้จะเป็นการกระทำที่แสดงออกถึงความกล้าหาญแต่ก็ให้โทษอย่างใหญ่หลวงต่อนักโทษโดยส่วนรวม

เพราะพวกเยอรมันจะไม่เล่นงานเฉพาะนักโทษคนนั้นเท่านั้นแต่จะทำการตอบโต้ด้วยการเล่นงานนักโทษอื่นๆที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วยทั้งนี้เพราะพวกเยอรมันถือว่าทุกคนมีความผิดและจะต้องรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างร่วมกัน

นักโทษในค่ายเกรงกลัวการถูกเฆี่ยนตีและการถูกจับส่งไปห้องรมก๊าซพิษกันมาก จนไม่กล้าพอที่จะลุกฮือขึ้นต่อต้านพวกเจ้าหน้าที่เยอรมัน

พวกนักโทษหญิงหลายต่อหลายคนยอมให้เจ้าหน้าที่เยอรมันนำลูกๆของตนไปประหารชีวิต โยที่ไม่กล้าแสดงการขัดขืนหรือตอบโต้ อย่างเช่นในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1944 มีนักโทษหญิงชาวรัสเซียและโปแลนด์ถูกบังคับให้ยอมยกลูกๆของตนให้พวกเยอรมันไป โดยในคำสั่งระบุว่าเด็กๆเหล่านั้นจะถูกโยกย้ายให้ไปอยู่ที่อื่น

ภาพที่น่าเวทนาสงสารก็อุบัติขึ้นเมื่อหญิงเหล่านั้นส่งพวกเด็กให้แก่พวกเยอรมัน แต่ละคนต่างหาไม้กางเขนหรือโลหะมาห้อยคอลูกๆเพื่อทำเป็นเครื่องหมายให้สามารถจดจำได้ในภายหลัง

แต่ละคนร้องไห้ด้วยความเสียใจขณะมอบเลือดในอกที่รักปานดวงใจให้แก่พวกเยอรมันไป ไม่มีนักโทษหญิงคนใดกล้าขัดขวางการกระทำของพวกเยอรมันและในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครฆ่าตัวตายด้วย เพราะว่าได้ยาหอมจากพวกเยอรมันว่าเด็กๆเหล่านั้นจะถูกนำไปเลี้ยงดูเป็นอย่างดีและจะได้กลับมาพบกับมารดาอีกครั้งหนึ่ง

การดำเนินงานของขบวนการใต้ดินได้ก้าวหน้าไปตามลำดับ วิธีการที่พวกเรานำมาใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายมีอยู่หลายประการ นับตั้งแต่ส่งสมาชิกของขบวนการออกไปทำหน้าที่ผู้สื่อข่าวและสอดแนมในหมู่นักโทษจนกระทั่งถึงการก่อวินาศกรรมในโรงงานผลิตยุทธปัจจัยและการใช้ระเบิดทำลายเตาเผาศพในที่สุด

สมาชิกที่ออกไปทำหน้าที่เป็นผู้สื่อข่าวจะได้รับมอบหมายให้ไปเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับสงครามโดยมีเป้าหมายเพื่อให้นักโทษมีขวัญและกำลังใจดีขึ้น การหาข่าวเพื่อนำไปป้อนให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายนี้กระทำได้โดยยากลำบากมาก เพราะพวกเราไม่สามารถได้ข่าวใดๆเลยจากฝ่ายสัมพันธมิตร

แต่ต่อมานายแอลเพื่อนของพวกเราในขบวนการใต้ดินได้ร่วมมือกับนักโทษที่ทำงานอยู่ในคลังแคนาดาทำการผลิตเครื่องรับวิทยุได้สำเร็จเครื่องหนึ่งและก็ได้นำเครื่องรับวิทยุนี้ไปฝังไว้ใต้ดินเพื่อให้รอดพ้นสายตาของพวกเยอรมัน

ในตอนกลางคืนดึกๆก็จะมีสมาชิกของขบวนการใต้ดินไปขุดเครื่องรับวิทยุนี้มาเปิดรับฟังข่าวการรบของฝ่ายสัมพันธมิตร  จากนั้นพวกเราที่ทำหน้าที่เป็นผู้สื่อข่าวก็นำข่าวที่ได้รับจากการฟังวิทยุไปบอกกล่าวแก่นักโทษอื่นๆให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

สถานที่ที่ใช้เป็นศูนย์กลางกระจายข่าวแก่บรรดานักโทษก็ได้แก่ห้องสุขาภายในค่าย ซึ่งสถานที่แห่งนี้มีบทบาททางสังคมเช่นเดียวกับโรงอาบน้ำและโรงพยาบาล

เมื่อใดที่พวกเยอรมันได้ข่าวระแคะระคายเกี่ยวกับงานเผยแพร่ข่าวสารสงครามของพวกเราเมื่อนั้นก็จะจัดการกับพวกเราอย่างโหดร้ายทารุณ

ทุกคนในค่ายได้รับความเดือดร้อนเสมอหน้ากันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังจากที่ฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีทางอากาศที่เมืองหนึ่งในประเทศเยอรมัน

วิทยุของรัฐบาลเยอรมันได้ออกประกาศว่า”จะทำการแก้เผ็ด”และเมื่อพวกเยอรมันปฏิบัติแก้เผ็ดจุดแรกก็คือในค่ายของพวกเรา โดยจะทำการคัดเลือกตัวนักโทษไปสังหารมากขึ้น

และเมื่อพวกยามรักษาการณ์ในค่ายรู้ข่าวการพ่ายแพ้ของฝ่ายเยอรมันเขาก็เริ่มสงสัยในพฤติการณ์ของพวกเรามากยิ่งขึ้น ได้เพิ่มมาตรการควบคุมและตรวจค้นนักโทษในค่ายบ่อยครั้ง


แม้แต่เจ้าหน้าที่ในระดับหัวหน้าในค่ายต่างก็หวาดผวาวิตกกังวลเกี่ยวกับงานใต้ดินของพวกเราไปตามๆกัน อย่างเช่น นายแพทย์เมงเกเลวิตกกังวลมากถึงกับผิวปากไม่ออกเหมือนอย่างเคย

สมาชิกของขบวนการใต้ดินบางคนก็ยังได้พยายามส่งข่าวสภาพอันเลวร้ายที่พวกเราประสบกันอยู่นี้ไปให้ฝ่ายสัมพันธมิตร ด้วยหวังจะให้เครื่องบินของกองทัพอากาศอังกฤษหรือของโซเวียตบินมาทิ้งระเบิดทำลายเตาเผาศพในค่าย เพื่อที่ว่ามันจะได้ลดอัตราการทำลายล้างมนุษยชาติของพวกเยอรมันลงไปได้บ้าง

และในที่สุดนักโทษชาวยิวจากประเทศเชโกสโลวะเกียผู้หนึ่งซึ่งเป็นฝ่ายซ้ายนิยมความรุนแรงก็ประสบความสำเร็จในการส่งข่าวไปให้กองทัพโซเวียต

ดิฉันได้รู้ข่าวมาว่ามีหน่วยก่อวินาศกรรมของฝ่ายสัมพันธมิตรมาปฏิบัติการอยู่ไม่ไกลจากค่ายของพวกเรา ซึ่งตามความเข้าใจของดิฉันแล้วเจ้าหน้าที่หน่วยก่อวินาศกรรมเหล่านี้ได้ทำการติดต่อกับนักโทษในค่าย และดิฉันก็ได้รับแจ้งมาว่าลูกระเบิดที่จะนำมาใช้ระเบิดทำลายสิ่งต่างๆในค่ายก็เป็นระเบิดที่ได้มาจากกองโจรของฝ่ายสัมพันธมิตรนี่เอง

กล่องระเบิดที่ได้มานี้มีขนาดเล็กเท่ากับซองบุหรี่ สามารถเก็บซุกซ่อนไว้ในเสื้อได้อย่างสะดวก ระเบิดเหล่านี้ถูกนำเข้ามาในค่ายได้อย่างไร?นั้นเป็นปัญหาที่พวกเราต้องติดตามกันต่อไป

ต่อมาดิฉันได้รู้ว่าพวกกองโจรรัสเซียซึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ตามภูเขาได้ส่งสมาชิกจำนวนหนึ่งมาป้วนเปี้ยนอยู่ในบริเวณใกล้ๆค่ายเอาส์ชวิตซ์อยู่เสมอ และคอยหาโอกาสติดต่อกับนักโทษที่ออกไปทำงานนอกค่าย ซึ่งในหมู่นักโทษที่ออกไปทำงานนอกค่ายก็มีส่วนหนึ่งเป็นสมาชิกของขบวนการใต้ดินของพวกเรา พวกกองโจรรัสเซียจึงนำลูกระเบิดไปฝังไว้ในดินแล้วแจ้งให้นักโทษที่ออกไปทำงานไปขุดแล้วลักลอบนำเข้ามาในค่าย

ระเบิดเหล่านี้นำเข้ามาในค่ายเพื่อจุดมุ่งหมายอะไร?พวกเราที่เป็นสมาชิกในขบวนการใต้ดินต่างรู้ว่ามันถูกนำเข้ามาเพื่อใช้ทำลายเตาเผาศพนั่นเอง

มีระเบิดจำนวนหนึ่งถูกลักลอบนำเข้ามาในค่ายแต่ถูกเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสจับได้ ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นพวกเยอรมันจะใช้มาตรการรุนแรงกับพวกที่ถูกจับได้โดยจะถูกนำตัวไปแขวนคอในทันที

เมื่อใดก็ตามที่พวกเยอรมันสงสัยว่าจะมีระเบิดซุกซ่อนอยู่ก็จะออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสทำการตรวจค้นตามคุกต่างๆทันที

ในเวลาตรวจค้นพวกเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสจะตรวจค้นกันอย่างละเอียดถี่ถ้วนในทุกตารางนิ้วเลยทีเดียว จะนำทุกสิ่งทุกอย่างในคุกออกมาค้นกระจุยกระจาย

แม้ว่าจะมีมาตรการป้องกันเข้มแข็งถึงเพียงนี้ องค์การใต้ดินของเราก็หาได้ถูกทำลายไปไม่ ยังคงทำงานต่อต้านอยู่ต่อไป สมาชิกขององค์การใต้ดินมักมีการเปลี่ยนตัวกันอยู่เสมอ หากคนใดถูกจับไปสังหารก็จะหาคนอื่นมาทำหน้าที่แทน

เด็กหนุ่มคนหนึ่งเป็นสมาชิกของขบวนการใต้ดินถูกนำตัวไปแขวนคอแค่หนึ่งวันก่อนที่จะมารับหีบห่อไปจากดิฉัน เพื่อนดิฉันคนหนึ่งเมื่อเห็นเหตุการณ์นั้นรูสึกตัวจนตัวสั่นงันงก เพราะจำได้ว่าเด็กหนุ่มคนนนี้เคยมาพบกับดิฉันที่โรงพยาบาล เธอได้ทากระซิบถามว่า

“นั่นมันเด็กคนที่มาโรงพยาบาลของพวกเราเมื่อวานนี้ไม่ใช้รึ”

“ฉันไม่เคยเห็นเด็กคนนั้นมาก่อนเลยนี่”

นี่เป็นกฎของคนที่ทำงานลับให้กับองค์การใต้ดิน พวกเราจะทำเป็นไม่รู้จักสมาชิกทุกคนที่ทำงานพลาดจนถูกพวกเยอรมันจับได้พวกเราในขบวนการใต้ดินไม่ได้เป็นวีรชน และไม่เคยอ้างตัวเองว่าเป็นวีรชนด้วย พวกเราไม่เคยได้รับเหรียญกล้าหาญจากชาติใดๆไม่ว่าจะเป็นเหรียญกล้าหาญจากสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส หรืออังกฤษ ทั้งๆที่งานของพวกเราเสี่ยงตายพอๆกันหรืออาจจะมากไปกว่าพวกที่ได้รับเหรียญกล้าหาญเหล่านั้นเสียอีก

ความจิงคงามตายหรือสิ่งที่เรียกว่าเสี่ยงตายนั้นไม่มีความหมายอไรกับพวกเราชาวค่ายเอาส์ชวิตซ์-เบอร์เคเนา ปกติความตายจะอยู่กับพวกเราตลอดเวลาเพราะทุกคนต่างมีสิทธิ์ที่จะถูกคัดเลือกตัวไปสังหารได้ทุกเมื่อ

การพยักหน้าของพวกเยอรมันแต่ละครั้งอาจหมายถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของพวกเราคนใดคนหนึ่ง หากใครไปเข้าแถวเรียกชื่อช้าอาจถูกตบหน้าอย่างน้อยหนึ่งฉาดหรือเผอิญพวกเยอรมันเกิดบ้าระห่ำขึ้นมาอาจชักปืนมายิงแทนการตบหน้านั้นก็ได้

พวกเราในค่ายต่างมีความรู้สึกว่าตนเองจะต้องตายไม่วันใดก็วันหนึ่ง ความรู้สึกนี้ฝังอยู่ในสายเลือดเลยทีเดียว อาจจะตายได้ทุกแบบ ไม่ถูกนำตัวไปสังหารในห้องรมก๊าซพิษก็อาจจะถูกผลักลงไปในเตาเผาศพ ถูกแขวนคอหรือถูกนำไปยิงเป้า ดังนั้นเหล่าสมาชิกของขบวนการใต้ดินต่างตระหนักว่าไหนๆจะตายก็ควรตายเพื่อการต่อสู้ให้ได้มาซึ่งบางสิ่งบางอย่างที่เอื้อผลประโยชน์ต่อขบวนการ

ดิฉันเคยกล่าวมาแล้วว่าตัวดิฉันเองมีหน้าที่ในการส่งจดหมายและห่อพัสดุของขบวนการใต้ดิน มีอยู่วันหนึ่งหลังจากรับพัสดุจากสาชิกแล้วก็รีบเข้าไปในโรงพยาบาลเพื่อจะนำไปเก็บไว้ใต้โต๊ะตัวหนึ่งในห้องพยาบาล

ขณะที่กำลังจะซ่อนห่อพัสดุอยู่นั้นก็มีเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสคนหนึ่งมาพบเข้าอย่างไม่คาดฝัน

“นั่นแกกำลังจะซ่อนอะไรไว้ตรงนั้น” เขาตะคอกถามด้วยใบหน้าถมึงทึง

ดิฉันตกใจแทบช็อกแต่ก็ได้ระงับใจไม่แสดงอะไรออกมาให้เกิดพิรุธแบบทำใจดีสู้เสือตอบไปว่า

“ชุดผ่าตัดค่ะ ดิฉันนำไปออกไปใช้แล้วกำลังจะเอามาเก็บเข้าที่”

“ขอดูหน่อย” เขาตะคอกใส่ดิฉันอีกเหมือนกับว่าเกิดความสงสัยอะไรขึ้นมา

ดิฉันดึงกล่องใส่ชุดผ่าตัดจากใต้โต๊ะออกมาให้เขาดูด้วยมืออันสั่นเทา แต่โชคดีเข้าข้างดิฉันเขาไม่ได้ตรวจดูของข้างในกล่อง เพียงแต่มองดูแวบเดียวก็เดินออกจากห้องพยาบาลไป ถ้าหากเขาตรวจดูในกล่องดิฉันก็คงเสร็จไปแล้ว

ปกติดิฉันจะได้รับจดหมายและหีบห่อต่างๆจากนักโทษชายที่เข้ามาทำงานเป็นกรรมกรในค่ายของนักโทษหญิง การรับ-ส่งสิ่งของต้องกระทำด้วยความรอบคอบและระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อให้นักโทษที่นำสิ่งของเหล่านั้นมาไปส่งคนรับโดยไม่ผิดตัว

ดิฉันจึงใช้แถบผ้าไหมมาห้อยคอเพื่อให้เป็นที่สังเกตและเมื่อจะส่งจดหมายหรือหีบห่อก็จะส่งให้คนมารับที่ใช้เครื่องหมายชนิดเดียวกัน ซึ่งปกติดิฉันจะไปพบคนเหล่านั้นในโรงอาบน้ำหรือไม่ก็ตามถนนที่คนเหล่านั้นมาทำงานกันอยู่

ในระยะแรกๆดิฉันยังไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับงานของขบวนการใต้ดินที่ตนมีส่วนร่วมอยู่ด้วยนั้นแต่ต่อมาก็รู้ว่างานของขบวนการนี้มีประโยชน์อย่างใหญ่หลวง

เมื่อตระหนักถึงข้อนี้ก็ทำให้มีกำลังใจที่จะล่มหัวจมท้ายกับขบวนการนี้มากยิ่งขึ้น ไม่รู้สึกหมดอาลัยตายอยากในชีวิต ได้พยายามรับประทานอาหารเพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรง เพื่อพร้อมที่จะเผชิญกับความลำบากในค่ายต่อไป

การรับประทานอาหารและการไม่ปล่อยให้ร่างกายทรุดโทรมก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้การต่อต้านเยอรมันประสบผลสำเร็จ

ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงมีชีวิตเพื่อทำงานต่อต้านและพยายามทำงานนี้เพื่อการมีชีวิตอยู่ของพวกเราต่อไป

แพทย์หญิงมีตรอฟนาศัลยแพทย์ชาวรัสเซียเป็นนักโทษหญิงรัสเซียคนแรกที่ดิฉันได้พบในขณะทำงานในโรงพยาบาล ดิฉันเคยรู้จักนักโทษหญิงจากประเทศต่างๆมามากมาย แต่ก็ไม่ค่อยจะมีโอกาสได้พบหญิงชาวรัสเซียมากนัก จึงมีความกระตือรือร้นที่จะทำความรู้จักกับหญิงจากประเทศนี้มากเป็นพิเศษ

แพทย์หญิงมีตรอฟนาเป็นคนร่างท้วมผมสีดำแต่มีดวงตาสีน้ำตาลคมวาว เป็นแพทย์ด้วยชีวิตจิตใจจริงๆ นอกจากจะอุทิศเวลารักษาคนไข้อย่างเต็มที่แล้วเธอก็ยังพยายามต่อสู่สู้เพื่อคนไข้ตลอดมา

เมื่อนายแพทย์เมงเกเลทำการคัดเลือกคนไข้เพื่อย้ายไปที่”โรงพยาบาลแห่งใหม่” เธอคัดค้านอย่างเต็มที่โยยืนยันกับนายแพทย์เมงเกเลว่า

“คนไข้หญิงคนนี้ไม่ได้เป็นอะไรมากนะคะ ตอนนี้เธอหายดีแล้ว จะออกจากโรงพยาบาลได้ภายใน 3 วัน”

ซึ่งก็เป็นที่น่าประหลาดว่านายแพทย์เมงเกเลได้ยินยอมทำตามข้อเสนอของเธอเสมอ

เธอจะสร้างบรรยากาศแห่งความเป็นมิตรกับทุกๆคน ใครที่พบเห็นพูดคุยด้วยก็จะเกิดความรู้สึกนับถือชื่นชมในกิริยาอาการที่เป็นธรรมชาติและความเป็นผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารีของเธอ

คงไม่มีใครอีกแล้วที่จะเอาจริงเอาจังกับงานเหมือนแพทย์หญิงวัย 50 ปีผู้นี้ เมื่อใดที่เห็นดิฉันหน้าซีดเซียวเพราะตรากตรำทำงานหนักเธอก็จะมาพูดกับดิฉันว่า “แบบนี้เป็นคนรัสเซียได้สบายมาก”เธอจะกล่าวชมเชยเป็นการให้กำลังใจผู้อื่นด้วยคำพูดเช่นนี้อยู่เสมอ

ในระยะที่รัสเซียส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดในค่ายมีนักโทษเป็นจำนวนมากได้รับบาดเจ็บ ดิฉันพยายามจับตาดูว่าเธอจะมีใจลำเอียงให้การดูแลรักษาเฉพาะเพื่อนร่วมชาติชาวรัสเซียของเธอเท่านั้นหรือไม่

ปรากฏว่าเธอไม่เป็นคนเช่นนั้นเลย เธอจะเอาใจใส่ดูแลผู้บาดเจ็บทุกคนโยไม่คำนึงว่าจะมาจากประเทศใด พ้อมกับกล่าวถ้อยคำปลอบโยนให้คนเจ็บทุกคนมีกำลังใจเสมอ

ในเทศกาลวันคริสต์มาสแพทย์หญิงมีตรอฟนาได้มาร่วมในพิธีและร่วมเต้นรำกับแพทย์และพยาบาลในโรงพยาบาล โดยไม่ถือเนื้อถือตัวเลยแม้แต่น้อยและได้ร่วมร้องเพลงกับคนอื่นๆด้วยความสนุกสนานเธอบอกกับพวกเราว่า เมื่อครั้งที่อยู่ประเทศรัสเซียเธอชอบไปร่วมงานสำคัญอย่างนี้เพราะมีอาหารดีๆให้รับประทาน

ดิฉันสังเกตเห็นว่า แม้ว่าจะมาจากประเทศคอมมิวนิสต์ซึ่งไม่ยอมให้คนนับถือศาสนาแต่เธอก็มีใจกว้างยอมรับฟังความคิดเห็นของเพื่อนนักโทษที่เขานับถือศาสนากันซึ่งผิดกับนักโทษชาวรัสเซียคนอื่นๆที่ยังมีความคิดแบบเดิมอยู่”พวกเราจะจดจำเทศกาลคริสต์มาสที่จัดขึ้นในขณะที่พวกเราถูกกักกันอยู่ในค่ายแห่งนี้”เธอกล่าวกับพวกเรา

“เพราะในงานนี้มีประชาชนจากทุกประเทศในยุโรปมาชุมนุมกันและต่างก็หวังในสิ่งเดียวกันคืออิสรเสรีภาพ”

ต่อมาดิฉันได้พบกับหญิงชาวรัสเซียอีกหลายคนแต่ละคนแม้จะมีลักษณะภายนอกออกจะแข็งกร้าวไปบ้างแต่ภายในจิตใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความกรุณาและความสุภาพอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ

ทุกครั้งเมื่อจะส่งคนไข้ไปเข้าโรงพยาบาลในค่ายเอฟ.แพทย์หญิงมีตรอฟนาจะเป็นผู้ตัดสินใจเลือกผู้ที่จะทำหน้าที่หามเปลคนไข้

ครั้งแรกดิฉันถูกเลือกให้ไปทำหน้าที่นี้ก็ถึงกับร้องไห้เนื่องจากเกิดความกลัวและหวั่นวิตกมาก ในขณะที่หามเปลคนไข้ไปนั้นมียามรักษาการณ์เดินติดตามไปด้วย

แต่ก็แปลกที่ยิ่งเดินห่างออกจากรั้วลวดนามในค่ายออกไปไกลมากเท่าใดก็ดูเหมือนว่ายิ่งมีจิตใจปลอดโปรงโล่งอกมากขึ้นๆเท่านั้น มีความรู้สึกว่างานชนิดนี้แม้ว่าจะเป็นงานหนักมิใช่น้อยแต่ก็เป็นงานที่มีค่ามากพอดู

พวกเรา 5 คนใช้เวลาประมาณ 15 นาทีกว่าจะหามคนไข้ไปถึงห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลในค่ายเอฟ. เมื่อไปถึงก็ได้เห็นภาพในห้องผ่าตัดซึ่งขณะนั้นบรรดาแพทย์กำลังขมีขมันผ่าตัดช่วยชีวิตคนไข้รายหนึ่งอยู่ มันแตกต่างกับอีกภาพหนึ่งซึ่งเป็นภาพที่พวกเยอรมันส่งคนไข้ไปยังห้องรมก๊าซพิษ

ขณะที่นายแพทย์กำลังทำการผ่าตัดคนไข้อยู่นั้น ดิฉันมองสำรวจไปรอบๆห้องผ่าตัดเมื่อเห็นเครื่องมือผ่าตัด เห็นคนไข้ที่ถูกคลุมด้วยผ้าขาวและได้กลิ่นยาสลบในห้องนั้น ก็ทำให้หวนรำลึกถึงสามีและโรงพยาบาลของเราที่เมืองครูซขึ้นมาทันที ในขณะที่ดิฉันยืนใจลอยอยู่นั้นเองพลันก็มีคนๆหนึ่งมากระซิบที่ข้างหู

“กรุณาอย่าขยับเขยื้อนหรือถามอะไร รีบไปติดต่อกับนายจากัวส์บุรุษพยาบาลชาวฝรั่งเศสที่ศูนย์พยาบาลของคุกหมายเลข 30”

ครั้งแรกก็แปลกใจว่าทำไมเขาถึงรู้ว่าดิฉันเป็นสมาชิกของขบวนการใต้ดิน แต่ต่อมาก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี ก็เพราะดิฉันมีแถบผ้าไหมห้อยคออยู่นั่นเองจึงทำให้เขารู้ว่าดิฉันเป็นสมาชิกของกลุ่มต่อต้านพวกเยอรมัน

ดิฉันต้องปฏิบัติตามคำสั่งที่มากระซิบบอกแต่จะทำอย่างไรล่ะ? ในเมื่อขณะนี้ดิฉันมาอยู่ในโรงพยาบาลของค่ายกักกันชายและดิฉันก็เป็นผู้หญิงเสียด้วยจะหาทางเข้าไปในคุกของนักโทษชายได้อย่างไรกัน?

ทันใดนั้นเองพยาบาลคนหนึ่งได้กระหืดกระหอบเข้าไปบอกนายแพทย์ที่กำลังผ่าตัดคนไข้อยู่ว่านายแพทย์เมงเกเลกำลังเดินทางมาทางนี้

นายแพทย์เหล่านั้นได้พยายามระงับความตื่นตระหนก แต่เสียงที่สั่งการออกมาบ่งบอกถึงความตื่นเต้นลนลานอย่างไรชอบกล 

“ซ่อนถุงมือเดี๋ยวนี้  เปิดประตูออกให้หมด อย่าให้นายแพทย์เมงเกเลได้กลิ่นยาสลบเป็นอันขาด”

เหตุการณ์ในวินาทีนี้เองทำให้ดิฉันเข้าใจอะไรต่อมิอะไรได้ดีขึ้น นายแพทย์ที่ทำการผ่าตัดอยู่นี้ใช้อาหารที่ได้รับแจกประจำวันไปแลกเอาเครื่องมือผ่าตัดและยาสลบมาจากโรงพยาบาลแห่งอื่นเพื่อนำมาผ่าคนไข้

เวลานี้พวกเขาจะต้องซ่อนทุกอย่างเพื่อไม่ให้นายแพทย์เมงเกเลพบเห็นมิฉะนั้นจะถูกลงโทษหรือนำตัวไปสังหารในฐานให้ความเมตตาปรานีแก่คนไข้

แต่การผ่าตัดต้องดำเนินต่อไป หญิงคนไข้ซึ่งนอนอยู่บนเตียงผ่าตัดร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวดทั้งนี้เพราะยอมให้แพทย์ทำการผ่าตัดโดยไม่ได้ใช้ยาสลบ

“ไอ้ปีศาจร้าย”ดิฉันสบถออกมาอย่างไม่รู้ตัว ความเจ็บแค้นพวกเยอรมันที่เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้ต้องรีบไปที่คุกหมายเลข 30 ทันที

ขณะที่ดิฉันกำลังคิดหาวิธีการที่จะไปยังคุกหมายเลข 30 อยู่นั้น บังเอิญสายตาเหลือบไปเห็นผ้าห่มกองอยู่ในเปลหามคนไข้ จึงเกิดความคิดที่จะใช้มันห่มเดินเข้าไปโยทำทีว่าเป็นคนไข้ ก็คงจะไม่มีใครสงสัยและจับได้ เพราะการที่คนไข้ใช้ผ้าห่มคลุมตัวเดินไปไหนมาไหนนั้นเป็นเรื่องที่พบเห็นกันอยู่ในค่ายเป็นประจำ

ดิฉันรีบนำผ้าห่มมาคลุมตัวแล้ววิ่งออกจากห้องผ่าตัดมุ่งตรงไปพบนายจากัวส์บุรุษพยาบาลที่คุกหมายเลข 30 เมื่อไปถึงก็ได้พบกับบุรุษพยาบาลผู้นี้ ดิฉันก็ได้บอกกับเขาว่าได้รับคำสั่งให้มารับของ

เขารีบปีนขึ้นไปบนเตียงชั้นสูงสุดแล้วนำกล่องเล็กๆกล่องหนึ่งที่รองศีรษะคนไข้ชายอยู่ออกมามอบให้

“เอาสิ่งนี้ไปมอบให้คุณ....ที่ค่ายของคุณนะครับ” เขาบอกดิฉัน

เมื่อได้ของสิ่งนั้นแล้วดิฉันก็รีบวิ่งกลับมาที่คุกผ่าตัดอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าเพื่อนๆที่หามคนไข้มากับดิฉันไม่อยู่ที่นั่นเสียแล้ว เปลที่หามคนไข้มาก็หายไปด้วย แสดงว่าเพื่อนๆได้กลับเข้าค่ายกันหมดแล้ว

ดิฉันจึงรีบวิ่งไปที่ประตูค่ายก็เห็นแพทย์หญิงมีตรอฟนากำลังโต้เถียงอยู่กับเจ้าหน้าที่เยอรมัน ซึ่งก็คงจะมีสาเหตุมาจากที่พวกเราเข้าไปในค่ายนักโทษชายนานเกินควรและเมื่อกลับออกมาดิฉันหายไปคนหนึ่ง


เมื่อแพทย์หญิงมีตรอฟนาเห็นดิฉันวิ่งไปหาโดยมีผ้าห่มคลุมศีรษะมาด้วยเธอก็เข้าใจที่จะหาทางออกได้โต้เถียงกับเจ้าหน้าที่เยอรมันผู้นั้นว่า

“ฉันบอกคุณแล้วไงว่า มีคนหยิบผ้าห่มจากเปลหามคนไข้ของพวกเราไป ดิฉันจึงส่งนักโทษคนนี้ไปเอามันกลับคืนมา คุณก็เห็นกับตาแล้วนี่ไง ยังไม่เชื่ออีกหรือ?”

แพทย์หญิงมีตรอฟนาพูดภาษาเยอรมันได้เพียงเล็กน้อย ตลอดเวลาที่พูดกับเจ้าหน้าที่เยอรมันเธอพูดด้วยภาษารัสเซียปนเยอรมัน เมื่อเป็นเช่นนี้ยิ่งช่วยดิฉันได้เป็นอย่างดีกว่าที่เธอพูดแต่ภาษารัสเซีย

เจ้าหน้าที่เยอรมันก็อ่อนใจไม่ต้องการซักถามมาก เรื่องราวจึงลงด้วยดี ในขณะเดินกลับเข้าค่ายดิฉันวิตกอยู่ตลอดเวลาเกรงว่าแพทย์หญิงมีตรอฟนาจะถามถึงสาเหตุที่กลับมาช้า แต่การณ์กลับปรากฏว่าเธอไม่ได้ถามถึงเรื่องนี้แม้แต่คำเดียว

เมื่อกลับถึงค่ายแล้วดิฉันพยายามตามหาคนที่นายจากัวส์บอกให้มอบหีบห่อชิ้นนั้นให้แต่เธอไม่ได้อยู่ในค่าย อย่างไรก็ดีในวันรุ่งขึ้นนายจากัวส์ได้ส่งคนมารับหีบห่อนั้นไป จึงเป็นอันว่าในที่สุดก็สามารถกำจัดกล่องบรรจุลูกระเบิดออกไปจากตัวเองได้ ซึ่งเจ้ากล่องนี้เองเกือบจะทำให้เอาตัวไม่รอดอย่างที่กล่าวมาแล้ว

ดิฉันไม่รู้ว่าแพทย์หญิงมีตรอฟนาคิดอย่างไร ที่จริงเธอควรจะบอกยามรักษาการณ์หน่วยเอสเอสผู้นั้นว่าดิฉันออกจากกลุ่มผู้หามเปลไปโดยไม่ได้รับอนุญาต

ซึ่งถ้าหากบอกไปเช่นนี้เธอเองก็ไม่ต้องมาลำบากเถียงช่วยดิฉัน แต่กลับไม่ทำเช่นนี้หากแต่ได้โต้เถียงกับเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสผู้นั้นเพื่อประวิงเวลารอ

และเมื่อเธอเห็นผ้าห่มหายไปจากเปลก็ใช้กรณีนี้เป็นข้ออ้างเพื่อช่วยชีวิตของดิฉันเอาไว้ ซึ่งก็นับได้ว่าเธอเป็นสหายที่ดีคนหนึ่งเท่าที่เคยพบมา

ดิฉันจำได้ว่าเคยเห็นกรรมกรที่นำหีบห่อมามอบให้ดิฉันเป็นประจำได้เข้าไปพูดคุยกับแพทย์หญิงรัสเซียคนนี้อยู่เสมอ ดิฉันจึงพออนุมานได้ว่าเธอน่าจะเป็นสมาชิกของขบวนการใต้ดินด้วยคนหนึ่ง และเธอก็น่าจะรู้เช่นกันว่าดิฉันเป็นสมาชิกขบวนการใต้ดิน

บางทีอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้กระมังเธอจึงเลือกดิฉันให้ไปทำหน้าที่หามเปลคนไข้ไปที่ค่ายเอฟ.และได้ช่วยดิฉันให้รอดพ้นจากการถูกยามรักษาการณ์หน่วยเอสเอสเล่นงาน

ตามปกติแล้วพวกเราที่เป็นสมาชิกของขบวนการใต้ดินมักจะไม่ค่อยรู้จักกัน ทั้งนี้เพราะเป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างหนึ่ง คือถ้าเผื่อบังเอิญใครคนใดคนหนึ่งถูกจับก็จะได้ไม่มีโอกาสเปิดเผยชื่อของสมาชิกคนอื่นๆของขบวนการ

หรือบางทีแพทย์หญิงมีตรอฟนาอาจจะไม่ได้เป็นสมาชิกของขบวนการใต้ดิน แต่การทำงานของเธอชวนให้เชื่อว่าน่าจะเป็นสมาชิกที่ทำงานทุกอย่างเพื่อขบวนการใต้ดิน

ในวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1944 เวลาประมาณบ่าย 3 โมงมีเสียงระเบิดดังกึกก้องสั่นสะเทือนไปทั้งค่ายราวกับเกิดแผ่นดินไหว พวกนักโทษต่างมองหน้ากันด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น?หลังจากเสียงระเบิดแล้วก็มีแสงไฟพวยพุ่งขึ้นจากบริเวณที่ตั้งของเตาเผาศพและมีข่าวแพร่สะพัดไปเหมือนไฟลามทุ่งว่าเตาเผาศพเตาหนึ่งถูกวางระเบิดพังพินาศ

พวกทหารหน่วยเอสเอสและเจ้าหน้าที่เยอรมันตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ครั้งนี้มาก พวกเขารีบกระจายกำลังออกปฏิบัติงานกันจ้าละหวั่น ด้วยความเกรงกลัวว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้นักโทษฉวยโอกาสก่อการจลาจล ทหารหน่วยเอสเอสได้ใช้ปืนยิ่งขู่นักโทษที่ออกมามุงดูเหตุการณ์ให้กลับเข้าคุก

ดิฉันต้องการจะรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไรกันแน่ จึงถือโอกาสตอนเกิดโกลาหลออกจากโรงพยาบาลไปที่โรงครัว ซึ่งอยู่ห่างจากประตูค่ายของดิฉันประมาณ 10 หลา และจากจุดที่ตั้งของโรงครัวนี้เองก็สามารถมองเห็นเหตุการณืที่เกิดขึ้นในบริเวณเตาเผาศพได้อย่างชัดเจน

เห็นมีกองทหารหน่วยเอสเอสเป็นจำนวนมากกำลังมุ่งหน้าตรงมาที่ค่าย บางพวกนั่งมาในรถบรรทุก บางพวกขับขี่รถจักรยานยนต์กันมาเป็นทิวแถว ติดตามมาด้วยขบวนรถบรรทุกกระสุนปืน

เมื่อมาถึงก็ได้โอบล้อมบริเวณเตาเผาศพและเปิดฉากระดมยิงปืนกลเข้าไปทันที ดิฉันยืนตัวสั่นด้วยความกลัว ทำไมหรือคะ? ก็เพราะว่ามีเสียงปืนพกยิงตอบโต้ออกมาจากบริเวณด้านในของเตาเผาศพด้วย นี่มันเกิดการจลาจลหรือเปล่า?พวกทหารได้ใช้ปืนกลระดมยิงอย่างหนักราวกับห่าฝนครู่หนึ่งก็บุกเข้าไปในบริเวณเตาเผาศพได้สำเร็จ

อะไรเกิดขึ้น? สิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้ก็คือ พวกสมาชิกขบวนการใต้ดินที่ทำงานอยู่ในตึกเตาเผาศพได้วางแผนระเบิดเตาเผาศพทั้ง 4 เตาทิ้งโดยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มของนายแพทย์ปัสเช่ ซึ่งจัดหาลูกระเบิดจำนวนหนึ่งมาให้

และระเบิดก็มีจำนวนเพียงพอที่จะใช้ระเบิดทำลายเตาเผาศพทั้ง 4 เตาได้ในพริบตาแต่เกิดการผิดพลาดบางประการทำให้สามารถระเบิดทำลายเตาเผาศพได้เพียงเตาเดียวเท่านั้น มันน่าเสียดายจริงๆ

การปฏิบัติการก่อวินาศกรรมในครั้งนี้มีนายเดวิดยิวหนุ่มจากประเทศฝรั่งเศสเป็นตัวตั้งตัวตี ทั้งนี้เนื่องจากนายเดวิดรู้ตัวว่าจะถูกประหารชีวิต เพราะเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่านักโทษที่ทำงานในเตาเผาศพทุกคนจะถูกนำตัวไปกำจัดในทุก 3-4 เดือน

เดวิดตัดสินใจใช้เวลาอันน้อยนิดที่ชีวิตจะดำรงอยู่ได้นี้สร้างประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จึงไปเอาระเบิดจากกลุ่มของนายแพทย์ปัสเช่มาแอบซุกซ่อนเอาไว้ แต่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นเสียก่อนจึงทำให้แผนการของเดวิดล้มเหลว

กล่าวคือพวกเยอรมันได้เตรียมนำพวกที่ทำงานประจำหน่วยเตาเผาศพรุ่นเดียวกับเดวิดไปสังหารก่อนกำหนดโยได้ออกคำสั่งให้ทุกคนเตรียมพร้อมไปขึ้นรถออกจากเจาเผาศพ

ในหมู่นักโทษที่ถูกกำจัดในครั้งนี้มีเพียง 100 คนเท่านั้นที่ยอมปฏิบัติตามคำสั่ง ส่วนพวกที่เหลืออีกเป็นจำนวนมากพากันต่อต้านและขัดขืนไม่ยอมปฏิบัติตาม

ซึ่งโดยทั่วไปแล้วนักโทษที่ประจำอยู่หน่วยนี้จะเป็นผู้มีร่างกายล่ำสันแข็งแรง เมื่อมารวมหัวกันต่อต้านเช่นนี้เจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสแค่ 2-3 คนที่มาควบคุมอยู่นั้นจึงไม่สามารถดำเนินการปราบปรามใดๆได้ ต้องรีบถอนตัวออกไปเพื่อรอกำลังเสริมจากหน่วยอื่น

ในขณะที่กองกำลังสนับสนุนยังเดินทางมาไม่ถึงนักโทษก็ได้นำระเบิดไปวางไว้ที่เตาเผาศพเตาหนึ่ง แล้วใช้น้ำมันราดและทำการจุดชนวนระเบิดจนเกิดระเบิดสนั่นหวั่นไหว เป็นเหตุให้เตาเผาศพพังพินาศไป 1 เตา

พวกเขาพยายามที่จะใช้ระเบิดทำลายเตาเผาศพอีก 3 เตาที่ยังเหลืออยู่แต่ไม่มีเวลาพอที่จะทำได้ เพราะกองกำลังเสริมของเยอรมันได้เดินทางมาถึงเสียก่อน

เจ้าหน้าที่ประจำเตาเผาศพที่ 4 ได้ถือโอกาสในตอนที่เกิดสับสนวุ่นวายตัดลวดหนามหนีออกจากค่ายได้สำเร็จซึ่งมีบางคนเท่านั้นถูกนำตัวกลับมาได้แต่ส่วนใหญ่แล้วสามารถหนีรอดไปได้

ในการต่อสู้กันระหว่างเจ้าหน้าที่กำลังเสริมของพวกเยอรมันกับนักโทษประจำเตาเผาศพครั้งนี้ ทางฝ่ายนักโทษได้ทำการต่างสู้อย่างเต็มความสามารถแต่อาวุธที่มีอยู่มีเพียงท่อนไม้ก้อนหินและปืนพกไม่กี่กระบอก ไหนเลยจะสู้กับกองทหารติดอาวุธทันสมัยและได้รับการฝึกมาอย่างดีได้ ผมก็คือนักโทษ 430คนถูกจับเป็นรวมทั้งนายเดวิดตัวตั้งตัวตีในการก่อจลาจลครั้งนี้ซึ่งก็ได้รับบาดเจ็บ

หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ผ่านไปพวกเยอรมันได้ทำการตอบโต้นักโทษอย่างรุนแรง โดยเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสบังคับให้นักโทษที่ถูกจับได้ลงคลานกับพื้นดิน แล้วเจ้าหน้าที่ 2-3 คนก็จ่อปืนยิงทางต้นคอด้านหลังของนักโทษทีละคนๆ

นักโทษคนใดเงยหน้าขึ้นไปมองดูเจ้าหน้าที่หรือเพื่อนๆที่กำลังถูกจ่อยิง นักโทษคนนั้นก็จะถูกเฆี่ยนอย่างแรง 25 ทีก่อนที่จะถูกยิงตาย

หลังจากจลาจลครั้งนี้แล้วพวกเยอรมันก็ยังตอบโต้นักโทษในค่ายเป็นการแก้เผ็ดหลายอย่างด้วยกัน เช่น มีการทุบตีนักโทษอย่างทารุณบ่อยครั้งขึ้น และเพิ่มจำนวนครั้งในการตัดเลือกนักโทษไปประหารชีวิต

ในขณะที่ทำการคัดเลือกตัวนักโทษนายแพทย์เมงเกเลจะใช้ปืนยิงนักโทษทันทีถ้าหากนักโทษที่ได้รับการคัดเลือกไว้แล้วพยายามจะหลบหนี

และพวกผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นๆก็ทำตามนายแพทย์เมงเกเลนั้นด้วย พื้นที่ส่วนใหญ่ในค่ายกักกันจึงเกรอะกรังไปด้วยเลือดนักโทษ ซึ่งกว่าเลือดจะหมดไปได้ต้องรอฝนครั้งใหม่มาช่วยชะล้าง

สำหรับเจ้าหน้าที่ประจำตึกเตาเผาศพอีกหลายร้อยคน ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจลาจลครั้งนี้ ก็ได้ถูกนำตัวไปสังหารหมู่ด้วยการยิงเป้าที่บริเวณใกล้ๆค่ายนั่นเอง

และหนึ่งในจำนวนบุคคลที่ถูกนำตัวไปสังหารในครั้งนี้คือนายแพทย์ปัสเช่นายแพทย์ชาวฝรั่งเศสซึ่งทำงานในหน่วยประจำเตาเผาศพและก็เป็นสมาชิกคนสำคัญของขบวนการใต้ดินต่อจ้านเยอรมันมนค่าย

เขาผู้นี้เองคือผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกิจการของเจ้าหน้าที่ประจำเตาเผาศพ นายแอลซึ่งพบกับเขาในช่วงสั้นๆก่อนที่เขาจะถูกนำตัวไปยิงเป้าครั้งนี้ได้เล่าให้ดิฉันฟังว่า นายแพทย์ปัสเช่ไม่ได้แสดงความสะทกสะท้านใดๆเลยเมื่อพูดถึงความตายที่กำลังจะมาถึง

ถ้าหากจะถามว่า เรารู้สึกเสียใจที่ระเบิดเตาเผาศพได้ไม่สำเร็จทั้งหมดครั้งนี้หรือไม่? แน่นอนว่าคำตอบของพวกเราคือเสียใจมาก

แต่เหตุการณ์ครั้งนี้แม้ว่าจะกระทำสำเร็จได้ไม่สมบูรณ์ทว่าอย่างน้อยมันก็ได้แสดงให้เห็นว่า ค่ายเอาส์ชวิตซ์-เบอร์เคเนาไม่ได้คงสภาพเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น