ทหารหน่วยเอสเอสเดินประกบพวกเราทั้งสองข้างไปตามถนนเอาส์ชวิตซ์
คืนนั้นอากาศหนาวเย็นมีหิมะตกมาก
ความหนาวเหน็บมีมากจนชุดขาดๆของพวกเราไม่สามารถให้ความอบอุ่นได้
เสียงปืนใหญ่ที่ดังแว่วอยู่ในระไกลก็ค่อยๆได้ยินดังชัดเจนยิ่งขึ้น
เสียงของมันดังกึกก้องใกล้เข้ามาและมีระยะถี่ขึ้นๆ
ลำแสงของขีปนาวุธที่ยิงเข้าหากันมองเห็นเป็นประกายวูบวาบจับท้องฟ้าเป็นระยะๆ
นั่นแสดงว่ากองทัพรัสเซียกำลังทำการโจมตีกองทหารเยอรมันอย่างหนัก
เสียงประสานกันของปืนใหญ่ที่ดังอยู่ในระยะไกล เป็นราวกับเสียงดนตรีขับกล่อมการอำลาค่ายนรกของพวกเราได้เป็นอย่างดี
พวกเยอรมันบังคับให้พวกเราเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้นอีก
ทหารหน่วยเอสเอสที่คุมมาต่างก็แสดงอาการตื่นตระหนกไปตามๆกัน
ได้ใช้แส้เฆี่ยนตีพวกเราให้วิ่ง
จนกระทั่งพวกเราเหนื่อยหอบและเหงื่อเปียกชุ่มเสื้อผ้าจนลืมความหนาวเหน็บไปได้ขั่วขณะ
ส่วนพวกสุนัขก็ดูเหมือนจะรู้ว่านายของพวกมันกำลังตกอยู่ในอันตราย
ได้แสดงความดุร้ายมากขึ้นเป็นทวีคูณ
มันต่างแยกเขี้ยวส่งเสียงคู่คำรามพร้อมที่จะเล่นงานนักโทษคนใดก็ตามที่แตกแถวออกไป
ค่ายเอาส์ชวิตซ์ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีแสงไฟฟ้าส่องสว่างไสวบัดนี้ได้ตกอยู่ในความมืด
เมื่อ 2-3
ชั่วโมงก่อนหน้านี้พวกเราเคยตั้งตาคอยการเดินทางครั้งนี้ด้วยความกระวนกระวายและขณะนี้ก็ได้เดินทางมาแล้วทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่าจะถูกนำไปที่ไหนแบะทั้งไม่รู้ด้วยว่าพวกนาซีจะเล่นเกมอะไรอีกก่อนที่พวกเราจะได้รับอิสรภาพ
ถึงแม้ว่าจะมีประสบการณ์อยู่กับพวกเยอรมันมาหลายเดือนแต่พวกเราก็เดาไม่ถูกว่าความโหดร้ายอะไรบ้างกำลังรอคอยพวกเราอยู่ข้างหน้า
นักโทษหญิง 6,000
คนเดินเป็นทิวแถวไปตามถนนในย่านชนบทที่กำลังปกคลุมไปด้วยหิมะ
เกือบทุกอย่างก้าวของพวกเราได้พบซากศพที่หิมะปกคลุมอยู่ไม่มิดศีรษะยังโผล่ขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน
นั่นแสดงว่าได้มีทักโทษกลุ่มอื่นอพยพไปก่อนหน้านี้แล้ว
พอเห็นศพเหล่านี้พวกเราก็พอจะอนุมานได้ว่าเป็นศพของพวกนักโทษที่ถูกสังหารเพราะเคยเห็นพวกทหารหน่วยเอสเอสสังหารนักโทษโดยปราศจากเหตุผลนี้มานักต่อนักแล้ว
ในคืนแรกของการเดินทางดิฉันสังเกตเห็นว่ามีเพื่อนนักโทษจำนวนไม่น้อยเมื่อยล้าหมดแรงเดินไม่ไหวออกจากแถวไปอยู่ตามมุมถนน
แล้วขอขึ้นรถม้าคันหนึ่งที่ทหารหน่วยเอสเอสขับตามหลังขบวนเดินเท้าของพวกเรามา
ดิฉันคิดในใจว่านักโทษเหล่านั้นช่างฉลาดเฉียบแหลมอะไรอย่างนั้น
จึงอยากคิดจะทำเช่นนั้นบ้างเพื่อจะได้ช่วยประหยัดแรงเอาไว้
ได้คอยจับตามองดูรถม้าคันนั้นที่ขับรับนักโทษตามรายทางมาอย่างช้าๆ
แต่พอมันเข้ามาใกล้ก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่านักโทษที่นั่งอยู่บนรถเหล่านั้นไม่ใช่พวกเดิมที่นั่งอยู่ในครั้งแรกเสียแล้ว
คงจะมีอะไรเกิดขึ้นกับนักโทษอีกแล้วละสิดิฉันคิด
โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับเพื่อนแพทย์คนหนึ่งได้ช่วยให้ดิฉันเข้าใจเรื่องนี้ได้ดีขึ้น
เพื่อนแพทย์คนนี้ชื่อแพทย์หญิงโรสซาเป็นหญิงวัยสูงอายุจากประเทศเชโกสโลวะเกีย
เดินมาได้ไม่นานก็หมดแรงไปตามวัย
เมื่อดิฉันเห็นเช่นนั้นก็ได้เข้าไปช่วยเหลือแต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
เธอยังเดินรั้งท้ายขบวนอยู่ตลอดเวลาและเธอขอร้องให้ดิฉันปล่อยให้เธอเดินอยู่ตามลำพัง
แต่ด้วยความสงสารดิฉันจึงบอกไปว่าจะช่วยประคองเธอไปจนถึงที่สุดแต่เธอก็ยังไม่ยอมอยู่ดี
เมื่อถูกขอร้องมากๆดิฉันเลยทิ้งเธอแล้วเดินจากมาทั้งๆที่วิตกเหมือนกันว่าการปล่อยเธอไว้เช่นนั้นไม่ใช่เรื่องดีนัก
แต่ก็ไม่ได้คิดเยว่าเธอจะต้องถึงกับเสียชีวิต
และเมื่อดิฉันหันหลังกลับไม่มองอีกครั้งหนึ่งก็เห็นทหารหน่วยเอสเอส
5 คนเดินตามหลังขบวนมาอย่างกระชั้นชิด
ทหารหน่วยเอสเอสคนหนึ่งได้ยกมือขวายื่นไปทางแพทย์หญิงโรสซาซึ่งกำลังยืนอยู่กลางถนน
แพทย์หญิงโรสซาเห็นท่าทางของทหารคนนั้นก็รู้อย่างแน่ขัดว่าอะไรจะเกิดขึ้น
มองเห็นเธอยกมือขึ้นป้องหน้าด้วยความกลัวอย่างสุดขีด มีเสียงปืนระเบิดขึ้นหนึ่งนัด
พร้อมกับร่างของแพทย์หญิงโรสซาล้มลงขาดใจตายอยู่กลางถนนนั่นเอง
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ทำให้ดิฉันพอจะเข้าใจถึงชะตากรรมของผ็ที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเดินตามหลังและของผู้ที่ถูกนำตัวขึ้นรถม้าคันนั้นมาได้เป็นอย่างดี
กับทั้งยังพอเข้าใจด้วยว่าทำไมถึงมีซากศพกว่า 119
ศพนอนตายเกลื่อนกลาดอยู่ตามสองข้างถนนที่เดินทางผ่านมา
ทั้งนี้ยังไม่นับซากศพอีกจำนวนหนึ่งที่อยู่ในคูสองข้างถนนทั้งๆที่เพิ่งจะออกเดินทางกันมาชั่วระยะเวลาเพียง
20 นาทีเท่านั้นเอง
พวกทหารหน่วยเอสเอสที่คุมนักโทษเดินทางมาในครั้งนี้ล้วนแล้วแต่ติดปืนกลและระเบิดมือมาแทบทั้งสิ้น
พวกเขาได้รับคำสั่งมาว่าในกรณีที่กองทหารรัสเซียตามทันก็ให้สังหารนักโทษทั้ง 6,000
คนนี้ทันทีเพื่อไม่ให้ทหารรัสเซียปลดปล่อยใครได้แม้แต่คนเดียว
ดิฉันจึงมีความแน่ใจว่าพวกเรากำลังเดินไปสู่ความตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ดังนั้นความคิดที่จะหลบหนีก็ได้ผุดขึ้นมาในใจอีกครั้งหนึ่ง
สมองของดิฉันต้องทำงานหนักและในที่สุดก็ได้ตัดสินใจว่าจะไม่หลบหนีไปคนเดียว
ดิฉันได้เดินไปหาแม็กดาและรุซซาเล่าให้เธอทั้งสองฟังถึงสิ่งที่ได้เห็นมา รวมทั้งแผนการที่จะหลบหนีไปในครั้งนี้
ซึ่งเพื่อนทั้งสองคนก็ได้ตกลงใจที่จะหลบหนีไปด้วยกันแต่ต้องรอคอยโอกาสเหมาะเสียก่อน
.ในขณะที่ขบวนของนักโทษเดินผ่านหมู่บ้านต่างๆของชาวโปแลนด์ไปนั้น
เมื่อได้แลเห็นการดำเนินชีวิตเป็นปกติสุขของชาวบ้านก็ทำให้เกิดความรู้สึกหลายๆอย่างที่ยากต่อการบรรยาย
เช่น
เมื่อเห็นบ้านที่มีหน้าต่างติดม่านเอาไว้ก็นึกถึงความสุขและอิสรภาพของผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้น
ครั้นมองเห็นบ้านที่มีป้ายชื่อและเวลาทำงานของแพทย์ที่ติดอยู่หน้าบ้านก็ยิ่งทำให้หวนรำลึกถึงความหลังครั้งที่เคยมีความสุขและความอบอุ่นอยู่กับครอบครัวมากยิ่งขึ้น
ยิ่งเดินไปนานเท่าใดจำนวนนักโทษในขบวนของพวกเราก็ยิ่งลดลงๆ
พวกเราทั้งสามคนพยายามที่จะเดินให้อยู่ในแถวข้างหน้าๆเผื่อว่าเมื่อหยุดพักเหนื่อยสักครู่ก็จะไม่ทำให้ต้องถ่อยร่นไปอยู่ข้างหลังมากนัก
ในการเดินทางในคืนแรกนั้นพวกเราสามคนสามารถรักษาระดับการเดินไว้อย่างคงที่
ทั้งดิฉันและเพื่อนอีก 2 คนพยายามเตือนสติซึ่งกันและกัน
เพื่อให้เดินอยู่ในแถวหน้าของขบวนต่อไป
แต่เนื่องจากขณะนั้นเป็นเวลากลางคืนความมืดทำให้ไม่สามารถเดินเป็นแถวอย่างมีระเบียบได้
แถวหน้าประมาณ 5 แถวเดินทิ้งช่วงห่างออกไปข้างหน้า กลุ่มนั้นยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ
เพื่อนๆจึงตกมาอยู่เป็นแถวแรกของขบวนใหญ่ตอนกลาง
ในขณะที่เดินไปกับขบวนใหญ่นั้นมีนักโทษชาวโปแลนด์ซึ่งเดินอยู่ใกล้ๆเกิดการทะเลาะวิวาทกันขึ้น
บรรยากาศเช่นนี้ทำให้เกิดความรำคาญ จึงได้สะกิดชวนกันหนีให้พ้นจากกลุ่มที่ทะเลาะกันโดยพยายามจะวิ่งตามกลุ่มแรกที่ทิ้งห่างพวกเราไปข้างหน้า
แต่พวกนั้นเดินไปรวดเร็วมากจนตามไม่ทัน
พวกเราทั้งสามคนตกอยู่ในฐานะลำบากเสียแล้ว
จะกลับไปเข้ากลุ่มหลังก็ไม่ได้เพราะตอนที่พวกเราวิ่งออกมานั้นทหารหน่วยเอสเอสเห็นเงาของพวกเราวิ่งฝ่าความมืดไปโดยไม่รู้ว่าเป็นใครได้ตะโกนขึ้นมาว่า
“สตีเฮ็น บลีเบน(หยุดนะ)”
ซึ่งเมื่อใดที่พวกเขาตะโกนเช่นนี้ก็จะมีเสียงปืนดังติดตามมาเสมอ
ดิฉันตัดสินใจวิ่งออกจากขบวนโดยมีแม็กดากับรุซซาวิ่งตามมาติดๆ
พวกเราวิ่งไปหมอบอยู่หลังกองหิมะเพื่อให้รอดพ้นจากวิถีกระสุนของยามรักษาการณ์ของเยอรมัน
โชคยังเป็นของพวกเราเพราะท้องฟ้ายังไม่สางทำให้พวกยามรักษาการณ์เยอรมันมองเห็นเป้าไม่ถนัดนัก
พวกเรารีบคลานมาจนถึงสันถนนซึ่งสามารถใช้เป็นที่กำบังลูกปืนของยามรักษาการณ์เยอรมันได้เป็นอย่างดี
จากจุดนี้พวกเราสอดส่ายสายตาหาทางหนีต่อไปและก็บังเอิญเห็นหอคอยโบสถ์อยู่ไม่ไกลนักจึงออกวิ่งมุ่งหน้าตรงไปทางนั้น
พวกเราวิ่งไปจนถึงหมู่บ้านของชาวโปแลนด์เล็กๆแห่งหนึ่งแล้วก็วิ่งตรงไปที่โบสถ์แห่งนั้น
ซึ่งขณะนั้นมีชายคนหนึ่งยืนเฝ้าประตูโบสถ์อยู่
พอเห็นสภาพของพวกเราก็คงจะเดาออกว่ากำลังหลบหนีมา
เขาได้ชี้มือไปทางบ้านหลังหนึ่งท่าทางแสดงให้รู้ว่าต้องการให้พวกเราเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในบ้านหลังนั้น
ในขณะเดียวกันนั้นก็มีทหารหน่วยลาดตระเวนเอสเอสกลุ่มหนึ่งเดินตรงมาทางสนามหญ้าหน้าโบสถ์
เมื่อเห็นทหารเยอรมันเหล่านั้นพวกเราก็รีบวิ่งหลบเข้าไปมนบ้านหลังนั้นทันที
บริเวณบ้านหลังนั้นกว้างขวางใหญ่โตมาก
ใกล้ๆบ้านหลังนั้นมียุ้งเล็กๆอยู่หลังหนึ่งประตูยุ้งปิดสนิทแต่มีรอยแตกอยู่ที่ฝาผนังด้านหนึ่ง
มันราวกับว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงประทานสิ่งนี้ให้พวกเราทั้ง
3 คนรีบคลานเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในยุ้งแล้วปีนไปอยู่บนชั้นเพดานซึ่งอยู่สูงเกือบติดหลังคาแล้วเอาฟางมาคลุมตัวเอาไว้
ทหารลาดตระเวนหน่วยเอสเอสซึ่งคงเห็นเงาของพวกเราวิ่งมาจึงวิ่งติดตามมาที่สนามหญ้าหน้าโบสถ์แต่โชคดีเหลือเกินที่พวกทหารเหล่านี้ไม่ได้ติดตามพวกเราแต่ได้มาตามหาเด็กชายกลุ่มหนึ่ง
แม่บ้านของบ้านหลังนั้นได้บอกกับทหารหน่วยลาดตระเวนว่าไม่มีกลุ่มเด็กชายแปลกหน้าเข้ามาในบริเวณนี้เลย
ที่พวกยามเห็นเงาคะคุ่มวิ่งมานั้นอาจจะเป็นเงาของลูกทั้ง 3 คนของเธอก็ได้
แต่พวกยามหน่วยลาดตระเวนไม่ยอมเชื่อเหตุผลที่ชี้แจงจึงได้เข้าตรวจค้นหาจนทั่วบ้าน
เสร็จแล้ก็เดินมุ่งหน้ามาทางยุ้งที่พวกเรา 3 คนหลบซ่อนตัวอยู่
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลใดพวกเขาได้ตัดสินใจหยุดค้นเสียเฉยๆบอกว่าจะมาค้นอีกครั้งในตอนเย็น
พวกเราทั้ง 3
คนดีใจกับความโชคดีที่พวกทหารเยอรมันไม่ยอมมาค้นที่ยุ้งและได้เดินจากไปได้ไม่นานนัก
เจ้าของบ้านก็ได้ให้สาวใช้ขึ้นมาค้นหาจนพบพวกเราอยู่บนเพดานยุ้ง จากนั้นชายเจ้าของบ้านก็ปีนติดตามขึ้นมาบอกกับกับเราว่าจะไม่แจ้งเรื่องนี้ให้ทหารเยอรมันได้รู้
แต่ได้ร้องให้พวกเราหลบหนีไปจากที่นี่
หลังจากที่ได้เจรจากันอยู่นานเขาก็ยินยอมผ่อนปรนให้โยให้เราพักอยู่ในยุ้งนั้นอีก
1 วันกบ 1 คืน และในช่วงเวลานั้นภรรยาของเจ้าของบ้านก็เมตตานำอาหารมาให้เรารับประทานด้วย
มันเป็นเวลานานแล้วที่พวกเราไม่เคยรับประทานอาหารดีๆเช่นนี้
พอเห็นก็เลยนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร
หลังจากที่คิดอยู่นานจึงจำได้ว่ามันคือขนมปังทาน้ำมันหมูหรือน้ำมันอะไรสักอย่าง
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงขนมปังทาน้ำมันและรับประทานอยู่ในยุ้ง
แต่พวกเราก็รับประทานมันอยู่ในท่ามกลางของเสรีชน
มันจึงอร่อยราวกับอาหารทิพย์ในสรวงสวรรค์
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้นเจ้าของบ้านได้มาปลุกให้เราติดตามไปยังที่ซ่อนแห่งใหม่
ได้วางมาตรการรักษาความปลอดภัยโยเตือนว่าหากไปพบทหารลาดตระเวนเยอรมันเข้าก็ให้ทั้งสองฝ่ายทำทีว่าไม่รู้จักกัน
มาตรการรักษาความปลอดภัยขอ’งชายเจ้าของบ้านมีผลจริงๆเพราะในขณะที่พวกเรากำลังเดินไปยังที่หลบซ่อนแห่งใหม่อยู่นั้นก็ได้พบกับหน่วยลาดคระเวนเยอรมันเข้าพอดี
แต่ก่อนที่อะไรจะเกอดขึ้นก็มีขีปนาวุธลูกหนึ่งที่ยิงมาจากกองทัพรัสเซียซึ่งบุกเข้ามาใกล้เกิดระเบิดกลางอากาศ
สะเก็ดระเบิดตกลงมาใกล้บริเวณนั้น
พวกทหารหน่วยลาดตระเวนรีบพากันวิ่งหาหาที่หลบซ่อนกันจ้าละหวั่น
ในช่วงนี้เองพวกเราก็หนีไปยังบ้านที่จะเป็นที่หลบภัยแห่งใหม่
เจ้าของบ้านหลังใหม่ให้พวกเราเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในคอกม้า
แต่ในวันรุ่งขึ้นก็ได้ให้พวกเราไปอยู่ในห้องที่ดีที่สุดห้องหนึ่งซึ่งใช้เป็นห้องนอน
ในห้องนี้สองตายายเจ้าของบ้าน บุตรสาวและแม็กดานอนรวมอยู่รวมกันอยู่บนเตียง
ส่วนดิฉันกับรุซซานอนอยู่ด้วยกันที่พื้นห้อง
ย่านนี้เป็นที่ซึ่งมีทหารเยอรมันเข้ามาพักอยู่เสมอเพราะพื้นที่รอบๆนั้นยังเป็นพื้นที่ยึดครองจึงไม่ปลอดภัยที่จะออกไปเดินนอกบ้าน
เช้าวันหนึ่งดิฉันเกิดชะล่าใจคิดว่าคงไม่มีทหารเยอรมันมาเห็นจึงได้เข้าครัวทำขนมคุกกี้แบบทรานซิลวาเนียให้ครอบครัวที่มาพักอยู่ด้วยลองรับปะทาน
ขณะที่กำลังทำขนมกันอยู่นั้นก็มีทหารเยอรมันคนหนึ่งโผล่พรวดเข้ามาในครัวอย่างไม่คาดฝัน
เขาจ้องมองมาที่ดิฉันด้วยความประหลาดใจแล้วตั้งคำถามว่าเป็นใคร
ทำไมเมื่อก่อนหน้านี้เขาจึงไม่เคนเห็นหน้า
ดิฉันโกหกเขาว่าเป็นญาติของเจ้าของบ้านหลังนี้
ขณะนี้คุณแม่กำลังป่วยหนักนอนซมอยู่ที่บ้านอีกหลังหนึ่ง ไม่ค่อยได้ออกไปไหนมาไหนเพราะจะต้องดูแลรักษาคุณแม่
เขาจะเชื่อดิฉันหรือไม่ก็ไม่ทราบทว่าตั้งแต่วันนั้นมาเขาก็มาตีสนิทกับดิฉันและสมาชิกในครอบครัวของเจ้าของบ้าน
บางครั้งเขามีช็อกโกแลตติดมือมาฝากดิฉันด้วย
ครั้งหนึ่งเขามากับเพื่อนอีกหลายคนและคะยั้นคะยอให้ดิฉันร่วมเล่นไพ่ด้วย
เพื่อนๆของดิฉันซึ่งอยู่อีกห้องหนึ่งพากันแอบมองด้วยความชื่นชมยินดีที่ดิฉันทำตัวเป็นมิตรกับทหารเยอรมันทั้งๆที่เกลียดแสนเกลียดเพราะพวกเขาเป็นพวกเดียวกับฆาตกรที่สังหารบุคคลที่ดิฉันรัก
เสียงปืนใหญ่ที่กำลังรบกันดังมากยิ่งขึ้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าขณะนี้ทหารรัสเซียกำลังบุกใกล้เข้ามาทุกขณะ พวกทหารเยอรมันซึ่งตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในบริเวณนี้จึงได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมเพื่อถอนตัวหนี
ดิฉันได้เห็นพวกเขาวางกับระเบิดไว้ตามจุดต่างๆและวันหนึ่งมันก็ได้ระเบิดก่อนเวลาทำให้ทหารเยอรมันเสียชีวิตไป
2 นาย
จากการสนทนากับทหารเยอรมันเหล่านี้ทำให้ดิฉันรู้ความเห็นของเขาว่า
สถานการณ์การรบฝ่ายเยอรมันกำลังเสียเปรียบเป็นอย่างมาก
แต่กระนั้นก็ตามพวกเขาก็ยังไม่ยอมรับว่าจะพ่ายแพ้สงคราม
พวกเขาจะกล่าวอยู่เสมอว่าประเทศเยอรมันยังมีความเข้มแข็ง
จะไม่ยอมแพ้สงครามเป็นอันขาด
ดิฉันไม่ประหลาดใจเลยที่ได้ยินเช่นนี้
เพราะว่าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่ลงข่าวเกี่ยวกับการสู้รบ
ก็ล้วนแต่ลงข่าวในทางทีจะเสริมสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ทหารเยอรมันทั้งสิ้น
ในช่วงสัปดาห์แรกที่ดิฉันได้อ่านหนังสือพิมพ์
ข่าวในหนังสือพิมพ์ยังคงรายงานว่าประเทศเยอรมันยังเป็นฝ่ายรุก
แต่ในสัปดาห์ต่อมาหนังสือพิมพ์ประโคมข่าว่าประเทศเยอรมันกำลังตกอยู่ในอันตราย
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม”วีรบุรุษชาวเยอรมันจะสามารถปกป้องประเทศเยอรมันไว้ได้”
และอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมาหนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวว่า”ขอให้พระผู้เป็นเจ้าจงปกปักรักษาประเทศเยอรมันไว้ด้วยเถิด
เพราะประเทศเยอรมันทำสงครามครั้งนี้ในนามของพระผู้เป็นเจ้า”
มันคงจะเป็นบุญของดิฉันที่รอดชีวิตออกมาจากค่ายกักกันและจากการอพยพอันแสนหฤโหดมาได้
ซ้ำยังได้มีโอกาสมาเห็นกองทหารเยอรมันที่ถอยร่นเนื่องจากประสบกับการพ่ายแพ้อย่างยับเยิน
ดิฉันไม่เคยลืมคืนวันหนึ่งที่ทหารแซปเปอร์สวมหมวกสีขาวอยู่ในสภาพอ่อนระโหยโรยแรงเข้ามาพักในบ้านหลังน้อยๆของชาวโปแลนด์หลังนี้
พวกเขามานั่งอยู่ในห้องนอน ห้องครัว
และทุกหนทุกแห่งเต็มไปหมด กินละดื่มทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ขวางหน้า
โยไม่ได้เลือกว่ามันจะเป็นอะไร
ขณะหิมะที่จับอยู่บนหมวกสีขาวของแต่ละคนเริ่มละลายหยดลงมาที่พื้น
บางทีพวกเขาอาจจะไมเคยได้รับการเลี้ยงดูและการบริการที่ดีอย่างนี้มาเลยตั้งแต่ฮิตเลอร์ประกาศตั้ง”มหาอาณาจักรที่สาม(Third Reich)”แห่งประเทศเยอรมันก็ได้
ดิฉันเห็นแล้วก็ชื่นชมในสิ่งที่ตนไม่เคยเห็นมาก่อน
มันเป็นภาพของ”พวกเดนมนุษย์”นั่งกอดปืนพิงฝาบ้านด้วยความอ่อนเพลีย
บางคนก็นอนแผ่หลับสนิทที่พื้น
ความสุขที่ได้เห็นภาพเหล่านี้เป็นเพียงความสุขชั่วระยะสั้นๆเพราะต่อมาเมื่อทหารเยอรมันถอยทัพพวกเขาก็ได้กวาดต้อนเอาผู้หญิงเป็นจำนวนมากไปจากหมู่บ้านนี้และดิฉันเองก็เป็นหนึ่งในจำนวนหญิงที่ถูกจับไปในครั้งนี้ด้วย
ดิฉันพร้อมกับหญิงคนอื่นๆถูกมัดมือทั้งสองข้างเหมือนเป็นทาส
โยงไปผูกไว้กับรถม้า ถูกบังคับให้เดินตามรถม้าไปอย่างนั้นเป็นเวลานานถึง 3 วัน 3
คืน
แต่ดิฉันก็พอมีกำลังใจอยู่บ้างตรงที่ได้เห็นภาพต่างๆในขบวนการเดินทางครั้งนี้
เห็นตามถนนคราคร่ำไปด้วยเหล่าทหารเยอรมันกำลังล่าถอย
รวมทั้งพวกที่ให้ความร่วมมือกับพวกทหารเยอรมันทำการปล้นสะดมผู้อื่นมาเป็นเวลาหลายปีก็ได้ร่วมเดินทางมาในครั้งนี้ด้วย
ทหารเยอรมันที่ล่าลอยเหล่านี้อยู่ในสภาพตื่นตระหนกและเสียขวัญอย่างสิ้นเชิง
จะเห็นได้จากการที่ขนอาวุธยุทโธปกรณ์และปืนกลใส่รถบรรทุกขับมาในขบวนด้วย
พวกม้าศึกต่างก็วิ่งกระทืบเท้าด้วยความตื่นตระหนก
ได้ลัดคนที่นั่งอยู่บนหลังตกลงมาที่พื้นถนนบ่อยครั้ง
พวกชาวบ้านที่ถูกจับมาทั้งหมดได้ถูกเกณฑ์ให้เดินนำทางรถบรรทุกติดตรากาชาดที่พวกเรากลัวนักกลัวหนาในค่ายเอาส์ชวิตซ์
เดี๋ยวนี้ถูกใช้บรรทุกทหารเยอรมันที่ได้รับบาดเจ็บไปยังที่ปลอดภัย
ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในภาวะสับสนอลหม่าน
การพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงของพวกเยอรมันจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เพียงแต่ยังไม่รู้ว่ามันจะเป็นวันใดเท่านั้นเอง
เมื่อดิฉันหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้ไม่กี่วันก็ทำให้แทบคลั่ง
ป่านนี้หมู่บ้านโปแลนด์เล็กๆที่เพิ่งจากมานั้นคงจะได้รับการปลดปล่อยไปแล้ว
ซึ่งหากดิฉันไม่ถูกจับตัวมาเสียก่อนก็คงจะได้รับอิสรภาพไปแล้วเช่นกัน
ความรู้สึกที่แทบคลั่งนี้เองทำให้ดิฉันเริ่มใช้ฟันแทะเชือกที่มัดข้อมือเพื่อหาหนทางไปสู่อิสรภาพอีกครั้ง
มีหญิงเป็นจำนวนมากทั้งที่แต่งงานแล้วและยังไม่ได้แต่งงานถูกผู้ข้อมือโยงมากับรถม้าเช่นเดียวกับดิฉัน
หลายคนทนความหนาว
ความหิวและความทารุณโหดร้ายในการเดินทางครั้งนี้ไม่ไหวได้เสียชีวิตในระหว่างทาง
แต่ศพเหล่านั้นก็ยังคงผูกติดกับรถม้าอยู่เช่นเดิมและรถม้าก็ลากศพเหล่านั้นไปตามท้องถนน
พวกเยอรมันไม่ได้ให้ความสนใจใดๆเลยเพราะคิดอยู่เพียงอย่างเดียวว่า
ทำอย่างไรถึงจะหนีไปให้พ้นจากดินแดนที่กำลังถูกคุกคามจากกองทัพรัสเซีย
คืนวันที่ 3
ของการเดินทางพวกเยอรมันพาพวกเราไปแวะพักนอนในคอกม้า
พวกเขาเองก็มานอนอยู่ที่พื้นคอกม้ากับพวกเราด้วย
แต่ก่อนที่จะนอนได้ตั้งวงดื่มสุรารวมทั้งคนที่จับดิฉันมาจากหมู่บ้านด้วย เขาได้สุรามา
2 ขวดเลยทั้งวงดื่มกับเพื่อนๆ
ในกลางดึกของคืนนี้เองดิฉันก็ประสบผลสำเร็จในการใช้ฟันแทะเชือก
หลังจากพยายามแทะมันมาถึง 3 วันเชือกก็หลุดจากข้อมือทั้งสองข้างของดิฉันแล้ว
แต่เหงือกเจ็บปวดและมีเลือดไหลออกมามาก
ยิ่งไปกว่านั้นผลของการแทะเชือกก็ทำให้ฟันแถวหน้าหักเสียหายอย่างยับเยิน
ทุกคนกำลังหลับสนิทด้วยความเหนื่อยอ่อน
เสียงกรนดังสนั่นประสานกันจนแทบไม่ได้ยินเสียงอื่นใด
ดิฉันพยายามจะหลบหนีจากกลุ่มของผู้นอนหลับใหลเหล่านี้
แต่ในขณะที่ย่องออกมานั้นคนขับรถม้าคันที่โมงดิฉันมาเกิดรู้สึกตัวเอาข้อศอกยันพื้นพยุงตัวจะลุกขึ้น
แม้ว่าเขาจะเมาแต่ก็คงมีสติที่จะจับปืนขึ้นมายิงทันทีที่รู้ว่าดิฉันกำลังจะหลบหนี
ดิฉันจึงตัดสินใจทันทีว่าไม่เขาก็ดิฉันต้องตายกันไปข้างหนึ่ง
จึงรีบคว้าขวดสุราที่วางอยู่ใกล้ๆขึ้นมากระหน่ำตีที่ศีรษะของคนขับรถม้าที่กำลังผงกขึ้นมานั้นอย่างสุดแรงเกิด
ชวดแตกกระจายและเยอรมันคนนั้นหน้าฟุบลงกับพื้น
เมื่อดิฉันวิ่งไปที่ประตูคอกม้า ได้หันกลับมามองแวบหนึ่ง เห็นเขาแน่นิ่งไม่ไหวติง
ดิฉันเป็นโรคเกลียดเยอรมันจนขึ้นสมอง
แม้แต่จะคิดฆ่าพวกเขาสักคนก็ยังรู้สึกขยะแขยงไปเสียแล้ว
บรรยากาศบนท้องถนนยังมี่อะไรเปลี่ยนแปลง หากแต่มีพวกทหารเยอรมันที่กำลังถอยร่นมามีจำนวนเพิ่มมากยิ่งขึ้น
ดิฉันไม่กล้าที่จะเสี่ยงหนีไปทางถนนทางด้านหน้า
เพราะกลัวว่าจะต้องพบกับทหารเยอรมันพวกเดิม จึงพยายามจะหลบหนีไปทางถนนด้านหลัง
แต่ก็ต้องมาเจอสภาพอย่างเดียวกันคือถนนด้านหลังก็คับคั่งไปด้วยขบวนอพยพของพวกทหารเยอรมันที่กำลังถอยทัพกลับมา
เมื่อไม่มีทางเลือกอย่างอื่นดิฉันจึงได้ตัดสินใจเดินลัดเลาะหลบซ่อนตัวไปตามบ้านเรือนและพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้ทหารเยอรมันพบเห็น
เมื่อหลบซ่อนตัวลัดเลาะไปตามบ้านเรือนต่างๆนานหลายชั่วโมง
ในที่สุดก็มองเห็นหญิงชาวนาคนหนึ่งจึงรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหาพูดข้อร้องให้เธอช่วยเหลือ
แต่มีทหารเยอรมันยังอยู่ในบ้านเธอจึงไม่สามารถให้ดิฉันเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในบ้านของเธอได้
แต่เธอก็มีเมตตาพาดิฉันไปที่ฝั่งแม่น้ำพร้อมกับชี้ไปที่บ้านที่กำลังจุดไฟสว่างไสวอยู่อีกฟากหนึ่งของฝั่งแม่น้ำ
กล่าวว่า ถ้าดิฉันสามารถว่ายน้ำไปถึงฝั่งโน้นได้ก็จะปลอดภัยเพราะว่าทหารเยอรมันได้ถอนตัวออกไปจากหมู่บ้านทางฝั่งโน้นไปแล้ว
ตอนนั้นเป็นช่วงเดือนกุมภาพันธ์
แม่น้ำเต็มไปด้วยแพน้ำแข็งขนาดใหญ่มากมาย
ซึ่งก็เป็นที่แน่นอนว่าน้ำในแม่น้ำจะต้องหนาวเย็นมาก
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ก็เริ่มสว่างแล้วการว่ายข้ามแม่น้ำจึงอาจเป็นอันตรายได้ถ้ามีคนมาพบเห็นเข้า
แต่ดิฉันหวนนึกถึงสมัยที่อยู่ในค่ายนาซีแล้วยังรอดพ้นจากห้องรมก๊าซพิษได้ทั้งๆที่โดยทั่วไปแล้วมันไม่มีโอกาสที่จะเป็นไปได้
แล้วทำไมตอนนี้จะรอดชีวิตจากการข้ามแม่น้ำนี้ไม่ได้
เมื่อคิดเช่นนี้ก็เลยตัดสินใจเดินไปที่ฝั่งแม่น้ำขณะที่เดินจากหญิงชาวนาที่แสนดีคนนั้นออกมา
ดิฉันเห็นเธอทำท่าสวดมนต์วิงวอนพระผู้เป็นเจ้าแล้วเอามือทั้งสองข้างปิดตา
ดิฉันได้พุงตัวลงในน้ำอันหนาวเย็นจนกลายเป็นน้ำแข็งโยไม่ได้ถอดเสื้อผ้าออก
ท้องฟ้าเกือบจะสว่างอบยู่แล้วเมื่อดิฉันว่ายไปถึงฝั่งตรงข้าม
หมู่บ้านฝั่งนี้ยังไม่ได้รับการปลดปล่อยเพียงแต่ทหารเยอรมันเพิ่งจะถอนตัวออกไปเท่านั้น
บ้านที่จุดไฟสว่างไสวอยู่นั้นไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่เลย
ต่อมาในภายหลังก็ได้รู้มาว่าผู้ที่อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้หลบไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ
เนื่องจากหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่กลางป่า
เป็นจุดที่กำลังถูกโจมตีอย่างหนัก
ทั้งฝ่ายเยอรมันและรัสเซียต่างระดมยิงปืนใหญ่มาตกที่จุดนี้
เมื่อดิฉันว่ายน้ำไปถึงปรากฏว่ามีการต่อสู้กันอย่างรุนแรงมาก
ถึงขั้นแตกหักเลยทีเดียว ในตอนกลางคืนรัสเซียได้นำลูกระเบิดที่เรียกว่าเทียนสะตาลิน(Stalin Candles)มาทิ้งซึ่งทำให้อาณาบริเวณนี้สว่างไสวอยู่เป็นเวลานาน
ดิฉันได้เห็นภาพที่ยากต่อการลืมเลือนได้
มันอาจเป็นเพราะต้องการจะเห็นความพินาศของพวกเยอรมันหรือเพราะตื่นตกใจมากเกินไปอย่างใดอย่างหนึ่ง
ทำให้ดิฉันไม่วิ่งหนีจากฉากการปะทะกันระหว่างทหารรัสเซียกับทหารเยอรมันในครั้งนี้
เมื่อทหารรัสเซียนำระเบิดสะตาลินแคนเดิ้ลมาทิ้งนั้น
บ้านเรือนในหมู่บ้านก็หายไปในชั่วพริบตา กระสุนปืนที่ยิงมาจากทั้ง 2
ฝ่ายแหวกอากาศเสียงหวีดหวิวอย่างน่ากลัว หลังจากปะทะกันอย่างหนักแล้วก็สามารถเห็นข้อแตกต่างระหว่างเสียงของม้าศึกที่กำลังตื่นตกใจ เสียงรถยนต์วิ่ง
และเสียงร้องตะโกนที่มาจากทั้งสองฝ่าย
ทางด้านซ้ายมือซึ่งเป็นด้านของการรัสเซียนั้น
เสียงดังกล่าวดังชัดเจนยิ่งขึ้น
แต่ในขณะเดียวกันเมื่อสังเกตเสียงดังกล่าวทางด้านขวามือซึ่งเป็นด้านของเยอรมัน เสียงดังจะค่อยๆลดลง ซึ่งแดงว่าฝ่ายเยอรมันเป็นฝ่ายพ่ายแพ้จากการปะทะกันในครั้งนี้และกำลังล่าถอยไปอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากปะทะกันระหว่างกองทหารของทั้งสองฝ่ายผ่านไป
เจ้าของบ้านหลังที่จุดไฟสว่างไสวในตอนที่ดิฉันข้ามน้ำมา ก็ออกมาจากที่หลบภัย
เห็นดิฉันว่ายน้ำมาจึงได้พยายามตามหาและก็แน่ใจว่าดิฉันคงจะเสียชีวิตไปแล้วในระหว่างการยิงประทะกัน
และเมื่อพวกชาวนาออกจากที่หลบซ่อนในถ้ำมาพบว่าดิฉันยังมีชีวิตอยู่ก็ต่างพากันคิดว่าดิฉันเป็นพวกแม่มดหมอผีพยายามที่จะไม่สบตาด้วย
ดิฉันเก็บความดีใจไว้เงียบๆโดยไม่ได้อธิบายให้พวกเขาฟังถึงความยินดีที่มีอย่างเหลือล้นและลึกซึ้งที่ได้เห็นกองทหารรัสเซียมีชัยชนะต่อกองทหารเยอรมัน
พวกชาวนาในหมู่บ้านมีความเห็นตรงกันว่าอีก 3
วันทหารรัสเซียก็จะเดินทางถึงหมู่บ้าน แต่ความเห็นนั้นผิดถนัด
เพราะในคืนเดียวกันนั้นเองกองทหารรัสเซียสามารถบุกตะลุยเข้ามาปลดปล่อยหมู่บ้านแห่งนี้ได้สำเร็จ
โฉมหน้าของหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
เมื่อไม่นานมานี้พวกเราเห็นแต่กองทหารเยอรมันกับเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสและได้ยินแต่สียงคำสั่งบัญชาการของพวกเยอรมันอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง
แต่มาบัดนี้พวกเราได้ยินภาษาใหม่ซึ่งเป็นภาษาที่แปลกหูสำหรับพวกเราและได้เห็นกองทหารกองใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
แต่ผู้ที่เข้ามาใหม่เหล่านี้เป็นพวกที่นำของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมามอบให้แก่พวกเรา ของขวัญชิ้นนี้คือเสรีภาพที่ทุกคนใฝ่หา.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น