Ads

วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 13 เทพธิดาแห่งความตาย



วันหนึ่งดิฉันเกือบเสียชีวิตในเหตุการณ์ที่ล่อแหลมมากกว่าครั้งที่ถูก”คัดเลือกตัว”ไปประหารชีวิตเสียอีก เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนี้เมื่อใดก็ยังอดนึกแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมถึงรอดมาได้ มันเหมือนกับตายแล้วเกิดใหม่ไม่มีผิด


ถ้าหากเออร์มาครีเซไม่กระตือรือร้นอยากจะรู้เรื่องอื่นดิฉันคงจะตายไปแล้ว แต่นี่เธอเกิดความสนใจต้องการรู้ว่าทำไมนายแพทย์ฟริตซ์ คลีน(นายแพทย์จากหน่วยเอสเอสซึ่งเคยประจำการในค่ายกักกันผู้หญิงและต่อมาเป็นแพทย์ประจำค่ายเบอร์เจน-เบลเซ่น)  จึงมาเอาอกเอาใจดิฉันทั้งๆที่ดิฉันเป็นแค่นักโทษเศษมนุษย์ถูกกล้อนผมไปครึ่งศีรษะแต่งกายในชุดขาดๆแถมยังสวมรองเท้าเก่าๆของผู้ชายอีกด้วย ก็เพราะข้อสงสัยของเออร์มานี่เองที่ทำให้ดิฉันรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด


ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ผู้ทำหน้าที่”คัดเลือก”นักโทษคือผู้อำนวยการค่าย 2 คน ได้แก่ ฮัสเซ และ เออร์มา ในทุกวันจันทร์วันพุธและวันเสาร์การเรียกชื่อนักโทษจะทำกันนานเป็นพิเศษ คือตั้งแต่เช้าจรดเย็นจนกว่าจะได้เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายครบตามโควต้า

เมื่อใดผู้อำนวยการค่ายทั้ง 2 คนนี้ปรากฏตัวที่ประตูค่าย บรรดานักโทษหญิงซึ่งรู้เหตุผลที่แท้จริงของการ”คัดเลือก”จะมีอาการหวาดผวาไปตามๆกัน

เออร์มา ครีเซคนสวยจะเดินยักย้ายส่ายสะโพกตรงมาหานักโทษ ท่ามกลางสายตาของนักโทษหญิงจำนวน 40,000 คนซึ่งนั่งนิ่งเหมือนกับคนใบ้ 

ทรงผมของเธอแลดูสลวยเป็นระเบียบเรียบร้อย การปรากฏตัวของเธอในแต่ละครั้ง หากทำให้นักโทษหวาดหวั่นพรั่นพรึงได้มากเท่าใด เธอยิ่งพึงพอใจมากเท่านั้น 

สาววัย 22 ปีคนนี้เป็นคนโหดเหี้ยมไร้ความเมตตาปรานีอย่างสิ้นเชิง เธอจะเลือกเหยื่ออย่างไม่เลือกหน้า ไม่ว่าจะเป็นคนดีๆคนป่วยคนอ่อนแอหรือคนไร้ความสามารถ 

นักโทษหญิงคนใดซึ่งถึงแม้ว่าจะอดอยากทุกข์ทรมานแต่ยังมีร่างกายสดสวยงดงามอยู่ นักโทษหญิงคนนั้นจะถูก”คัดเลือก”ตัวเป็นอันดับแรก เพราะเออร์มาถือว่าหญิงงามเหล่านี้เป็นเป้าหมายพิเศษที่ต้องกำจัดเป็นอันดับแรก 

ในระหว่างที่ทำการคัดเลือกตัวเออร์มาซึ่งต่อมาบรรดาหนังสือพิมพ์ให้สมญานามว่า “เทพธิดาผมทองแห่งเบลเซ่น”จะใช้แส้ของเธอหวดนักโทษอย่างไม่เลือกหน้า 

เธอจะหวดอย่างไม่ยั้งมือทุกครั้งที่รู้สึกมันมือโดยไม่คำนึงว่าพวกเราจะทนความเจ็บปวดได้หรือไม่ ยิ่งเห็นความเจ็บปวดรวดร้าวและเลือดไหลซิบๆออกมาจากรอยแผลตามผิวกายของพวกเรามากเท่าใดเธอก็ยิ่งมีความสุขยิ้มระรื่นมากเท่านั้น เธอเกิดมาเพื่อมีความสุขอยู่บนกองทุกข์ของคนอื่นแท้ๆ

วันหนึ่งในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1944 มีนักโทษหญิงซึ่งถูกคัดเลือกไว้จำนวน 315 คนถูกนำตัวไปขังไว้ในอาคารโรงอาบน้ำ เมื่อนักโทษเคราะห์ร้ายเหล่านี้ถูกซ้อมและถูกเฆี่ยนบอบช้ำอยู่ในห้องโถงจนหนำใจแล้ว เออร์มาก็ออกคำสั่งให้ยามรักษาการณ์หน่วยเอสเอสตอกตะปูขังไว้ในห้องโถงนั้นทันที

ตามปกตินั้นก่อนจะส่งเข้าห้องรมก๊าซพิษนักโทษจะต้องผ่านการตรวจจากนายแพทย์คลีนเสียก่อน หากนายแพทย์คลีนยังไม่ยอมมาตรวจนักโทษก็จะถูกปล่อยให้อยู่ในห้องนั้นเป็นเวลา 3 วัน

ในระหว่างนี้นักโทษหญิงผู้ต้องโทษประหารก็ต้องนอนรวมกันอยู่บนพื้นคอนกรีตโดยไม่ให้อาหารไม่ให้น้ำดื่มไม่ให้ใช้ห้องสุขา พวกเธอเป็นมนุษย์ตาดำๆแท้ๆแต่จะหาใครมาเมตตาสงสารแม้แต่น้อยนิดก็ไม่มี

เพื่อนๆหลายคนรู้ว่าดิฉันเป็นคนติดสอยห้อยตามนายแพทย์คลีนไปตรวจรักษาคนไข้ในที่ต่างๆอยู่เป็นประจำ ก็ได้มาหาและขอร้องให้ดิฉันติดต่อขอความช่วยเหลือจากนายแพทย์คลีนให้ไปยังโรงอาบน้ำเพื่อหาทางช่วยเหลือนักโทษหญิงเหล่านั้น  เพื่อนๆแต่ละคนต่างวิงวอนขอร้องดิฉันให้ช่วยชีวิตเพื่อนบ้าง แม้บ้าง พี่สาวบ้าง น้องสาวบ้างฯลฯ

ในวันที่นายแพทย์คลีนมาตรวจนักโทษประหารดิฉันรู้สึกตื้นเต้นเป็นพิเศษ แต่ก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจะต้องช่วยชีวิตนักโทษประหารบางคนเอาไว้ให้ได้

“คุณหมอคะ”ดิฉันเอ่ยกับนายแพทย์คลีนด้วยความตื่นเต้นจนตัวสั่นเทาขณะเริ่มเจรจากับเขา

“จะต้องเกิดความผิดพลาดในการคัดเลือกนักโทษครั้งสุดท้ายอย่างแน่ๆเชียวค่ะ เพราะขณะนี้มีนักโทษถูกขังอยู่ในโรงอาบน้ำทั้งๆที่เขาไม่ได้เจ็บป่วยอะไรเลย มันคงไม่คุ้มค่าหรอกนะคะที่จะส่งคนไม่ป่วยไปโรงพยาบาล” ดิฉันแกล้งทำทีว่าไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับห้องรมก๊าซพิษ

“แต่คุณไม่มียารักษาคนป่วย คุณน่าจะรู้” นายแพทย์คลีนตั้งข้อสังเกตกับดิฉัน

“แล้วอีกอย่างหนึ่ง ผู้อำนวยการค่ายของคุณเป็นคนคัดเลือกนักโทษเหล่านี้ด้วยตนเอง ผมคงช่วยอะไรไม่ได้หรอก”

แต่ดิฉันยังไม่ละความพยายามที่จะช่วยเพื่อนๆที่มาขอร้องเอาไว้ จึงได้พูดคะยั้นคะยอนายแพทย์คลีนต่อไป

“หญิงน่าสงสารเหล่านี้หันหน้าไปพึ่งใครไม่ได้อีกแล้ว”ดิฉันพูดจาหว่านล้อม

“พวกเธอไม่มีบ้าน ไม่มีครอบครัว แต่บางคนก็มีแม่ มีพี่สาว มีน้องสาว มีบุตรในค่ายนี้ ซึ่งก็พอจะได้เห็นหน้ากันบ้างในยามที่ต้องพลัดบ้านพลัดเมืองมาอย่างนี้ คุณหมอคะ ดิฉันขอวิงวอนคุณหมอ ขออย่าให้เขาเหล่านี้ต้องพลัดพรากจากกันอีกเลยนะคะ คุณหมอลองเอาใจเขามาใส่ใจเราซีคะ สมมุติว่าคุณหมอมีพี่สาว มีน้องสาว หรือคุณแม่ของคุณหมออยู่ที่นี่บ้าง และพวกเขากำลังจะถูกพรากไปจากคุณหมอ คุณหมอจะมีความรู้สึกอย่างไร?

นายแพทย์คลีนไม่ยอมตอบคำถามของดิฉันแต่อย่างใด ดิฉันพูดเรื่องนี้กับเขาในขณะที่เรากำลังเดินมุ่งหน้าไปยังอาคารโรงอาบน้ำหลังนั้น

 ทันทีที่ไปถึงนายแพทย์คลีนได้ออกคำสั่งให้ยามรักษาการณ์หน่วยเอสเอสถอนตะปูที่ตีปิดประตูออกแล้วก้าวเข้าไปในตัวอาคาร  ดิฉันรีบก้าวเท้าตามไปติดๆ

ภายในอาคารมีนักโทษประหารจำนวน 315 คน ซึ่งถูกขังอยู่ตลอด 3 วัน 3 คืน มีหลายคนได้เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนคนอื่นๆมีสภาพร่างกายอ่อนระโหยไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะลุกขึ้นยืนได้เลย ต้องทรุดตัวลงนั่งอยู่ท่ามกลางซากศพของคนตาย 

บางคนซึ่งมีแต่หนังหุ้มกระดูกอยู่แล้วอยากจะลุกขึ้นยืนก็ไม่สามารถยันกายลุกขึ้นมาได้ เพราะถูกขังอยู่ในความมืดมาเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน เมื่อมีแสงสว่างผ่านเข้ามากระทบสายตาก็ยกมือขึ้นมาป้องหน้าเพราะระคายเคืองนัยน์ตาพวกเขาร้องตะโกนกันเซ็งแซ่ว่า
 
“เราไม่ได้รับประทานอะไรมา 3 วันแล้ว เราไม่ได้เจ็บป่วยและไม่ต้องการไปโรงพยาบาล”

นายแพทย์คลีนซึ่งปกติเป็นคนอารมณ์เย็นและเป็นคนเยอรมันเพียงคนเดียวในค่ายเอาส์ชวิตซ์ที่ไม่เคยตะคอกใส่หน้าใคร พอเห็นเหตุการณ์ในลักษณะนี้ก็เกิดหัวเสียขึ้นมาอย่างฉับพลัน หน้าแดงกล่ำเพราะความโกรธ ถึงกับระงับอารมณ์ไม่ได้ ร้องตะโกนออกมาว่า

“มันเรื่องอะไรกันโว้ย เจ้าหน้าที่คุกมันทำงานประสาอะไรกันว่ะ แม้แต่นักโทษดีๆอยู่ก็ยังจะส่งเขาไปโรงพยาบาลอีก เห็นทีผมจะต้องเล่นงานเจ้าหน้าที่เหล่านี้เสียบ้าง จริงๆนะพวกนี้!!”

ใครที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไรให้ออกจากห้องนี้ ไปให้หมด...ออกไป ได้ยินมั้ย”

ดิฉันตัวสั่นงันงกเมื่อเห็นท่าทางโกรธของนายแพทย์คลีน ในขณะที่ดิฉันกำลังตกตะลึงอยู่นั้น นายแพทย์คลีนก็เข้าไปกวาดต้อนนักโทษที่ยังแข็งแรงอยู่ให้ออกไปจากอาคาร

“ดูนั่นซีคะคุณหมอ ยังมีอีกคนหนึ่งที่เขาไม่ได้ป่วย”

ดิฉันบอกนายแพทย์คลีนพร้อมกับชี้มือไปที่นักศึกษาสาวที่เรียนมาทางคณิตศาสตร์คนหนึ่ง

“เอ้าคนนี้ก็ออกไปด้วย” นายแพทย์คลีนตะโกนไล่เด็กสาวคนนั้น

อีกครู่หนึ่งต่อมารถบรรทุกมหาภัยก็เข้ามาจอดตรงหน้าประตูโรงอาบน้ำเพื่อขนเหยื่อเหลือ 284 คนไปเข้าห้องรมก๊าซพิษ ครั้งนี้เราสามารถช่วยนักโทษให้รอดตายได้ถึง 31 คน

 ทั้งนี้ก็เพราะสามารถสะกิดมโนธรรมให้เกิดขึ้นในใจของนายแพทย์คลีนได้สำเร็จแม้ว่าจะได้ผลไม่มากเท่าใดนักก็ตาม นานๆครั้งเราถึงจะเห็นพวกหน่วยเอสเอสมีมนุษยธรรมอย่างนี้บ้างสักที

ต่อมาในวันอาทิตย์เราถูกลงโทษโดยไม่ทราบสาเหตุโดยถูกสั่งให้ไปนั่งคุกเข่าอยู่ในโคลนหน้าคุกในช่วงฝนตกตอนเช้า เราถูกลงโทษด้วยวิธีนี้เป็นประจำอยู่แล้ว และครั้งนี้จึงไม่ใช่ครั้งแรก

เราทนนั่งคุกเข่าอยู่อย่างนั้นขณะที่ฝนกำลังตกกระดุกกระดิกเคลื่อนไหวตัวไม่ได้ ต้องชูแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะอีกด้วย ดิฉันเองถูกเศษแก้วบาดที่เข่าข้างขวาแต่ก็ไม่กล้าขยับตัวเพราะกลัวจะถูกลงโทษหนักมากยิ่งขึ้น

ในขณะที่ดิฉันนั่งคุกเข่าอยู่นั้นนายแพทย์คลีนก็ให้คนมาตามตัวไปพบ ดิฉันรีบลุกขึ้นวิ่งไปที่ประตูค่ายที่นายแพทย์คลีนยืนคอยอยู่

“ผมไม่เคยมาที่ค่ายในวันอาทิตย์ “เขากล่าวกับดิฉัน”แต่วันนี้มาเป็นพิเศษ เพราะได้สัญญากับคุณว่าจะนำยามาให้คุณรักษาคนป่วย นี่ไงล่ะตัวอย่างยาจำนวนหนึ่ง”

ขณะที่ดิฉันกำลังจะเอือมมือไปรับกล่องยาจากมือของนายแพทย์คลีน ก็รู้สึกว่ามีมือใครมาจับที่ไหล่ด้านหลัง เมื่อหันกลับไปก็เห็นเออร์มากำลังยืนถือแส้อยู่

“แกมาทำอะไรอยู่ที่นี่ อีสัตว์” เออร์มาตะคอกถามดิฉัน”แกไม่รู้รึว่าเขาห้ามลุกมาจากแถวไปไหนในขณะที่ถูกทำโทษ”

“ผมให้คนไปเรียกเธอมาเองครับ” นายแพทย์คลีนตอบแทนดิฉัน

“นี่หมอ! หมอไม่มีสิทธิ์ทำอย่างนี้นะ นี่มันวันอาทิตย์ หมอไม่มีธุระอะไรที่จะต้องมาทำที่นี่ด้วย” เออร์มาแหวเข้าใส่นายแพทย์คลีน

“แต่คุณก็ไม่มีอำนาจอะไรจะมาห้ามผมไม่ให้มามิใช่รึ” นายแพทย์คลีนย้อนถาม

“ทำไมจะไม่มีสิทธิ์ เชอะ!” เออร์มายิ้มเยาะ

“ฉันมีสิทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์ที่จะห้ามหมอ หมอต้องไม่ลืมนะคะว่า ที่นี่ฉันเป็นผู้มีอำนาจออกคำสั่ง”

“คุณออกคำสั่งบังคับใครได้ แต่กับผมคุณไม่มีสิทธิ์”นายแพทย์คลีนตอบโต้

“ในฐานะที่เป็นหัวหน้าแพทย์ ผมมีสิทธิ์มาที่นี่ได้ทุกเมื่อ”

เออร์มาคนสวยยืนกัดฟันกรอดๆแต่ก็ทำอะไรนายแพทย์คลีนไม่ได้ เธอจึงหันมาเล่นงานดิฉันแทน

“กลับไปที่เดิมของแกเดี๋ยวนี้ นังยิวสถุล” เธอประณามดิฉันด้วยการใช้ภาษารุนแรง

“ยังไม่ต้องไปในตอนนี้” นายแพทย์คลีนหันมาบอกดิฉันด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“นี่หมอ!หมอไม่มีสิทธิ์พูดเช่นนี้นะ ฉันเห็นหมอชอบทำอะไรแผลงๆอยู่นานแล้ว เมื่อวานนี้ก็ปล่อยคนป่วยที่ขังอยู่ในห้องอาบน้ำออกมา วันนี้ก็มาค่ายในวันอาทิตย์โดยทำทีว่าจะเอายามาให้นักโทษ แต่แท้ที่จริงต้องการมายุ่งกับเรื่องของคนอื่น หมอกำลังทำผิดกฎค่ายของดิฉันนะคะ ซึ่งหมอจะต้องรับผิดชอบหากมีอะไรเกิดขึ้น”

“ผมขอรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่าง ผมเป็นพันตรีนายแพทย์ประจำหน่วยเอสเอสนะครับ”

“ดิฉันขอเตือนหมอนะคะ หมอกำลังเล่นเกมส์อันตรายอยู่”

“มันเป็นเรื่องของผม คุณไม่ต้องมายุ่ง” นายแพทย์คลีนหันมาทางดิฉัน”ตามผมมา” แล้วเขาก็พาดิฉันเดินออกมาเหมือนกับว่าไม่มีเออร์มายืนอยู่ที่นั่นด้วย

เราสองคนเดินไปตามถนนใหญ่ที่ตัดผ่านคุกต่างๆและเมื่อหันกลับหลังไปมองอีกที ก็เห็นเทพธิดาแห่งความตายผมสีทองยังยืนอยู่ที่เดิม แต่กระทืบเท้าดิ้นเร่าๆตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ

ทุกคนในค่ายต่างรู้ดีว่าเออร์มาเป็นคนชอบอาฆาตพยาบาท เมื่อไปมีเรื่องกับเธอเช่นนี้เธอก็คงจะเล่นงานดิฉันเป็นแน่ ดิฉันได้พยายามหลบซ่อนตัวแต่ก็ไร้ประโยชน์  ในค่ายเอาส์ชวิตซ์มีใครล่ะจะหลบซ่อนได้สำเร็จ

หลังจากนายแพทย์คลีนแยกจากดิฉันไปได้แค่ 2 ชั่วโมง ก็มีคนมานำตัวของดิฉันไปพบกับเออร์มาทันที ขณะที่ยืนรออยู่บนพรมหนังสุนัขจิ้งจอกในสำนักงานของเธออยู่นั้น ใจของดิฉันเต้นระทึก

เพราะรู้ตัวดีว่าเธออาจจะต้องจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งกับดิฉัน ในโทษฐานที่ทำให้เธอต้องเสียหน้า ในขณะที่ดิฉันได้แต่ปลงตกว่า ก็ดีเหมือนกันถ้าหากเขาจะฆ่าดิฉันให้ตายทันทีโดยไม่ทรมานให้ได้รับความเจ็บปวด ก็อยากจะตายให้รูแล้วรู้รอด

“แกเป็นใคร สนิทสนมกับนายแพทย์คลีนมาตั้งแต่เมื่อไหร่ พูดคุยกับนายแพทย์คลีนด้วยภาษาอะไรรึ” เออร์มายิงคำถามใส่ดิฉันแทบไม่หยุดหายใจ ตาของเธอเบิกโพลงด้วยความโกรธเมื่อมองหน้าดิฉัน

“คุณหมอเป็นคนเกิดในภาคเดียวกันกับดิฉัน คือมาจากทรานซิลวาเนีย ดิฉันใช้ภาษาถิ่นพูดกับเขา เพิ่งรู้จักเขาเป็นครั้งแรกที่ค่ายแห่งนี้ ดิฉันเคยเป็นนักเรียนแพทย์คะ”ดิฉันรายงานเธออย่างยืดยาว

“แล้วชื่อของแกล่ะ”เออร์มาถามดิฉันต่อ

นับว่าเป็นคำถามที่ออกจะประหลาดสำหรับคนในค่ายเอาส์ชวิตซ์ เพราะปกติจะถามหมายเลขประจำตัวกัน ไม่ใช่ถามชื่ออย่างนี้ ดิฉันบอกชื่อตัวเองโดยไม่ปิดบังอำพราง

พอดิฉันรายงานชื่อเสร็จนางปีศาจผมสีทองก็ลุกพรวดพราดจากที่นั่งมาหาดิฉันพร้อมกับกล่าวว่า

“นับแต่นี้ต่อไปฉันห้ามแกติดตามนายแพทย์คลีนไปไหนต่อไหนอีกเป็นอันขาด ถ้าหากเขาเรียกแกก็ไม่ต้องพูด ถ้าหากเขาส่งคนมาตามแกก็ไม่ต้องไปหา แกเข้าใจที่ฉันพูดมั้ยอีบ้า ตอบคำถามของฉันมาเดี๋ยวนี้ว่า ทำไมแกถึงละเมิดคำสั่งของฉัน ทำไมแกไม่กลับไปเข้าแถวเรียกชื่อในทันทีที่ฉันออกคำสั่ง”

“ดิฉันเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยพยาบาล จึงคิดว่าตัวเองจะต้องเชื่อฟังนายแพทย์คลีนเท่านั้น”ดิฉันตอบ

“อ๋อ! แกคิดอย่างนั้นรึ ฉันคนเดียวเท่านั้นที่แกจะต้องเชื่อฟัง แกได้ยินมั้ย”

พอพูดเสร็จเออร์มาก็เดินไปคว้าปืนพกออกจากลิ้นชักโต๊ะ แล้วเดินรี่เข้ามาเผชิญหน้ากับดิฉัน รูปร่างของดิฉันต่างกับเธอราวฟ้ากับดิน ในขณะที่ดิฉันถูกกล้อนผมจนโล้นอยู่ในชุดขาดรุ่งริ่งเนื้อตัวสกปรกเปียกปอนไปด้วยน้ำฝน  

ส่วนเธอมีเรือนผมสลวยร่างกายงามหยดย้อยแต่งหน้าแต่งตาอย่างดีแต่งกายในชุดฟิตเน้นให้เห็นส่วนสัดอันงดงามอย่างเด่นชัด

“อีเศษมนุษย์”เธอกัดฟันเสียงกรอดๆเหมือนอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ดิฉันก้มศีรษะลงต่ำเพื่อหลบปากกระบอกปืนพกที่เธอยกขึ้นจ่อที่ขมับซ้าย 

พอเห็นดิฉันทำเช่นนี้เธอก็ตวาดเสียงดังลั่นว่า“แกคงกลัวมากใช่มั้ย”

ทันใดนั้นเองเธอได้ใช้ด้ามปืนพกกระหน่ำตีศีรษะของดิฉันจนนับครั้งไม่ถ้วน เท่านั้นยังไม่พอยังใช้กำปั้นชกหน้าอีกหลายครั้ง ดิฉันถูกซ้อมจนเลือดโชกสลบเหมือดคาพรมหนังสุนัขจิ้งจอกนั่นเอง

เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งก็พบว่าตัวเองนอนตากฝนอยู่ข้างนอกสำนักงานของเออร์มา ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกับเสียงสัญญาณระฆังในค่ายดังกังวานเรียกให้นักโทษไปชุมนุมเพื่อทำการคัดเลือก ดิฉันรีบพยุงตัวลุกขึ้นวิ่งกลับไปคุกเพื่อให้ทันเข้าแถวเรียกชื่อ ทั้งๆที่ร่างกายยังฟกช้ำและมีเลือดเปรอะไปทั่วใบหน้า

เมื่อดิฉันหันกลับไปมองอีกครั้งหนึ่งก็เห็นเออร์มากำลังเดินออกจากสำนักงานของหน่วยเอสเอส ในมือถือแส้เตรียมไปคัดเลือกเหยื่อที่จะนำไปเข้าห้องรมก๊าซพิษรุ่นต่อไป 

ทำไมเธอถึงไม่ส่งตัวดิฉันไปเข้าห้องรมก๊าซพิษ  ไม่ก็ยิงเป้าหรือสังหารดิฉันด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง  ดิฉันก็ยังรู้สึกสงสัยและแปลกใจอยู่ไม่หายตราบเท่าทุกวันนี้.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น