วันหนึ่งดิฉันเกือบเสียชีวิตในเหตุการณ์ที่ล่อแหลมมากกว่าครั้งที่ถูก”คัดเลือกตัว”ไปประหารชีวิตเสียอีก
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนี้เมื่อใดก็ยังอดนึกแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมถึงรอดมาได้
มันเหมือนกับตายแล้วเกิดใหม่ไม่มีผิด
ถ้าหากเออร์มาครีเซไม่กระตือรือร้นอยากจะรู้เรื่องอื่นดิฉันคงจะตายไปแล้ว
แต่นี่เธอเกิดความสนใจต้องการรู้ว่าทำไมนายแพทย์ฟริตซ์
คลีน(นายแพทย์จากหน่วยเอสเอสซึ่งเคยประจำการในค่ายกักกันผู้หญิงและต่อมาเป็นแพทย์ประจำค่ายเบอร์เจน-เบลเซ่น) จึงมาเอาอกเอาใจดิฉันทั้งๆที่ดิฉันเป็นแค่นักโทษเศษมนุษย์ถูกกล้อนผมไปครึ่งศีรษะแต่งกายในชุดขาดๆแถมยังสวมรองเท้าเก่าๆของผู้ชายอีกด้วย
ก็เพราะข้อสงสัยของเออร์มานี่เองที่ทำให้ดิฉันรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด
ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ผู้ทำหน้าที่”คัดเลือก”นักโทษคือผู้อำนวยการค่าย
2 คน ได้แก่ ฮัสเซ และ เออร์มา ในทุกวันจันทร์วันพุธและวันเสาร์การเรียกชื่อนักโทษจะทำกันนานเป็นพิเศษ
คือตั้งแต่เช้าจรดเย็นจนกว่าจะได้เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายครบตามโควต้า
เมื่อใดผู้อำนวยการค่ายทั้ง 2 คนนี้ปรากฏตัวที่ประตูค่าย
บรรดานักโทษหญิงซึ่งรู้เหตุผลที่แท้จริงของการ”คัดเลือก”จะมีอาการหวาดผวาไปตามๆกัน
เออร์มา ครีเซคนสวยจะเดินยักย้ายส่ายสะโพกตรงมาหานักโทษ
ท่ามกลางสายตาของนักโทษหญิงจำนวน 40,000 คนซึ่งนั่งนิ่งเหมือนกับคนใบ้
ทรงผมของเธอแลดูสลวยเป็นระเบียบเรียบร้อย
การปรากฏตัวของเธอในแต่ละครั้ง หากทำให้นักโทษหวาดหวั่นพรั่นพรึงได้มากเท่าใด
เธอยิ่งพึงพอใจมากเท่านั้น
สาววัย 22 ปีคนนี้เป็นคนโหดเหี้ยมไร้ความเมตตาปรานีอย่างสิ้นเชิง
เธอจะเลือกเหยื่ออย่างไม่เลือกหน้า
ไม่ว่าจะเป็นคนดีๆคนป่วยคนอ่อนแอหรือคนไร้ความสามารถ
นักโทษหญิงคนใดซึ่งถึงแม้ว่าจะอดอยากทุกข์ทรมานแต่ยังมีร่างกายสดสวยงดงามอยู่
นักโทษหญิงคนนั้นจะถูก”คัดเลือก”ตัวเป็นอันดับแรก
เพราะเออร์มาถือว่าหญิงงามเหล่านี้เป็นเป้าหมายพิเศษที่ต้องกำจัดเป็นอันดับแรก
ในระหว่างที่ทำการคัดเลือกตัวเออร์มาซึ่งต่อมาบรรดาหนังสือพิมพ์ให้สมญานามว่า
“เทพธิดาผมทองแห่งเบลเซ่น”จะใช้แส้ของเธอหวดนักโทษอย่างไม่เลือกหน้า
เธอจะหวดอย่างไม่ยั้งมือทุกครั้งที่รู้สึกมันมือโดยไม่คำนึงว่าพวกเราจะทนความเจ็บปวดได้หรือไม่
ยิ่งเห็นความเจ็บปวดรวดร้าวและเลือดไหลซิบๆออกมาจากรอยแผลตามผิวกายของพวกเรามากเท่าใดเธอก็ยิ่งมีความสุขยิ้มระรื่นมากเท่านั้น
เธอเกิดมาเพื่อมีความสุขอยู่บนกองทุกข์ของคนอื่นแท้ๆ
วันหนึ่งในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1944
มีนักโทษหญิงซึ่งถูกคัดเลือกไว้จำนวน 315 คนถูกนำตัวไปขังไว้ในอาคารโรงอาบน้ำ
เมื่อนักโทษเคราะห์ร้ายเหล่านี้ถูกซ้อมและถูกเฆี่ยนบอบช้ำอยู่ในห้องโถงจนหนำใจแล้ว
เออร์มาก็ออกคำสั่งให้ยามรักษาการณ์หน่วยเอสเอสตอกตะปูขังไว้ในห้องโถงนั้นทันที
ตามปกตินั้นก่อนจะส่งเข้าห้องรมก๊าซพิษนักโทษจะต้องผ่านการตรวจจากนายแพทย์คลีนเสียก่อน
หากนายแพทย์คลีนยังไม่ยอมมาตรวจนักโทษก็จะถูกปล่อยให้อยู่ในห้องนั้นเป็นเวลา 3 วัน
ในระหว่างนี้นักโทษหญิงผู้ต้องโทษประหารก็ต้องนอนรวมกันอยู่บนพื้นคอนกรีตโดยไม่ให้อาหารไม่ให้น้ำดื่มไม่ให้ใช้ห้องสุขา
พวกเธอเป็นมนุษย์ตาดำๆแท้ๆแต่จะหาใครมาเมตตาสงสารแม้แต่น้อยนิดก็ไม่มี
เพื่อนๆหลายคนรู้ว่าดิฉันเป็นคนติดสอยห้อยตามนายแพทย์คลีนไปตรวจรักษาคนไข้ในที่ต่างๆอยู่เป็นประจำ
ก็ได้มาหาและขอร้องให้ดิฉันติดต่อขอความช่วยเหลือจากนายแพทย์คลีนให้ไปยังโรงอาบน้ำเพื่อหาทางช่วยเหลือนักโทษหญิงเหล่านั้น เพื่อนๆแต่ละคนต่างวิงวอนขอร้องดิฉันให้ช่วยชีวิตเพื่อนบ้าง
แม้บ้าง พี่สาวบ้าง น้องสาวบ้างฯลฯ
ในวันที่นายแพทย์คลีนมาตรวจนักโทษประหารดิฉันรู้สึกตื้นเต้นเป็นพิเศษ
แต่ก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจะต้องช่วยชีวิตนักโทษประหารบางคนเอาไว้ให้ได้
“คุณหมอคะ”ดิฉันเอ่ยกับนายแพทย์คลีนด้วยความตื่นเต้นจนตัวสั่นเทาขณะเริ่มเจรจากับเขา
“จะต้องเกิดความผิดพลาดในการคัดเลือกนักโทษครั้งสุดท้ายอย่างแน่ๆเชียวค่ะ
เพราะขณะนี้มีนักโทษถูกขังอยู่ในโรงอาบน้ำทั้งๆที่เขาไม่ได้เจ็บป่วยอะไรเลย
มันคงไม่คุ้มค่าหรอกนะคะที่จะส่งคนไม่ป่วยไปโรงพยาบาล” ดิฉันแกล้งทำทีว่าไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับห้องรมก๊าซพิษ
“แต่คุณไม่มียารักษาคนป่วย คุณน่าจะรู้”
นายแพทย์คลีนตั้งข้อสังเกตกับดิฉัน
“แล้วอีกอย่างหนึ่ง ผู้อำนวยการค่ายของคุณเป็นคนคัดเลือกนักโทษเหล่านี้ด้วยตนเอง
ผมคงช่วยอะไรไม่ได้หรอก”
แต่ดิฉันยังไม่ละความพยายามที่จะช่วยเพื่อนๆที่มาขอร้องเอาไว้
จึงได้พูดคะยั้นคะยอนายแพทย์คลีนต่อไป
“หญิงน่าสงสารเหล่านี้หันหน้าไปพึ่งใครไม่ได้อีกแล้ว”ดิฉันพูดจาหว่านล้อม
“พวกเธอไม่มีบ้าน ไม่มีครอบครัว แต่บางคนก็มีแม่ มีพี่สาว มีน้องสาว
มีบุตรในค่ายนี้
ซึ่งก็พอจะได้เห็นหน้ากันบ้างในยามที่ต้องพลัดบ้านพลัดเมืองมาอย่างนี้ คุณหมอคะ
ดิฉันขอวิงวอนคุณหมอ ขออย่าให้เขาเหล่านี้ต้องพลัดพรากจากกันอีกเลยนะคะ
คุณหมอลองเอาใจเขามาใส่ใจเราซีคะ สมมุติว่าคุณหมอมีพี่สาว มีน้องสาว หรือคุณแม่ของคุณหมออยู่ที่นี่บ้าง
และพวกเขากำลังจะถูกพรากไปจากคุณหมอ คุณหมอจะมีความรู้สึกอย่างไร?”
นายแพทย์คลีนไม่ยอมตอบคำถามของดิฉันแต่อย่างใด
ดิฉันพูดเรื่องนี้กับเขาในขณะที่เรากำลังเดินมุ่งหน้าไปยังอาคารโรงอาบน้ำหลังนั้น
ทันทีที่ไปถึงนายแพทย์คลีนได้ออกคำสั่งให้ยามรักษาการณ์หน่วยเอสเอสถอนตะปูที่ตีปิดประตูออกแล้วก้าวเข้าไปในตัวอาคาร
ดิฉันรีบก้าวเท้าตามไปติดๆ
ภายในอาคารมีนักโทษประหารจำนวน 315 คน ซึ่งถูกขังอยู่ตลอด 3 วัน 3 คืน
มีหลายคนได้เสียชีวิตไปแล้ว
ส่วนคนอื่นๆมีสภาพร่างกายอ่อนระโหยไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะลุกขึ้นยืนได้เลย
ต้องทรุดตัวลงนั่งอยู่ท่ามกลางซากศพของคนตาย
บางคนซึ่งมีแต่หนังหุ้มกระดูกอยู่แล้วอยากจะลุกขึ้นยืนก็ไม่สามารถยันกายลุกขึ้นมาได้
เพราะถูกขังอยู่ในความมืดมาเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน
เมื่อมีแสงสว่างผ่านเข้ามากระทบสายตาก็ยกมือขึ้นมาป้องหน้าเพราะระคายเคืองนัยน์ตาพวกเขาร้องตะโกนกันเซ็งแซ่ว่า
“เราไม่ได้รับประทานอะไรมา 3 วันแล้ว
เราไม่ได้เจ็บป่วยและไม่ต้องการไปโรงพยาบาล”
นายแพทย์คลีนซึ่งปกติเป็นคนอารมณ์เย็นและเป็นคนเยอรมันเพียงคนเดียวในค่ายเอาส์ชวิตซ์ที่ไม่เคยตะคอกใส่หน้าใคร
พอเห็นเหตุการณ์ในลักษณะนี้ก็เกิดหัวเสียขึ้นมาอย่างฉับพลัน
หน้าแดงกล่ำเพราะความโกรธ ถึงกับระงับอารมณ์ไม่ได้ ร้องตะโกนออกมาว่า
“มันเรื่องอะไรกันโว้ย เจ้าหน้าที่คุกมันทำงานประสาอะไรกันว่ะ
แม้แต่นักโทษดีๆอยู่ก็ยังจะส่งเขาไปโรงพยาบาลอีก
เห็นทีผมจะต้องเล่นงานเจ้าหน้าที่เหล่านี้เสียบ้าง จริงๆนะพวกนี้!!”
“ใครที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไรให้ออกจากห้องนี้ ไปให้หมด...ออกไป
ได้ยินมั้ย”
ดิฉันตัวสั่นงันงกเมื่อเห็นท่าทางโกรธของนายแพทย์คลีน
ในขณะที่ดิฉันกำลังตกตะลึงอยู่นั้น
นายแพทย์คลีนก็เข้าไปกวาดต้อนนักโทษที่ยังแข็งแรงอยู่ให้ออกไปจากอาคาร
“ดูนั่นซีคะคุณหมอ ยังมีอีกคนหนึ่งที่เขาไม่ได้ป่วย”
ดิฉันบอกนายแพทย์คลีนพร้อมกับชี้มือไปที่นักศึกษาสาวที่เรียนมาทางคณิตศาสตร์คนหนึ่ง
“เอ้าคนนี้ก็ออกไปด้วย” นายแพทย์คลีนตะโกนไล่เด็กสาวคนนั้น
อีกครู่หนึ่งต่อมารถบรรทุกมหาภัยก็เข้ามาจอดตรงหน้าประตูโรงอาบน้ำเพื่อขนเหยื่อเหลือ
284 คนไปเข้าห้องรมก๊าซพิษ ครั้งนี้เราสามารถช่วยนักโทษให้รอดตายได้ถึง 31 คน
ทั้งนี้ก็เพราะสามารถสะกิดมโนธรรมให้เกิดขึ้นในใจของนายแพทย์คลีนได้สำเร็จแม้ว่าจะได้ผลไม่มากเท่าใดนักก็ตาม
นานๆครั้งเราถึงจะเห็นพวกหน่วยเอสเอสมีมนุษยธรรมอย่างนี้บ้างสักที
ต่อมาในวันอาทิตย์เราถูกลงโทษโดยไม่ทราบสาเหตุโดยถูกสั่งให้ไปนั่งคุกเข่าอยู่ในโคลนหน้าคุกในช่วงฝนตกตอนเช้า
เราถูกลงโทษด้วยวิธีนี้เป็นประจำอยู่แล้ว และครั้งนี้จึงไม่ใช่ครั้งแรก
เราทนนั่งคุกเข่าอยู่อย่างนั้นขณะที่ฝนกำลังตกกระดุกกระดิกเคลื่อนไหวตัวไม่ได้
ต้องชูแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะอีกด้วย
ดิฉันเองถูกเศษแก้วบาดที่เข่าข้างขวาแต่ก็ไม่กล้าขยับตัวเพราะกลัวจะถูกลงโทษหนักมากยิ่งขึ้น
ในขณะที่ดิฉันนั่งคุกเข่าอยู่นั้นนายแพทย์คลีนก็ให้คนมาตามตัวไปพบ
ดิฉันรีบลุกขึ้นวิ่งไปที่ประตูค่ายที่นายแพทย์คลีนยืนคอยอยู่
“ผมไม่เคยมาที่ค่ายในวันอาทิตย์
“เขากล่าวกับดิฉัน”แต่วันนี้มาเป็นพิเศษ เพราะได้สัญญากับคุณว่าจะนำยามาให้คุณรักษาคนป่วย
นี่ไงล่ะตัวอย่างยาจำนวนหนึ่ง”
ขณะที่ดิฉันกำลังจะเอือมมือไปรับกล่องยาจากมือของนายแพทย์คลีน
ก็รู้สึกว่ามีมือใครมาจับที่ไหล่ด้านหลัง เมื่อหันกลับไปก็เห็นเออร์มากำลังยืนถือแส้อยู่
“แกมาทำอะไรอยู่ที่นี่ อีสัตว์”
เออร์มาตะคอกถามดิฉัน”แกไม่รู้รึว่าเขาห้ามลุกมาจากแถวไปไหนในขณะที่ถูกทำโทษ”
“ผมให้คนไปเรียกเธอมาเองครับ” นายแพทย์คลีนตอบแทนดิฉัน
“นี่หมอ! หมอไม่มีสิทธิ์ทำอย่างนี้นะ นี่มันวันอาทิตย์ หมอไม่มีธุระอะไรที่จะต้องมาทำที่นี่ด้วย”
เออร์มาแหวเข้าใส่นายแพทย์คลีน
“แต่คุณก็ไม่มีอำนาจอะไรจะมาห้ามผมไม่ให้มามิใช่รึ”
นายแพทย์คลีนย้อนถาม
“ทำไมจะไม่มีสิทธิ์ เชอะ!” เออร์มายิ้มเยาะ
“ฉันมีสิทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์ที่จะห้ามหมอ หมอต้องไม่ลืมนะคะว่า
ที่นี่ฉันเป็นผู้มีอำนาจออกคำสั่ง”
“คุณออกคำสั่งบังคับใครได้ แต่กับผมคุณไม่มีสิทธิ์”นายแพทย์คลีนตอบโต้
“ในฐานะที่เป็นหัวหน้าแพทย์ ผมมีสิทธิ์มาที่นี่ได้ทุกเมื่อ”
เออร์มาคนสวยยืนกัดฟันกรอดๆแต่ก็ทำอะไรนายแพทย์คลีนไม่ได้
เธอจึงหันมาเล่นงานดิฉันแทน
“กลับไปที่เดิมของแกเดี๋ยวนี้ นังยิวสถุล”
เธอประณามดิฉันด้วยการใช้ภาษารุนแรง
“ยังไม่ต้องไปในตอนนี้”
นายแพทย์คลีนหันมาบอกดิฉันด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“นี่หมอ!หมอไม่มีสิทธิ์พูดเช่นนี้นะ ฉันเห็นหมอชอบทำอะไรแผลงๆอยู่นานแล้ว
เมื่อวานนี้ก็ปล่อยคนป่วยที่ขังอยู่ในห้องอาบน้ำออกมา วันนี้ก็มาค่ายในวันอาทิตย์โดยทำทีว่าจะเอายามาให้นักโทษ
แต่แท้ที่จริงต้องการมายุ่งกับเรื่องของคนอื่น หมอกำลังทำผิดกฎค่ายของดิฉันนะคะ
ซึ่งหมอจะต้องรับผิดชอบหากมีอะไรเกิดขึ้น”
“ผมขอรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่าง
ผมเป็นพันตรีนายแพทย์ประจำหน่วยเอสเอสนะครับ”
“ดิฉันขอเตือนหมอนะคะ หมอกำลังเล่นเกมส์อันตรายอยู่”
“มันเป็นเรื่องของผม คุณไม่ต้องมายุ่ง”
นายแพทย์คลีนหันมาทางดิฉัน”ตามผมมา”
แล้วเขาก็พาดิฉันเดินออกมาเหมือนกับว่าไม่มีเออร์มายืนอยู่ที่นั่นด้วย
เราสองคนเดินไปตามถนนใหญ่ที่ตัดผ่านคุกต่างๆและเมื่อหันกลับหลังไปมองอีกที
ก็เห็นเทพธิดาแห่งความตายผมสีทองยังยืนอยู่ที่เดิม
แต่กระทืบเท้าดิ้นเร่าๆตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ
ทุกคนในค่ายต่างรู้ดีว่าเออร์มาเป็นคนชอบอาฆาตพยาบาท
เมื่อไปมีเรื่องกับเธอเช่นนี้เธอก็คงจะเล่นงานดิฉันเป็นแน่
ดิฉันได้พยายามหลบซ่อนตัวแต่ก็ไร้ประโยชน์
ในค่ายเอาส์ชวิตซ์มีใครล่ะจะหลบซ่อนได้สำเร็จ
หลังจากนายแพทย์คลีนแยกจากดิฉันไปได้แค่ 2 ชั่วโมง
ก็มีคนมานำตัวของดิฉันไปพบกับเออร์มาทันที
ขณะที่ยืนรออยู่บนพรมหนังสุนัขจิ้งจอกในสำนักงานของเธออยู่นั้น
ใจของดิฉันเต้นระทึก
เพราะรู้ตัวดีว่าเธออาจจะต้องจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งกับดิฉัน
ในโทษฐานที่ทำให้เธอต้องเสียหน้า ในขณะที่ดิฉันได้แต่ปลงตกว่า
ก็ดีเหมือนกันถ้าหากเขาจะฆ่าดิฉันให้ตายทันทีโดยไม่ทรมานให้ได้รับความเจ็บปวด
ก็อยากจะตายให้รูแล้วรู้รอด
“แกเป็นใคร สนิทสนมกับนายแพทย์คลีนมาตั้งแต่เมื่อไหร่
พูดคุยกับนายแพทย์คลีนด้วยภาษาอะไรรึ” เออร์มายิงคำถามใส่ดิฉันแทบไม่หยุดหายใจ
ตาของเธอเบิกโพลงด้วยความโกรธเมื่อมองหน้าดิฉัน
“คุณหมอเป็นคนเกิดในภาคเดียวกันกับดิฉัน คือมาจากทรานซิลวาเนีย
ดิฉันใช้ภาษาถิ่นพูดกับเขา เพิ่งรู้จักเขาเป็นครั้งแรกที่ค่ายแห่งนี้
ดิฉันเคยเป็นนักเรียนแพทย์คะ”ดิฉันรายงานเธออย่างยืดยาว
“แล้วชื่อของแกล่ะ”เออร์มาถามดิฉันต่อ
นับว่าเป็นคำถามที่ออกจะประหลาดสำหรับคนในค่ายเอาส์ชวิตซ์
เพราะปกติจะถามหมายเลขประจำตัวกัน ไม่ใช่ถามชื่ออย่างนี้
ดิฉันบอกชื่อตัวเองโดยไม่ปิดบังอำพราง
พอดิฉันรายงานชื่อเสร็จนางปีศาจผมสีทองก็ลุกพรวดพราดจากที่นั่งมาหาดิฉันพร้อมกับกล่าวว่า
“นับแต่นี้ต่อไปฉันห้ามแกติดตามนายแพทย์คลีนไปไหนต่อไหนอีกเป็นอันขาด
ถ้าหากเขาเรียกแกก็ไม่ต้องพูด ถ้าหากเขาส่งคนมาตามแกก็ไม่ต้องไปหา
แกเข้าใจที่ฉันพูดมั้ยอีบ้า ตอบคำถามของฉันมาเดี๋ยวนี้ว่า
ทำไมแกถึงละเมิดคำสั่งของฉัน ทำไมแกไม่กลับไปเข้าแถวเรียกชื่อในทันทีที่ฉันออกคำสั่ง”
“ดิฉันเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยพยาบาล
จึงคิดว่าตัวเองจะต้องเชื่อฟังนายแพทย์คลีนเท่านั้น”ดิฉันตอบ
“อ๋อ! แกคิดอย่างนั้นรึ ฉันคนเดียวเท่านั้นที่แกจะต้องเชื่อฟัง
แกได้ยินมั้ย”
พอพูดเสร็จเออร์มาก็เดินไปคว้าปืนพกออกจากลิ้นชักโต๊ะ แล้วเดินรี่เข้ามาเผชิญหน้ากับดิฉัน
รูปร่างของดิฉันต่างกับเธอราวฟ้ากับดิน
ในขณะที่ดิฉันถูกกล้อนผมจนโล้นอยู่ในชุดขาดรุ่งริ่งเนื้อตัวสกปรกเปียกปอนไปด้วยน้ำฝน
ส่วนเธอมีเรือนผมสลวยร่างกายงามหยดย้อยแต่งหน้าแต่งตาอย่างดีแต่งกายในชุดฟิตเน้นให้เห็นส่วนสัดอันงดงามอย่างเด่นชัด
“อีเศษมนุษย์”เธอกัดฟันเสียงกรอดๆเหมือนอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ
ดิฉันก้มศีรษะลงต่ำเพื่อหลบปากกระบอกปืนพกที่เธอยกขึ้นจ่อที่ขมับซ้าย
พอเห็นดิฉันทำเช่นนี้เธอก็ตวาดเสียงดังลั่นว่า“แกคงกลัวมากใช่มั้ย”
ทันใดนั้นเองเธอได้ใช้ด้ามปืนพกกระหน่ำตีศีรษะของดิฉันจนนับครั้งไม่ถ้วน
เท่านั้นยังไม่พอยังใช้กำปั้นชกหน้าอีกหลายครั้ง
ดิฉันถูกซ้อมจนเลือดโชกสลบเหมือดคาพรมหนังสุนัขจิ้งจอกนั่นเอง
เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งก็พบว่าตัวเองนอนตากฝนอยู่ข้างนอกสำนักงานของเออร์มา
ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกับเสียงสัญญาณระฆังในค่ายดังกังวานเรียกให้นักโทษไปชุมนุมเพื่อทำการคัดเลือก
ดิฉันรีบพยุงตัวลุกขึ้นวิ่งกลับไปคุกเพื่อให้ทันเข้าแถวเรียกชื่อ
ทั้งๆที่ร่างกายยังฟกช้ำและมีเลือดเปรอะไปทั่วใบหน้า
เมื่อดิฉันหันกลับไปมองอีกครั้งหนึ่งก็เห็นเออร์มากำลังเดินออกจากสำนักงานของหน่วยเอสเอส
ในมือถือแส้เตรียมไปคัดเลือกเหยื่อที่จะนำไปเข้าห้องรมก๊าซพิษรุ่นต่อไป
ทำไมเธอถึงไม่ส่งตัวดิฉันไปเข้าห้องรมก๊าซพิษ ไม่ก็ยิงเป้าหรือสังหารดิฉันด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง
ดิฉันก็ยังรู้สึกสงสัยและแปลกใจอยู่ไม่หายตราบเท่าทุกวันนี้.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น