Ads

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 4 ความประทับใจครั้งแรกในคุก



หลังจากเข้ามาอยู่ในคุกแห่งนี้เป็นวันที่สองแล้ว เราจึงได้รับแจกอาหารเช้าเป็นครั้งแรก ซึ่งอาหารเช้านี้ก็ไม่มีอะไรเลย นอกจากกาแฟสีน้ำตาล รสจืดชืดคนละหนึ่งถ้วย ในระยะหลังบางครั้งก็ได้รับแจกชาแทนกาแฟ ซึ่งที่จริงแล้วเครื่องดื่มทั้งสองประเภทนี้ไม่ได้แตกต่างอะไรกันเลยแม้แต่น้อย มันจืดชืดไม่มีรสราวกับน้ำล้างชามยังไงยังงั้น ต้องจำใจดื่มมันแทนอาหารเช้า ไม่มีแม้แต่เศษขนมปังพอที่จะทำให้ท้องอิ่มขึ้นมาได้บ้าง

ในตอนกลางวันเรารับประทานซุปกัน ซุปที่เขานำมาแจกนี้ก็เหมือนกัน ยากที่จะบอกว่าปรุงมาจากอะไรกันแน่ หากเป็นสถานการณ์ปกติคงไม่มีใครนับประทานกันเป็นแน่ เพราะเพียงแต่ได้กลิ่นก็แทบจะอาเจียนเสียแล้ว 

ขณะที่รับประทานก็ต้องกลั้นใจเสียก่อนจึงพอกลืนมันเข้าไปได้บ้าง แต่มันก็จำเป็นต้องรับประทานแม้ว่าจะรู้สึกขยะแขยงสักปานใดก็ตาม แต่ละคนจะผลัดกันยกชามซุปขึ้นดื่ม เพราะไม่มีช้อนจะให้ตัก เมื่อถึงเวลารับประทานซุป แต่ละคนก็แสดงสีหน้าไม่ผิดอะไรกับเด็กที่พยายามกลืนยาขม

เครื่องปรุงซุปจะแตกต่างกันไปบ้างในแต่ละครั้ง แต่รสชาติของมันก็คงเดิมอยู่ตลอดเวลา กล่าวคือ ยังเป็นซุปชนิดที่แม้แต่สุนัขก็ยังเมิน ในน้ำซุปบางครั้งก็พบกระดุม เส้นผม เศษผ้า กระป๋อง แม้กระทั่งหนูตาย วันดีคืนดีก็เจอหลอดด้ายเย็บผ้าที่มีทั้งด้ายและเข็มติดอยู่ด้วยกัน

ในตอนเย็นเราได้รับแจกขนมปังคนละประมาณ 6ใ5 ออนซ์ เป็นขนมปังสีดำเขรอะไปด้วยสนิมจากเลื่อยผ่าขนมปังจนแทบจะดูไม่ได้ เวลาหยิบขึ้นมารับประทานแต่ละครั้งมันแข็งจนแทบจะทำให้เหงือกร้าว ไม่มีคุณค่าทางอาหารเท่าใดนัก จึงทำให้เราเป็นโรคขาดอาหารไปตามๆกัน 

ในคุกไม่มียาสีฟันและแปรงสีฟันแจก เราจึงไม่มีโอกาสได้แปรงฟันกัน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ปากของแต่ละคนมีกลิ่นเหม็นและเป็นโรคฟันผุกันเกินกว่าที่จะรักษาได้ เมื่อยิ้มทักทายกันทีไรก็อดที่จะสมเพชกันไม่ได้

นอกจากขนมปังแล้ว ก็ยังได้รับแจกแยมที่ทำมาจากหัวบีทหวานกับเนยเทียมอีกคนละช้อน บางครั้งก็ได้รับแจกไส้กรอกกลมๆชิ้นบางๆ ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่ามันทำมาจากอะไร บ้างก็ว่าทำมาจากเนื้อศพมนุษย์

เจ้าหน้าที่จะนำซุปและกาแฟไปใส่กาขนาดใหญ่แล้วต้ม กาเหล่านี้เมื่อบรรจุทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปแล้ว มีน้ำหนักเกินกว่า 150 ปอนด์ ใช้นักโทษ 2 คนหาม ลองภาพวาดภาพดูซีคะ การที่ผู้หญิงเพียง 2 คนต้องหามของหนักถึงขนาดนั้นเดินฝ่าฝน ฝ่าหิมะ ฝ่าน้ำแข็งไปนั้น มันจะทุลักทุเลขนาดไหน 

บางครั้งผู้หามเกิดพลาดพลั้งทำน้ำร้อนหกถูกตัวเองถึงกับร่างกายพุพองไปก็มี งานเช่นนี้แม้แต่ผู้ชายอกสามศอกก็ยังถือว่าเป็นงานหนัก แล้วผู้หญิงล่ะคะมันจะหนักหนสำหรับเธอขนาดไหน เธอเหล่านี้ไม่เคยได้รับการฝึกให้ใช้แรงงานแบบนี้มาก่อน ทั้งสภาพร่างกายอ่อนแอเสียอีก ก็เลยยิ่งไปกันใหญ่ 

พวกผู้นำเยอรมันมักจะทำอะไรพิเรนทร์ๆเช่นนี้อยู่เสมอ พวกเขามักใช้คนที่ไม่มีความรู้ทำงานในสำนักงาน แต่กลับใช้ปัญญาชนทำงานกุลีแบกหาม มันขัดกันอย่างไรพิกล

ทันทีที่กาบรรจุน้ำถูกหามมาถึง ก็จะมีการแจกซุปหรือกาแฟกัน โยมีเจ้าหน้าที่ทำหน้าที่แบ่งปันอาหารให้แก่นักโทษ เจ้าหน้าที่เหล่านี้เรียกกันในภาษาเยอรมันว่า สตูเบ็นเดียนสต์

หัวหน้าคุกจะเป็นผู้เลือกเฟ้นคนที่จะมารับตำแหน่งเป็นสตูเบ็นเดียนสต์ ซึ่งโดยปกติจะเป็นนักโทษหญิงที่ตัวโต จิตใจโหดเหี้ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเป็นคนที่รู้จักใช้กระบองตีผู้อื่น พวกสตูเบียนสต์เป็นผู้มีอภิสิทธิ์อย่างเหลือล้น จะใช้กระบองทุบตีหลังของเพื่อนนักโทษที่มีความประพฤติเลวทรามจนสุดที่จะว่ากล่าวได้

ทั้งนี้ก็เพราะนักโทษหญิงเมื่อเห็นซุปหรือกากาแฟแล้ว ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เพราะหิวโหย ก็จะวิ่งกันเข้าไปแย่งอาหารกันชุลมุนวุ่นวายราวกับสุนัขรุมกันแย่งกระดูก ซึ่งพวกสตูเบ็นเดียนสต์ก็จะใช้กระบองไล่ทุบตีเอา เวลาเสิร์ฟอาหารก็จะตักอาหารจากหม้อมาใส่ชาม 20 ใบที่มีใช้อยู่ประจำทุกคุก อาหารในแต่ละชามจะถูกแบ่งกันระหว่างนักโทษในแต่ละกรงขัง 

ปัญหาที่ถึงกับมีการทุบตีกันก็เพราะตกลงกันไม่ได้ว่าใครคือบุคคลแรกที่จะรับประทานอาหารในชามนั้นก่อน อย่างไรก็ดีต่อมาได้มีการวางระเบียบปฏิบัติแน่นอนเอาไว้ว่า ผู้ที่ได้รับแจกอาหารก่อนจะเป็นผู้ยกชามขึ้นรับประทานก่อน โดยมีเพื่อนนักโทษในกรงเดียวกันอีก 19 คนคอยจ้องดูแทบตาไม่กะพริบ ทั้ง 19 คนนั้นจะคอยนับอาหารทุกอึก กับคอยดูการเคลื่อนไหวของลูกกระเดือกของผู้รับประทานอาหารเป็นคนแรกนั้น 

เมื่อคนแรกรับประท่านครบตามจำนวนส่วนแบ่งแล้ว คนที่ 2ก็จะแย่งชามจากมือของคนแรกมารับประทานตามจำนวนอึกที่ได้รับส่วนแบ่ง ทำอย่างนี้เรื่อยไปจนครบ 20 คน

มันเป็นเรื่องที่น่าสมเพชเวทนาจริงๆ อาหารเพียงเท่านี้ไม่พอที่ใครจะอิ่มได้แน่ มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ดิฉันรู้สึกสะเทือนใจมาก คือเมื่อตอนที่เห็นหญิงคนหนึ่งก้มลงดื่มน้ำผสมโคลนบนพื้นดินเพื่อดับความกระหาย เธอดื่มได้อย่างหน้าตาเฉยเหมือนกับไม่รู้ว่าน้ำที่ดื่มนั้นเป็นน้ำไม่สะอาด ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงกับทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้

แต่อนิจจา!ผู้ถูกเนรเทศช่างมีฐานะตกต่ำยิ่งไปกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก เสียงขอร้องวิงวอนของพวกเขาจึงไม่ได้เข้าไปกระทบโสตประสาทของใครๆแม้แต่มัจจุราชเองก็พร้อมที่จะมาคร่าวิญญาณของพวกเขาไปอย่างไร้ความปรานี

เมื่อใดก็ตามที่ดิฉันย้อนรำลึกถึงวันแรกที่มาอยู่ในค่ายกักกัน จะเกิดความรู้สึกสลดใจและมีอาการตื่นเต้นหวาดกลัว เป็นความรู้สึกหวาดกลัวที่เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล แต่มันจะเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ เคยลองค้นหาต้นตอของความหวาดกลัวนี้อยู่เหมือนกัน แต่ก็ยังหาไม่พบ 

ในตอนที่อยู่ในค่ายกักกันในตอนกลางคืนดิฉันเคยมองผ่านรอยแตกของกำแพงเห็นเปลวไฟพวยพุ่งออกจากปล่องโรงงานทำขนมปังลึกลับนั้น และได้ยินเสียงร้องของคนป่วยและคนบาดเจ็บที่ถูกนำไปขึ้นรถบรรทุกเพื่อเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางที่ไม่มีใครรู้ เสียงร้องแสดงถึงความเจ็บปวดเหล่านั้นทำให้เราขวัญเสียและรู้สึกสงสารพวกเขายิ่งนัก 

บางครั้งก็ได้ยินเสียงปืนพกที่เจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสยิงกันเป็นว่าเล่น เมื่อสิ้นเสียงปืนก็จะมีเสียงออกคำสั่งขู่ตะคอกติดตามมา ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เราลืมเหตุการณ์ที่เคยตกเป็นเชลยและเป็นทาสชาวเยอรมันได้ มันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าเกิดขึ้นในยุโรปในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 20 เลย จริงไหมคะ

จิตใจของเราต่างพะวงถึงบุคคลต่างๆทีเราจากมา พวกบริหารของค่ายกักกันอาจจะเข้าใจสภาพจิตใจของเราเป็นอย่างดีก็ได้ เพราะหลังจากที่มาถึงค่ายได้ 2 วัน เราก็ได้รับแจกไปรษณียบัตร พร้อมกับคำสั่งให้เขียนแจ้งกลับไปยังญาติมิตรว่า “เราอยู่กันสุขสยายดี”

ซึ่งที่จริงแล้วมันไม่ได้เป็นความจริงแต่อย่างใด และแทนที่จะให้ระบุว่าไปรษณียบัตรนั้นถูกส่งมาจากค่ายเบอร์เคเนา ก็ถูกบังคับให้เขียนที่อยู่เป็น ค่ายเมืองวัลด์ซี นี้เองทำให้ดิฉันเริ่มระแวงสงสัยขึ้นมาในทันที เลยไม่ยอมเขียนซะดื้อๆ

แต่เพื่อนๆของดิฉันเกือบทุกคนต่างถือโอกาสเขียนติดต่อกับโลกภายนอก ซึ่งบางคนก็ได้รับจดหมายตอบมาใน 4-5 สัปดาห์ต่อมา จนกระทั่งเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 1944 ดิฉันจึงพอจะเข้าใจว่า ทำไมเจ้าหน้าที่เยอรมันจึงอยากให้เราติดต่อกับโลกภายนอก ก็เพราะการเขียนไปรษณียบัตรนี่เองทำให้มีรถไฟขบวนใหม่ๆเดินทางมายังค่ายกักกันเอาส์ชวิตซ์-เบอร์เคเนาอีก 

ผู้ถูกเนรเทศที่มาใหม่เป็นจำนวนมากเปิดเผยว่า จากข่าวดีที่ได้รับจากค่ายในตอนที่ยังอยู่ที่บ้าน ทำให้พวกเขาเกิดความมั่นใจว่าไม่มีอันตรายใดๆและยินยอมที่จะถูกเนรเทศมาอยู่ที่นี่ด้วยความเต็มใจ ส่วนผู้ที่ถูกเนรเทศอีกพวกหนึ่งกล่าวว่า จากจ่าหน้าซองในไปรษณียบัตรที่เขียนไปจากค่ายกักกันทั้งสองแห่งนี้ ทำให้เจ้าหน้าที่เยอรมันรู้จักสถานที่อยู่ของพวกเราได้อย่างสบาย

ด้วยเหตุนี้การหลอกให้นักโทษเขียนไปรษณียบัตรไปสู่โลกภายนอก อำนวยประโยชน์แก่ฝ่ายเยอรมันถึง 3 ประการ คือ ประการที่หนึ่ง เป็นการหลอกลวงครอบครัวของนักโทษกักกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลอกผู้ที่จะถูกเนรเทศรายต่อไป ประการที่สอง ทำให้ตำรวจเกสตาโปได้รู้จักชื่อและที่อยู่ของเหยื่อรายใหม่ และสามารถจับมาเป็นผู้ถูกเนรเทศรายต่อไป ประการที่สาม การใช้ที่อยู่ปลอมของนักโทษทำให้ประชามติในประเทศของนักโทษทั้งหลาย รวมทั้งในต่างประเทศเกิดความไขว้เขวเข้าใจผิด

แต่ความจริงผู้ที่เขียนไปว่า อยู่กันสบายดี นั้นต่างถูกขังอยู่ในกรงที่มีแต่กระดานนำมาปูเรียงกันอย่างหลวมๆซึ่งเมื่อเตียงชั้นที่สามพังลงมามันก็จะทับเตียงชั้นที่สองและชั้นที่หนึ่งพังตามๆกัน ทำให้นักโทษหญิงทั้ง 60 คน ถูกทับได้รับบาดเจ็บฟกช้ำดำเขียวอยู่เสมอ และก็ไม่สามารถรักษาพยาบาลผู้ได้รับบาดเจ็บเหล่านั้นได้เพราะไม่มีผ้าพันแผล อุบัติเหตุดังกล่าวนี้ก็มักเกิดขึ้นบ่อยครั้ง บางทีในคืนเดียวกันอาจเกิดขึ้น 8-10 ครั้งเลยทีเดียว

ต่อมาสภาพต่างๆภายในกรงขังก็ถึงขั้นวิกฤตแตกหัก มีเหตุการณ์กระทบกระทั่งกันระหว่างนักโทษอยู่เสมอในตอนกลางวัน ภายในคุกก็ไม่ผิดอะไรกับโรงขังคนบ้า มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่ละคนเกิดความชิงชังซึ่งกันและกัน ความบีบคั้นและความกดดันที่มีอยู่มากมายๆรอบๆข้าง ทำให้คนที่มีสุขภาพจิตปกติเกิดอาการคลุ้มคลั่งควบคุมสติไว้ไม่อยู่ เที่ยววิ่งไล่อาละวาดเพื่อนนักโทษด้วยกัน จนดูสับสนอลหม่านไปหมด ส่วนในตอนกลางคืนนั้น เมื่อนอนอยู่ใกล้ๆกันด้วยแล้ว ก็ยิ่งมีพฤติกรรมที่ทำให้เกิดโทสจริตมากยิ่งขึ้น

ในช่วงตอนกลางคืนจะได้ยินเสียงร้องไห้ เสียงร้องโอดครวญแสดงถึงความเจ็บปวด สลับไปกับเสียงตะโกนด่ากันของบรรดานักโทษหญิง เช่น

“เอาเท้าของแกไปให้ห่างจากปากของฉันเดี๋ยวนี้นะ”

“เอ๊ะยายบ้า นี่แกจะครวักตาของฉันหรือไง”

“ฉันจะฆ่าแก ยายปากมอม บัดซบจริงๆ”

ปัดโธ่ อีเวรเอ๊ย เสือกแย่งที่ของกูอีกแล้ว หลีกไปนะ เดี๋ยวแม่ตบชักหรอก”

“ปล่อยนะ อย่าบีบคอฉัน”

“โว้ยๆๆฉันจะบ้าตายแล้ว”

ในช่วงแรกๆคืนหนึ่ง หัวหน้านักโทษได้เรียกพวกเราให้มาดูกิริยาอาการของนักโทษหญิงคนหนึ่งซึ่งเกิดท้องร่วงขึ้นมาอย่างฉับพลัน มันช่างเป็นภาพที่น่าอดสูเหลือเกิน หญิงผู้นี้ในอดีตเคยอยู่ในวงสังคมชั้นสูงมาก่อน แต่พอถึงบัดนี้ท่าทางความเป็นผู้ดีของเธอหายไปจนหมดสิ้น เธอถ่ายอุจจาระไว้เลอะเทอะ เมื่อถูกจับได้ก็ตัวสั่นงันงก เหมือนเด็กซุกซนที่แอบทำผิดแล้วถูกผู้ใหญ่จับได้ เธอกล่าวละล่ำละลักว่า

“ได้โปรดให้อภัยฉันเถอะนะคะ ฉันอายแทบแย่แล้ว มันกลั้นไม่ไหวจริงๆ”

ปกติแล้วพวกยามหน่วยเอสเอสจะเข้ามาตรวจตามคุกต่างๆในตอนกลางคืน จะลงทาผู้ที่ก่อความไม่สงบ รวมทั้งผู้ที่ทำให้กรงขังพังลงมา  สำหรับผู้ที่ตกลงมาจนได้รับบาดเจ็บนั้น แทนที่จะได้รับความเห็นอกเห็นใจ เปล่าเลย พวกหน่วยเอสเอสจะบังคับให้ใช้มือเปล่าๆเช็ดเลือดของตนที่ติดอยู่ตามที่ต่างๆออกให้หมดเกลี้ยง

ต่อมาดิฉันทราบว่าหัวหน้าคุกของเราเป็นชาวโปแลนด์ชื่อ อีก้า ซึ่งเข้ามาอยู่ที่ค่ายนี้ได้ 4 ปีแล้ว ดิฉันจึงเกิดความสนใจเป็นพิเศษ เพราะคิดว่าเธอจะช่วยให้คำตอบอะไรหลายอ่างที่ดิฉันอยากรู้ได้

อีก้าเป็นหญิงร่างใหญ่พูดจาหยาบคาย มีหน้าที่หลักคือคอยเรียกชื่อนักโทษ ซึ่งถ้าใครขาดหายไปเธอจะแสดงอาการเดือดตาลขึ้นมาทันที ส่วนอำนาจหน้าที่อย่างอื่นๆที่มีอยู่เธอจะมอบหมายให้แก่ผู้ช่วยซึ่งเธอคัดเลือกมาจากพวกนักโทษหญิงที่มีจิตใจเหี้ยมเกรียมที่สุดเป็นผู้ปฏิบัติแทน 

การที่อีก้าอยู่นานมาถึง 4 ปีนี้ก็แสดงว่า คนที่อยู่ในค่ายเบอร์เคเนามีโอกาสที่จะรอดชีวิตได้โยไม่ต้องถูกฆ่าตาย ดิฉันจึงมีความหวังว่าอย่างไรเสียเราคงไม่อยู่ในคุกนานถึง 4 ปี ก็จะได้รับการปล่อยตัวออกจากค่ายนรกแห่งนี้

แต่เมื่อดิฉันถามอีก้าถึงเรื่องนี้ ปรากฏว่าความคิดดังกล่าวของดิฉันเป็นความคิดที่เลื่อนลอย ห่างไกลจากความจริงราวฟ้ากับดิน
“ยายบ้า แกคิดว่าพวกเขาจะปล่อยให้แกมีชีวิตอยู่เรอะ” อีก้ากล่าวเชิงเยาะเย้ย

“แกนะตายไปครึ่งตัวแล้วรู้ไว้ด้วย พวกแกทั้งหมดจะต้องถูกฆ่าในที่สุด จะมีหลงเหลือรอดชีวิตอยู่ได้เพียงไม่กี่คน และพวกที่รอดตายเหล่านี้ก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกชั่วระยะเวลาไม่กี่เดือน แกมีครอบครัวแล้วหรือยัง?

ดิฉันได้เล่าชีวิตบางตอนในอดีตให้อีก้าฟัง รวมทั้งเหตุการณ์ในตอนที่พาบิดามารดาและบุตรมาด้วย จนกระทั่งถึงตอนที่ถูกแยกออกจากกันเมื่อเดินทางมาถึงสถานีรถไฟ

อีก้ายักใหญ่แสดงท่าทีเฉยเมย กล่าวกับดิฉันด้วยอาการเย็นชาว่า

“นี่แก ฉันบอกแกได้เลยว่า พ่อแม่และลูกของแกอีกสองคนที่มาด้วยกันนั้นไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้แล้ว ทั้งสี่คนถูกนำตัวไปฆ่าและเผาทิ้งในวันเดียวที่เดินทางมาถึงนั่นแหละ ฉันเองก็สูญเสียพ่อไปในทำนองเดียวกับแกไม่มีผิด และนักโทษแก่ๆทั้งหลายในค่ายนี้ก็ได้ประสบชะตากรรมเช่นเดียวกันนั้น”

เมื่อได้ฟังอีก้าพูดเช่นนี้ ดิฉันถึงกับตัวแข็งทื่อเกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

“ไม่ ไม่ เป็นไปไม่ได้” ดิฉันแทบตะโกนออกมาด้วยความไม่เชื่อว่ามันจะเป็นจริงอย่างที่อีก้าว่า ถ้อยคำแสดงการคัดค้านของดิฉันทำให้หัวหน้านักโทษหญิงผู้นี้ทนฟังอยู่ไม่ได้

“เมื่อไม่เชื่อก็ลองไปดูด้วยตาของแกเองสิ” อีก้าตะคอกใส่ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว แล้วดึงแขนดิฉันไปที่ประตูด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด พลางชี้มือไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง

“แกเห็นเปลวไฟนั้นมั้ย นั่นแหละคือเตาเผาศพล่ะ แต่ขอบอกก่อนว่า แกจะต้องเดือดร้อนหากปากโป้งไปบอกให้ใครรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แกจะต้องเรียกเตาเผาศพนั้นว่าโรงงานทำขนมปังตามที่พวกเราเรียกกัน ทุกครั้งที่รถไฟขบวนใหม่นำผู้ถูกเนรเทศมาถึง เตาเผาศพจะถูกใช้งานหนักเนื่องจากมีศพต้องเผามาก ศพคนตายต้องรอคิวอยู่1-2 วันกว่าจะถูกเผาก็มี บางทีศพที่กำลังเผาอยู่ขณะนี้อาจเป็นศพของคนในครอบครัวของแกก็ได้นะ”

เมื่ออีก้าเห็นท่าทางงงงันนิ่งอึ้งไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวของดิฉัน น้ำเสียงของเธอก็เริ่มอ่อนลง และแสดงออกถึงความเศร้าเห็นอกเห็นใจดิฉันมากขึ้น เธอได้กล่าวต่อไปว่า

“อันดับแรกเขาจะเผาผู้ที่ไม่มีประโยชน์ก่อน คือเด็กและคนชรา ทุกๆคนที่ถูกสั่งให้ไปรวมตัวกันทางด้านซ้ายมือของชานชาลาสถานีรถไฟในวันแรกที่เดินทางมาถึง จะถูกส่งตัวมายังเตาเผาศพนี้ทั้งสิ้น”

ดิฉันยืนนิ่งอยู่ที่นั่นเหมือนกับร่างไร้วิญญาณ ไม่ได้ร้องไห้ แต่มันเหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบกันเป็นร่างกายและจิตใจได้สลายไปพร้อมกันในทันทีทันใด

“ประหารชีวิตทันทีที่มาถึงเชียวรึ”ดิฉันพึมพำกับตัวเอง พร้อมกับหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เดินทางมาถึงและได้รับคำสั่งให้เข้าแถวเพื่อรับการคัดเลือกนักโทษ

อนิจจา!ดิฉันให้บิดามารดาและบุครชายทั้งสองคนไปรวมกลุ่มทางซ้ายมือ โอ พระเจ้า ดิฉันได้กลายเป็นผู้ทำลายชีวิตบิดามารดาและบุตรชายทั้งสองคนไปแล้วหรือนี่

หลังจากที่ได้สนทนากับอีก้าแล้ว ตลอดวันนั้นดิฉันเหมือนกับคนหมดความรู้สึก ใจเหม่อลอยจำอะไรแทบไม่ได้ สมองมึนงงไปหมด ได้แต่นอนซมเหมือนคนไข้หนักอยู่ในกรง ต่อมาในตอนเที่ยงคืนก็มีใครคนหนึ่งมาเขย่าปลุกดิฉันอยู่นาน เมื่อลืมตาขึ้นมาดูก็เห็นเป็นภรรยาของนายแพทย์คนหนึ่งที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันกับดิฉันนั่นเอง

“สามีของพวกเราคงอยู่ไม่ไกลไปจากที่นี่หรอก” เธอกระซิบบอกดิฉัน

“เมื่อตอนเย็นวันนี้เอง ฉันยังเห็นหมอเอ็กซ์อยู่เลย”

ดิฉันรอคอยด้วยความกระวนกระวายว่าเมื่อไรจะสว่างเสียที ได้ตัดสินใจว่าไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ดิฉันก็จะต้องไปพบสามีให้จงได้ เพื่อบอกเขาถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รู้มาจากอีก้า ซึ่งบางทีเขาอาจทำให้ดิฉันสบายใจได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่อีก้าบอกนั้นเป็นเรื่องที่กุขึ้นมาหลอกกันเล่นเท่านั้นเอง

ในตอนรุ่งอรุรวันใหม่ดิฉันยอมละเมิดคำสั่งและยอมเสี่ยงกับการถูกเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสจับโยได้ยอมหลบหนีออกไปจากกรงขังไป ขณธนั้นที่ประตูคุกมีคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ ตอนแรกคิดว่าเป็นนักโทษด้วยกัน แต่พอเดินเข้าไปใกล้จึงรู้ว่าไม่ใช่นักโทษหากเป็นสารวัตรประจำคุก 

เมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ดิฉันกลับเดินทื่อเข้าไปขอความช่วยเหลือจากพวกเขาอย่างหน้าตาเฉย แต่แล้วสิ่งที่ได้รับคือความผิดหวัง เพราะพวกเขาไม่ยอมให้ข่าวสารและโอกาสใดๆอันจะเป็นประโยชน์ต่อการค้นหาสามีของดิฉันเลย แต่ดิฉันก็เข้าใจดีที่เขาไม่ยอมช่วยเหลือก็เนื่องมาจากเกรงถูกจับได้นั่นเอง ซึ่งหากถูกจับได้ว่าให้คำแนะนำใดๆแก่ใครๆก็ตามเขาก็จะถูกลงโทษโยการถูกเฆี่ยนตีด้วยแส้เหล็กยี่สิบห้าทีหรือบางครั้งก็อาจจะถึงกับถูกยิงเป้าไปเลยก็ได้ แล้วใครจะกล้าเสี่ยง

ถึงกระนั้นดิฉันก็ไมยอมละความพยายาม ได้เพียรขอร้องวิงวอนพวกเขาอยู่นาน ในที่สุดดิฉันก็ประสบกับความสำเร็จ เขารับอาสาว่าจะช่วยไปบอกหมอเอ๊กซ์ให้มาพบ ต่อมาหมอเอ๊กซ์ก็ได้มาพบดิฉันและได้บอกว่าสามีของดิฉันอยู่ไม่ห่างไกลจากที่นี่ คำบอกเล่าของหมอเอ๊กซ์นี้ทำให้ดิฉันมีกำลังใจขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งว่า ตนเองจะได้พบกับสามีและมีโอกาสบอกเขารู้ถึงสิ่งที่ได้ฟังมาจากอีก้า

ต่อมาดิฉันก็ไม่ได้ลดละความพยายามที่จะค้นหาสามี ได้แอบหนีออกจากคุกคุมขังเพื่อเที่ยวสอบถามไปยังค่ายต่างๆ ดิฉันถูกยามชาวเยอรมันไล่ทุบตีถึงสามครั้ง เพราะเขาไปพบดิฉันอยู่ในค่ายอีกแห่งหนึ่ง แต่ดิฉันก็ไม่ยี่หระอะไรกับความเจ็บปวดที่ได้รับจากการถูกทุบตีนั้น เพราะมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องพบสามีให้จงได้ ในที่สุดหลังจากที่ได้ใช้เวลาติดตามค้นหาอยู่นาน ก็ได้พบสามีสมกับที่ได้ตั้งใจไว้

แม้ว่าดิฉันแทบจะสูญเสียประสาทรับความรู้สึกนับตั้งแต่เริ่มเข้ามอยู่ในค่ายนรกแห่งนี้ แต่เมื่อถึงตอนที่พบกับสามีอีกครั้งหนึ่งนั้น ก็แทบตกใจแทบช็อกเลยทีเดียว นี่หรือนายแพทย์ไมกรอส เลงเยล อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลและศัลยแพทย์ผู้โด่งดังผู้กอปรไปด้วยคุณธรรม ในอดีตเป็นผู้เคยจุกจิกจู้จี้พิถีพิถันเรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัว แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีสารรูปเดิมเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย 

เสื้อผ้าที่สวมใส่ขาดรุ่งริ่ง  เนื้อตัวสกปรกมอมแมม รูปร่างผอมโซ ถูกโกนศีรษะจนโล้นเลี่ยน ชุดที่กำลังสวมอยู่คือชุดแต่งกายของฆาตรกรโหด เมื่อเขามองมาที่ดิฉันก็คงไม่เชื่อสายตาของตนเองเหมือนกัน เพราะดิฉันเองก็เถอะอยู่ในแต่งกายขาดวิ่นไปหมด จนเกือบเปลือยกานครึ่งท่อน เนื่องจากท่อนล่างดิฉันสวมเฉพาะชุดชั้นในเท่านั้น 

ส่วนศีรษะของดิฉันก็แสนที่จะทุเรศเพราะถูกกล้อนผมเหลือไว้เป็นหย่อมๆ สารรูปของดิฉันน่าจะทำให้เขาแทบช็อกมากกว่ากระมัง  ทรวดทรงอันสวยงามของผู้หญิงที่เคยเป็นภรรยาร่วมสุขร่วมทุกข์กันมากับเขาในอดีตอันหวานชื่นมิได้หลงเหลืออยู่ในตัวของดิฉันเลย

เราสองคนยืนยิ่งด้วยความรู้สึกตื้นตันใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วสามีได้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความหมดอาลัยตายอยากว่า
“นี่นะหรือคือสถานที่ที่เขาให้เรามาอยู่กัน”

แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆแต่ดิฉันก็พอจะเข้าใจความหมายที่เขาพูดได้เป็นอย่างดี เราสองคนฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการเพื่อก่อร่างสร้างตัวเพื่ออนาคตอันสดใสมานานนับยี่สิบปี แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับลงเอยด้วยการตกเป็นทาสของจักรวรรดินิยมเยอรมันเสียฉิบ

เราสองคนยืนอยู่ใกล้กับลวดหนามแต่ไม่กล้าเคลื่อนไหวเพราะกลัวยามรักษาการณ์จะพบเห็นเข้า

ดิฉันได้บอกเขาอย่างรวบรัดเกี่ยวกับเรื่อที่หัวหน้าคุก(นางอีกา)บอกว่าบุตรชายสองคนของเรารวมทั้งบิดามารดาของดิฉันได้เสียชีวิตไปแล้ว เสียงที่ดิฉันพูดออกมานั้นรู้สึกว่าสั่นเครือและแปร่งๆอย่างไรพิกล ขณะที่ถ้อยคำต่างๆพรั่งพรูออกจากปากใบหน้าของโธมัสบุตรชายคนเล็กก็ล่องลอยมาปรากฏเด่นชัดอยู่ในความรู้สึก เหมือนกับว่าเผยอปากพูดกับดิฉันว่า แกคงไม่ประสบชะตากรรมอันเลวร้ายเช่นนั้น หากยังมีบิดามารดาคอยปกป้องคุ้มครองแกอยู่

ดิฉันหันไปพูดกับสามีอีกว่า ฉันไม่เชื่อเลยค่ะว่าคนอย่างชาวเยอรมันจะใจไม้ไส้ระกำ สามารถฆ่าได้แม้กระทั่งเด็กตัวเล็กๆเช่นลูกของเราเช่นนี้ คุณเชื่อหรือเปล่าคะ? ถ้าหากเขาฆ่าลูกเราจริงแล้วละก็ ฉันคงจะทนทุกข์ทรมานมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้เป็นแน่ ฉันจะกินยาพิษให้ตายรู้แล้วรู้รอดไปเลย”

เมื่อดิฉันพูดจบ สามียังนิ่งอึ้งไม่ยอมพูดอะไรแม้แต่คำเดียว แต่ก็พอจะรู้ว่าเขามีความรู้สึกอย่างไร ดิฉันมองออกว่าจิตใจของเขากำลังปวดร้าวอย่างแสนสาหัส

“ถ้าเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นจริง ผมก็ไม่ขอร้องคุณให้มีชีวิตอยู่ต่อไปหรรอกนะ”ในที่สุดสามีได้พูดพึมพำขึ้น

“แต่...ตอนนี้คุณจะต้องรอดูไปก่อน อย่าเพิ่งด่วนคิดสั้นเสียล่ะ”

เขาเข้าใจถึงความรู้สึกหมดอาลัยตายอยากในชีวิตของดิฉันเป็นอย่างดี หลังจากนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง จึงกล่าวด้วยท่าทางเคร่งขรึมอีกว่า
“แบ่งยาพิษให้ผมสักครึ่งได้มั้ย เพราะของผมถูกยึดเอาไปเสียแล้ว”

ดิฉันก้มตัวลงเพื่อจะนำเย็ดยาพิษออกจากที่ซ่อนตรงรอยตะเข็บของรองเท้าบู๊ท แต่เขาเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาทันที ได้กล่าวกับดิฉันว่า
“ผมไม่ต้องการมันหรอก คุณเก็บเอาไว้ใช้เองก็แล้วกัน ผมเป็นผู้ชายพอที่จะหาวิธีฆ่าตัวตายแบบอื่นได้ง่ายกว่าคุณซึ่งเป็นผู้หญิง”
ในขณะนั้นเอง ยามรักษาการณ์ชาวเยอรมันได้หันมาเห็นเราสองคนเข้า เท่านั้นเองพวกเขาก็วิ่งเข้ามาตะครุบตัวเราสองคน แล้วใช้แส้เฆี่ยนตีแทบไม่ยั้งมือ ในที่สุดเราสองคนก็ถูกจับแยกกลับเข้าคุก โยไม่มีเวลาแม้แต่จะกล่าวคำอาลากัน”

“เราตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาแล้ว” สามีตะโกนบอกขณะที่ถูกยามรักษาการณ์ลากตัวเอาไป
“แล้วค่อยพกกันอีกนะที่รัก ทำใจดีๆเอาไว้”

พอวันรุ่งขึ้นยามรักษาการณ์ทั้งสองคนก็ได้รับคำสั่งให้ย้ายออกไปจากค่าย ซึ่งก็คงจะถูกลงโทษในฐานที่ละเลยต่อหน้าที่
ขณะที่ดิฉันเดินกลับไปที่คุกก็ได้พบกับเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเดินทางมาพร้อมกันในขบวนรถไฟมหาภัยขบวนนั้น ชายคนนนี้กำลังยืนอยู่กับบุตรชายวัย 16 ปี

“คุณเห็นโธมัสบ้างมั้ย” ดิฉันเอ่ยปากถามด้วยความหวังอย่างลมๆแล้งๆ

“เห็นครับ ผมเห็นแกอยู่ที่สถานีรถไฟ” ชายผู้นี้ตอบ

“หลังจากแกถูกคัดเลือกแยกจากยายไป ก็ถูกส่งตัวไปทางด้านรางรถไฟด้านโน้นพร้อมกับเด็กอีกสองคน”
แล้วชายผู้นี้ก็ชี้มือไปยังทิศที่ตั้งของโรงงานขนมปัง

“ที่หน่วย 2 ครับ” บุตรชายของเขาพูดเสริม

“ที่นั่นมีเจ้าหน้าที่ลงทะเบียนและสักลายของนักโทษอยู่ รีบไปที่นั่นซีครับ คุณป้า รีบไปบอกเจ้าหน้าที่ว่าลูกชายคุณป้าอายุเกินสิบสองปีแล้ว บางทีเขาอาจจะยอมให้คุณป้ารับตัวโธมัสมาอยู่ในค่ายกักกันค้านี้ก็ได้นะครับ”

ดิฉันรีบไปที่หน่วย 2 ในทันที

“เธอจะวิ่งไปไหน” นักโทษชายชาวเยอรมันคนหนึ่งถามดิฉัน นักโทษคนนี้สวมชุดนักโทษที่มีเครื่องหมายเป็นรูปสามเหลี่ยมสีเขียวติดอยู่ที่หน้าอก ซึ่งการติดตราสามเหลี่ยมสีเขียวที่อกนี้แสดงว่าเป็นคนเยอรมัน โยปกติแล้วคนพวกนี้เป็นฆาตกรที่ถูกจับมา เมื่อมาอยู่ในค่ายกักกันก็จะได้รับตำแหน่งหน้าที่สำคัญๆ

“ดิฉันกำลังจะไปบอกให้เขาย้ายลูกชายมาอยู่ทางค่ายแรงงานค่ะ” ดิฉันบอกนักโทษเยอรมันคนนั้น

“เวลานี้ลูกชายของเธออยู่ที่ไหน”

“ดิฉันไม่ทราบเหมือนกัน แต่เมื่อวานนี้มีคนเห็นแกถูกนำตัวไปยังอีกฟากนึ่งของทางรถไฟ”

“ถ้าอย่างนั้นเธอเลิกคิดได้แล้ว” เขาแนะนำดิฉันด้วยท่าทางเฉื่อยชา

“แต่ดิฉันต้องการพบลูกนะคะ”

ขณะที่กล่าวรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ร้องไห้ แต่น้ำตาเจ้ากรรมกลับไหลพรากออกมาอาบแก้มโยไม่รู้สึกตัว

“อย่าโง่ไปหน่อยเลย” เขากล่าว”ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกที่จะค้นหาใครที่นี่”

“แต่ดิฉันต้องการตามหาลูกนี่ค่ะ” ดิฉันย้ำ

“เธอน่าจะห่วงตัวเองมากกว่า”เขาเตือนสติ

“เธอยังสวยอยู่ ก็น่าจะรักษาเนื้อรักษาตัวไว้ให้ดี อย่างเธอนี้หากทำตัวดีๆก็จะมีอาหารรับประทานและมีเสื้อผ้าสวยๆสวมใส่ เธอน่าจะคิดถึงเรื่องเหล่านี้มากกว่านะ”

ขณะที่ดิฉันยืนต่อล้อต่อเถียงกับนักโทษชายชาวเยอรมันอยู่นั้น ก็มีเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสหญิงคนหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาหาเรา ในมือถือแส้ทำด้วยหนังและเส้นสวดมาด้วย ดิฉันจำได้ว่าเธอชื่อ ฮัสเซ เป็นหนึ่งในผู้ควบคุมค่ายที่โหดเหี้ยมที่สุด

แต่ก่อนที่ฮัสเซจะทำอะไรดิฉัน นักโทษชายชาวเยอรมันคนนี้ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยปกป้องดิฉันเอาไว้

“อย่าตีเธอเลยนะครับ” เขากล่าวกับฮัสเซ

“เธอเป็นคนหน้าใหม่เพิ่งมาอยู่ที่ค่ายนี้ ขณะนี้กำลังตามหาลูกชาย ซึ่งถูกนำตัวไปยังอีกฟากหนึ่งของทางรถไฟ”

นักโทษชายคนนี้ทำท่ายิ้มกริ่มเล่นหูเล่นตากับฮัสเซผู้คุมจอมโหด ฮัสเซเองก็ได้แสดงท่าทียินยอมที่จะทำตามคำขอร้องของเขา ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นทราบไหมคะ ก็เพระนักโทษชายคนนี้เป็นคนรูปหล่อหุ่นดี ตรงกันข้ากับฮัสเซซึ่งเป็นหญิงอ้วยเทอะทะหน้าตาขี้เหล่ความรูปหล่อของเขาทำให้ฮัสเซลืมนึกถึงดิฉันไปชั่วขณะ เอาแต่เฝ้าจ้องมองเล่นหูเล่นตากับนักโทษชายคนนี้อยู่ ซึ่งทุกคนที่อยู่ในค่ายต่างก็ทราบกันทั่วไปว่าฮัสเซชองเรื่องผู้ชายมากๆเลยทีเดียว

ก็จะไม่ให้ฮัสเซติดใจผู้ชายผู้นี้เป็นพิเศษได้อย่างไรล่ะคะ ในเมื่อเขาแต่งตัวสะอาดสะอ้านกว่าทุกคน ที่สำคัญคือเขาไม่ได้โกนศีรษะเหมือนคนอื่นๆซึ่งก็ย่อมมีเสน่ห์เป็นที่ดึงดูดใจของผู้หญิงในค่ายเป็นธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ได้เป็นนักโทษการเมือง หากแต่เป็นนักโทษที่เคยเป็นฆาตกรฆ่าคนมาเท่านั้นเอง

ฮัสเซหัวเราะระรี้ระริกเดินเข้าไปจนชิดร่างหนุ่มรูปหล่อ ดิฉันจึงถือโอกาสในช่วงนี่รีบวิ่งแน่บกลับคุก รอดพ้นจากการถูกเฆี่ยนตีไปได้อย่างหวุดหวิด

ก็เพราะหนุ่มรูปงามคนนี้ทีเดียวที่ช่วยปกป้องไว้ มิฉะนั้นดิฉันก็คงไม่รอดพ้นจากความโหดร้ายของทหารหญิงหน่วยเอสเอสคนนี้เป็นแน่ เมื่อมามีชีวิตอยู่ในโลกของนาซี มันก็ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้แหละ.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น