หลังจากเข้ามาอยู่ในคุกแห่งนี้เป็นวันที่สองแล้ว
เราจึงได้รับแจกอาหารเช้าเป็นครั้งแรก ซึ่งอาหารเช้านี้ก็ไม่มีอะไรเลย
นอกจากกาแฟสีน้ำตาล รสจืดชืดคนละหนึ่งถ้วย ในระยะหลังบางครั้งก็ได้รับแจกชาแทนกาแฟ
ซึ่งที่จริงแล้วเครื่องดื่มทั้งสองประเภทนี้ไม่ได้แตกต่างอะไรกันเลยแม้แต่น้อย
มันจืดชืดไม่มีรสราวกับน้ำล้างชามยังไงยังงั้น ต้องจำใจดื่มมันแทนอาหารเช้า
ไม่มีแม้แต่เศษขนมปังพอที่จะทำให้ท้องอิ่มขึ้นมาได้บ้าง
ในตอนกลางวันเรารับประทานซุปกัน ซุปที่เขานำมาแจกนี้ก็เหมือนกัน ยากที่จะบอกว่าปรุงมาจากอะไรกันแน่
หากเป็นสถานการณ์ปกติคงไม่มีใครนับประทานกันเป็นแน่
เพราะเพียงแต่ได้กลิ่นก็แทบจะอาเจียนเสียแล้ว
ขณะที่รับประทานก็ต้องกลั้นใจเสียก่อนจึงพอกลืนมันเข้าไปได้บ้าง
แต่มันก็จำเป็นต้องรับประทานแม้ว่าจะรู้สึกขยะแขยงสักปานใดก็ตาม แต่ละคนจะผลัดกันยกชามซุปขึ้นดื่ม
เพราะไม่มีช้อนจะให้ตัก เมื่อถึงเวลารับประทานซุป
แต่ละคนก็แสดงสีหน้าไม่ผิดอะไรกับเด็กที่พยายามกลืนยาขม
เครื่องปรุงซุปจะแตกต่างกันไปบ้างในแต่ละครั้ง
แต่รสชาติของมันก็คงเดิมอยู่ตลอดเวลา กล่าวคือ
ยังเป็นซุปชนิดที่แม้แต่สุนัขก็ยังเมิน ในน้ำซุปบางครั้งก็พบกระดุม เส้นผม เศษผ้า
กระป๋อง แม้กระทั่งหนูตาย
วันดีคืนดีก็เจอหลอดด้ายเย็บผ้าที่มีทั้งด้ายและเข็มติดอยู่ด้วยกัน
ในตอนเย็นเราได้รับแจกขนมปังคนละประมาณ 6ใ5 ออนซ์
เป็นขนมปังสีดำเขรอะไปด้วยสนิมจากเลื่อยผ่าขนมปังจนแทบจะดูไม่ได้ เวลาหยิบขึ้นมารับประทานแต่ละครั้งมันแข็งจนแทบจะทำให้เหงือกร้าว
ไม่มีคุณค่าทางอาหารเท่าใดนัก จึงทำให้เราเป็นโรคขาดอาหารไปตามๆกัน
ในคุกไม่มียาสีฟันและแปรงสีฟันแจก เราจึงไม่มีโอกาสได้แปรงฟันกัน
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ปากของแต่ละคนมีกลิ่นเหม็นและเป็นโรคฟันผุกันเกินกว่าที่จะรักษาได้
เมื่อยิ้มทักทายกันทีไรก็อดที่จะสมเพชกันไม่ได้
นอกจากขนมปังแล้ว
ก็ยังได้รับแจกแยมที่ทำมาจากหัวบีทหวานกับเนยเทียมอีกคนละช้อน
บางครั้งก็ได้รับแจกไส้กรอกกลมๆชิ้นบางๆ ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่ามันทำมาจากอะไร
บ้างก็ว่าทำมาจากเนื้อศพมนุษย์
เจ้าหน้าที่จะนำซุปและกาแฟไปใส่กาขนาดใหญ่แล้วต้ม
กาเหล่านี้เมื่อบรรจุทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปแล้ว มีน้ำหนักเกินกว่า 150 ปอนด์
ใช้นักโทษ 2 คนหาม ลองภาพวาดภาพดูซีคะ การที่ผู้หญิงเพียง 2 คนต้องหามของหนักถึงขนาดนั้นเดินฝ่าฝน
ฝ่าหิมะ ฝ่าน้ำแข็งไปนั้น มันจะทุลักทุเลขนาดไหน
บางครั้งผู้หามเกิดพลาดพลั้งทำน้ำร้อนหกถูกตัวเองถึงกับร่างกายพุพองไปก็มี
งานเช่นนี้แม้แต่ผู้ชายอกสามศอกก็ยังถือว่าเป็นงานหนัก แล้วผู้หญิงล่ะคะมันจะหนักหนสำหรับเธอขนาดไหน
เธอเหล่านี้ไม่เคยได้รับการฝึกให้ใช้แรงงานแบบนี้มาก่อน
ทั้งสภาพร่างกายอ่อนแอเสียอีก ก็เลยยิ่งไปกันใหญ่
พวกผู้นำเยอรมันมักจะทำอะไรพิเรนทร์ๆเช่นนี้อยู่เสมอ
พวกเขามักใช้คนที่ไม่มีความรู้ทำงานในสำนักงาน แต่กลับใช้ปัญญาชนทำงานกุลีแบกหาม
มันขัดกันอย่างไรพิกล
ทันทีที่กาบรรจุน้ำถูกหามมาถึง ก็จะมีการแจกซุปหรือกาแฟกัน
โยมีเจ้าหน้าที่ทำหน้าที่แบ่งปันอาหารให้แก่นักโทษ
เจ้าหน้าที่เหล่านี้เรียกกันในภาษาเยอรมันว่า สตูเบ็นเดียนสต์
หัวหน้าคุกจะเป็นผู้เลือกเฟ้นคนที่จะมารับตำแหน่งเป็นสตูเบ็นเดียนสต์
ซึ่งโดยปกติจะเป็นนักโทษหญิงที่ตัวโต จิตใจโหดเหี้ยม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเป็นคนที่รู้จักใช้กระบองตีผู้อื่น พวกสตูเบียนสต์เป็นผู้มีอภิสิทธิ์อย่างเหลือล้น
จะใช้กระบองทุบตีหลังของเพื่อนนักโทษที่มีความประพฤติเลวทรามจนสุดที่จะว่ากล่าวได้
ทั้งนี้ก็เพราะนักโทษหญิงเมื่อเห็นซุปหรือกากาแฟแล้ว
ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เพราะหิวโหย
ก็จะวิ่งกันเข้าไปแย่งอาหารกันชุลมุนวุ่นวายราวกับสุนัขรุมกันแย่งกระดูก
ซึ่งพวกสตูเบ็นเดียนสต์ก็จะใช้กระบองไล่ทุบตีเอา
เวลาเสิร์ฟอาหารก็จะตักอาหารจากหม้อมาใส่ชาม 20 ใบที่มีใช้อยู่ประจำทุกคุก
อาหารในแต่ละชามจะถูกแบ่งกันระหว่างนักโทษในแต่ละกรงขัง
ปัญหาที่ถึงกับมีการทุบตีกันก็เพราะตกลงกันไม่ได้ว่าใครคือบุคคลแรกที่จะรับประทานอาหารในชามนั้นก่อน
อย่างไรก็ดีต่อมาได้มีการวางระเบียบปฏิบัติแน่นอนเอาไว้ว่า
ผู้ที่ได้รับแจกอาหารก่อนจะเป็นผู้ยกชามขึ้นรับประทานก่อน
โดยมีเพื่อนนักโทษในกรงเดียวกันอีก 19 คนคอยจ้องดูแทบตาไม่กะพริบ ทั้ง 19
คนนั้นจะคอยนับอาหารทุกอึก กับคอยดูการเคลื่อนไหวของลูกกระเดือกของผู้รับประทานอาหารเป็นคนแรกนั้น
เมื่อคนแรกรับประท่านครบตามจำนวนส่วนแบ่งแล้ว คนที่
2ก็จะแย่งชามจากมือของคนแรกมารับประทานตามจำนวนอึกที่ได้รับส่วนแบ่ง
ทำอย่างนี้เรื่อยไปจนครบ 20 คน
มันเป็นเรื่องที่น่าสมเพชเวทนาจริงๆ อาหารเพียงเท่านี้ไม่พอที่ใครจะอิ่มได้แน่
มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ดิฉันรู้สึกสะเทือนใจมาก
คือเมื่อตอนที่เห็นหญิงคนหนึ่งก้มลงดื่มน้ำผสมโคลนบนพื้นดินเพื่อดับความกระหาย
เธอดื่มได้อย่างหน้าตาเฉยเหมือนกับไม่รู้ว่าน้ำที่ดื่มนั้นเป็นน้ำไม่สะอาด
ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงกับทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้
แต่อนิจจา!ผู้ถูกเนรเทศช่างมีฐานะตกต่ำยิ่งไปกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก
เสียงขอร้องวิงวอนของพวกเขาจึงไม่ได้เข้าไปกระทบโสตประสาทของใครๆแม้แต่มัจจุราชเองก็พร้อมที่จะมาคร่าวิญญาณของพวกเขาไปอย่างไร้ความปรานี
เมื่อใดก็ตามที่ดิฉันย้อนรำลึกถึงวันแรกที่มาอยู่ในค่ายกักกัน
จะเกิดความรู้สึกสลดใจและมีอาการตื่นเต้นหวาดกลัว
เป็นความรู้สึกหวาดกลัวที่เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล แต่มันจะเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ
เคยลองค้นหาต้นตอของความหวาดกลัวนี้อยู่เหมือนกัน แต่ก็ยังหาไม่พบ
ในตอนที่อยู่ในค่ายกักกันในตอนกลางคืนดิฉันเคยมองผ่านรอยแตกของกำแพงเห็นเปลวไฟพวยพุ่งออกจากปล่องโรงงานทำขนมปังลึกลับนั้น
และได้ยินเสียงร้องของคนป่วยและคนบาดเจ็บที่ถูกนำไปขึ้นรถบรรทุกเพื่อเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางที่ไม่มีใครรู้
เสียงร้องแสดงถึงความเจ็บปวดเหล่านั้นทำให้เราขวัญเสียและรู้สึกสงสารพวกเขายิ่งนัก
บางครั้งก็ได้ยินเสียงปืนพกที่เจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสยิงกันเป็นว่าเล่น
เมื่อสิ้นเสียงปืนก็จะมีเสียงออกคำสั่งขู่ตะคอกติดตามมา
ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เราลืมเหตุการณ์ที่เคยตกเป็นเชลยและเป็นทาสชาวเยอรมันได้
มันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าเกิดขึ้นในยุโรปในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 20 เลย จริงไหมคะ
จิตใจของเราต่างพะวงถึงบุคคลต่างๆทีเราจากมา
พวกบริหารของค่ายกักกันอาจจะเข้าใจสภาพจิตใจของเราเป็นอย่างดีก็ได้
เพราะหลังจากที่มาถึงค่ายได้ 2 วัน เราก็ได้รับแจกไปรษณียบัตร
พร้อมกับคำสั่งให้เขียนแจ้งกลับไปยังญาติมิตรว่า “เราอยู่กันสุขสยายดี”
ซึ่งที่จริงแล้วมันไม่ได้เป็นความจริงแต่อย่างใด
และแทนที่จะให้ระบุว่าไปรษณียบัตรนั้นถูกส่งมาจากค่ายเบอร์เคเนา
ก็ถูกบังคับให้เขียนที่อยู่เป็น ค่ายเมืองวัลด์ซี
นี้เองทำให้ดิฉันเริ่มระแวงสงสัยขึ้นมาในทันที เลยไม่ยอมเขียนซะดื้อๆ
แต่เพื่อนๆของดิฉันเกือบทุกคนต่างถือโอกาสเขียนติดต่อกับโลกภายนอก
ซึ่งบางคนก็ได้รับจดหมายตอบมาใน 4-5 สัปดาห์ต่อมา จนกระทั่งเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ.
1944 ดิฉันจึงพอจะเข้าใจว่า
ทำไมเจ้าหน้าที่เยอรมันจึงอยากให้เราติดต่อกับโลกภายนอก
ก็เพราะการเขียนไปรษณียบัตรนี่เองทำให้มีรถไฟขบวนใหม่ๆเดินทางมายังค่ายกักกันเอาส์ชวิตซ์-เบอร์เคเนาอีก
ผู้ถูกเนรเทศที่มาใหม่เป็นจำนวนมากเปิดเผยว่า
จากข่าวดีที่ได้รับจากค่ายในตอนที่ยังอยู่ที่บ้าน
ทำให้พวกเขาเกิดความมั่นใจว่าไม่มีอันตรายใดๆและยินยอมที่จะถูกเนรเทศมาอยู่ที่นี่ด้วยความเต็มใจ
ส่วนผู้ที่ถูกเนรเทศอีกพวกหนึ่งกล่าวว่า
จากจ่าหน้าซองในไปรษณียบัตรที่เขียนไปจากค่ายกักกันทั้งสองแห่งนี้
ทำให้เจ้าหน้าที่เยอรมันรู้จักสถานที่อยู่ของพวกเราได้อย่างสบาย
ด้วยเหตุนี้การหลอกให้นักโทษเขียนไปรษณียบัตรไปสู่โลกภายนอก
อำนวยประโยชน์แก่ฝ่ายเยอรมันถึง 3 ประการ คือ ประการที่หนึ่ง เป็นการหลอกลวงครอบครัวของนักโทษกักกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลอกผู้ที่จะถูกเนรเทศรายต่อไป ประการที่สอง
ทำให้ตำรวจเกสตาโปได้รู้จักชื่อและที่อยู่ของเหยื่อรายใหม่
และสามารถจับมาเป็นผู้ถูกเนรเทศรายต่อไป ประการที่สาม
การใช้ที่อยู่ปลอมของนักโทษทำให้ประชามติในประเทศของนักโทษทั้งหลาย
รวมทั้งในต่างประเทศเกิดความไขว้เขวเข้าใจผิด
แต่ความจริงผู้ที่เขียนไปว่า อยู่กันสบายดี
นั้นต่างถูกขังอยู่ในกรงที่มีแต่กระดานนำมาปูเรียงกันอย่างหลวมๆซึ่งเมื่อเตียงชั้นที่สามพังลงมามันก็จะทับเตียงชั้นที่สองและชั้นที่หนึ่งพังตามๆกัน
ทำให้นักโทษหญิงทั้ง 60 คน ถูกทับได้รับบาดเจ็บฟกช้ำดำเขียวอยู่เสมอ
และก็ไม่สามารถรักษาพยาบาลผู้ได้รับบาดเจ็บเหล่านั้นได้เพราะไม่มีผ้าพันแผล
อุบัติเหตุดังกล่าวนี้ก็มักเกิดขึ้นบ่อยครั้ง บางทีในคืนเดียวกันอาจเกิดขึ้น 8-10
ครั้งเลยทีเดียว
ต่อมาสภาพต่างๆภายในกรงขังก็ถึงขั้นวิกฤตแตกหัก
มีเหตุการณ์กระทบกระทั่งกันระหว่างนักโทษอยู่เสมอในตอนกลางวัน
ภายในคุกก็ไม่ผิดอะไรกับโรงขังคนบ้า มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน
แต่ละคนเกิดความชิงชังซึ่งกันและกัน
ความบีบคั้นและความกดดันที่มีอยู่มากมายๆรอบๆข้าง
ทำให้คนที่มีสุขภาพจิตปกติเกิดอาการคลุ้มคลั่งควบคุมสติไว้ไม่อยู่
เที่ยววิ่งไล่อาละวาดเพื่อนนักโทษด้วยกัน จนดูสับสนอลหม่านไปหมด
ส่วนในตอนกลางคืนนั้น เมื่อนอนอยู่ใกล้ๆกันด้วยแล้ว ก็ยิ่งมีพฤติกรรมที่ทำให้เกิดโทสจริตมากยิ่งขึ้น
ในช่วงตอนกลางคืนจะได้ยินเสียงร้องไห้
เสียงร้องโอดครวญแสดงถึงความเจ็บปวด สลับไปกับเสียงตะโกนด่ากันของบรรดานักโทษหญิง
เช่น
“เอาเท้าของแกไปให้ห่างจากปากของฉันเดี๋ยวนี้นะ”
“เอ๊ะยายบ้า นี่แกจะครวักตาของฉันหรือไง”
“ฉันจะฆ่าแก ยายปากมอม บัดซบจริงๆ”
“ปัดโธ่ อีเวรเอ๊ย เสือกแย่งที่ของกูอีกแล้ว หลีกไปนะ
เดี๋ยวแม่ตบชักหรอก”
“ปล่อยนะ อย่าบีบคอฉัน”
“โว้ยๆๆฉันจะบ้าตายแล้ว”
ในช่วงแรกๆคืนหนึ่ง
หัวหน้านักโทษได้เรียกพวกเราให้มาดูกิริยาอาการของนักโทษหญิงคนหนึ่งซึ่งเกิดท้องร่วงขึ้นมาอย่างฉับพลัน
มันช่างเป็นภาพที่น่าอดสูเหลือเกิน หญิงผู้นี้ในอดีตเคยอยู่ในวงสังคมชั้นสูงมาก่อน
แต่พอถึงบัดนี้ท่าทางความเป็นผู้ดีของเธอหายไปจนหมดสิ้น เธอถ่ายอุจจาระไว้เลอะเทอะ
เมื่อถูกจับได้ก็ตัวสั่นงันงก เหมือนเด็กซุกซนที่แอบทำผิดแล้วถูกผู้ใหญ่จับได้
เธอกล่าวละล่ำละลักว่า
“ได้โปรดให้อภัยฉันเถอะนะคะ ฉันอายแทบแย่แล้ว มันกลั้นไม่ไหวจริงๆ”
ปกติแล้วพวกยามหน่วยเอสเอสจะเข้ามาตรวจตามคุกต่างๆในตอนกลางคืน จะลงทาผู้ที่ก่อความไม่สงบ
รวมทั้งผู้ที่ทำให้กรงขังพังลงมา
สำหรับผู้ที่ตกลงมาจนได้รับบาดเจ็บนั้น แทนที่จะได้รับความเห็นอกเห็นใจ
เปล่าเลย
พวกหน่วยเอสเอสจะบังคับให้ใช้มือเปล่าๆเช็ดเลือดของตนที่ติดอยู่ตามที่ต่างๆออกให้หมดเกลี้ยง
ต่อมาดิฉันทราบว่าหัวหน้าคุกของเราเป็นชาวโปแลนด์ชื่อ อีก้า
ซึ่งเข้ามาอยู่ที่ค่ายนี้ได้ 4 ปีแล้ว ดิฉันจึงเกิดความสนใจเป็นพิเศษ
เพราะคิดว่าเธอจะช่วยให้คำตอบอะไรหลายอ่างที่ดิฉันอยากรู้ได้
อีก้าเป็นหญิงร่างใหญ่พูดจาหยาบคาย
มีหน้าที่หลักคือคอยเรียกชื่อนักโทษ ซึ่งถ้าใครขาดหายไปเธอจะแสดงอาการเดือดตาลขึ้นมาทันที
ส่วนอำนาจหน้าที่อย่างอื่นๆที่มีอยู่เธอจะมอบหมายให้แก่ผู้ช่วยซึ่งเธอคัดเลือกมาจากพวกนักโทษหญิงที่มีจิตใจเหี้ยมเกรียมที่สุดเป็นผู้ปฏิบัติแทน
การที่อีก้าอยู่นานมาถึง 4 ปีนี้ก็แสดงว่า
คนที่อยู่ในค่ายเบอร์เคเนามีโอกาสที่จะรอดชีวิตได้โยไม่ต้องถูกฆ่าตาย
ดิฉันจึงมีความหวังว่าอย่างไรเสียเราคงไม่อยู่ในคุกนานถึง 4 ปี
ก็จะได้รับการปล่อยตัวออกจากค่ายนรกแห่งนี้
แต่เมื่อดิฉันถามอีก้าถึงเรื่องนี้
ปรากฏว่าความคิดดังกล่าวของดิฉันเป็นความคิดที่เลื่อนลอย
ห่างไกลจากความจริงราวฟ้ากับดิน
“ยายบ้า แกคิดว่าพวกเขาจะปล่อยให้แกมีชีวิตอยู่เรอะ”
อีก้ากล่าวเชิงเยาะเย้ย
“แกนะตายไปครึ่งตัวแล้วรู้ไว้ด้วย พวกแกทั้งหมดจะต้องถูกฆ่าในที่สุด
จะมีหลงเหลือรอดชีวิตอยู่ได้เพียงไม่กี่คน
และพวกที่รอดตายเหล่านี้ก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกชั่วระยะเวลาไม่กี่เดือน
แกมีครอบครัวแล้วหรือยัง?”
ดิฉันได้เล่าชีวิตบางตอนในอดีตให้อีก้าฟัง
รวมทั้งเหตุการณ์ในตอนที่พาบิดามารดาและบุตรมาด้วย
จนกระทั่งถึงตอนที่ถูกแยกออกจากกันเมื่อเดินทางมาถึงสถานีรถไฟ
อีก้ายักใหญ่แสดงท่าทีเฉยเมย กล่าวกับดิฉันด้วยอาการเย็นชาว่า
“นี่แก ฉันบอกแกได้เลยว่า พ่อแม่และลูกของแกอีกสองคนที่มาด้วยกันนั้นไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้แล้ว
ทั้งสี่คนถูกนำตัวไปฆ่าและเผาทิ้งในวันเดียวที่เดินทางมาถึงนั่นแหละ
ฉันเองก็สูญเสียพ่อไปในทำนองเดียวกับแกไม่มีผิด
และนักโทษแก่ๆทั้งหลายในค่ายนี้ก็ได้ประสบชะตากรรมเช่นเดียวกันนั้น”
เมื่อได้ฟังอีก้าพูดเช่นนี้
ดิฉันถึงกับตัวแข็งทื่อเกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
“ไม่ ไม่ เป็นไปไม่ได้”
ดิฉันแทบตะโกนออกมาด้วยความไม่เชื่อว่ามันจะเป็นจริงอย่างที่อีก้าว่า
ถ้อยคำแสดงการคัดค้านของดิฉันทำให้หัวหน้านักโทษหญิงผู้นี้ทนฟังอยู่ไม่ได้
“เมื่อไม่เชื่อก็ลองไปดูด้วยตาของแกเองสิ”
อีก้าตะคอกใส่ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
แล้วดึงแขนดิฉันไปที่ประตูด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด
พลางชี้มือไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง
“แกเห็นเปลวไฟนั้นมั้ย นั่นแหละคือเตาเผาศพล่ะ แต่ขอบอกก่อนว่า
แกจะต้องเดือดร้อนหากปากโป้งไปบอกให้ใครรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แกจะต้องเรียกเตาเผาศพนั้นว่าโรงงานทำขนมปังตามที่พวกเราเรียกกัน
ทุกครั้งที่รถไฟขบวนใหม่นำผู้ถูกเนรเทศมาถึง
เตาเผาศพจะถูกใช้งานหนักเนื่องจากมีศพต้องเผามาก ศพคนตายต้องรอคิวอยู่1-2
วันกว่าจะถูกเผาก็มี
บางทีศพที่กำลังเผาอยู่ขณะนี้อาจเป็นศพของคนในครอบครัวของแกก็ได้นะ”
เมื่ออีก้าเห็นท่าทางงงงันนิ่งอึ้งไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวของดิฉัน
น้ำเสียงของเธอก็เริ่มอ่อนลง และแสดงออกถึงความเศร้าเห็นอกเห็นใจดิฉันมากขึ้น
เธอได้กล่าวต่อไปว่า
“อันดับแรกเขาจะเผาผู้ที่ไม่มีประโยชน์ก่อน คือเด็กและคนชรา
ทุกๆคนที่ถูกสั่งให้ไปรวมตัวกันทางด้านซ้ายมือของชานชาลาสถานีรถไฟในวันแรกที่เดินทางมาถึง
จะถูกส่งตัวมายังเตาเผาศพนี้ทั้งสิ้น”
ดิฉันยืนนิ่งอยู่ที่นั่นเหมือนกับร่างไร้วิญญาณ ไม่ได้ร้องไห้
แต่มันเหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบกันเป็นร่างกายและจิตใจได้สลายไปพร้อมกันในทันทีทันใด
“ประหารชีวิตทันทีที่มาถึงเชียวรึ”ดิฉันพึมพำกับตัวเอง
พร้อมกับหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เดินทางมาถึงและได้รับคำสั่งให้เข้าแถวเพื่อรับการคัดเลือกนักโทษ
อนิจจา!ดิฉันให้บิดามารดาและบุครชายทั้งสองคนไปรวมกลุ่มทางซ้ายมือ โอ พระเจ้า
ดิฉันได้กลายเป็นผู้ทำลายชีวิตบิดามารดาและบุตรชายทั้งสองคนไปแล้วหรือนี่
หลังจากที่ได้สนทนากับอีก้าแล้ว ตลอดวันนั้นดิฉันเหมือนกับคนหมดความรู้สึก
ใจเหม่อลอยจำอะไรแทบไม่ได้ สมองมึนงงไปหมด ได้แต่นอนซมเหมือนคนไข้หนักอยู่ในกรง
ต่อมาในตอนเที่ยงคืนก็มีใครคนหนึ่งมาเขย่าปลุกดิฉันอยู่นาน
เมื่อลืมตาขึ้นมาดูก็เห็นเป็นภรรยาของนายแพทย์คนหนึ่งที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันกับดิฉันนั่นเอง
“สามีของพวกเราคงอยู่ไม่ไกลไปจากที่นี่หรอก” เธอกระซิบบอกดิฉัน
“เมื่อตอนเย็นวันนี้เอง ฉันยังเห็นหมอเอ็กซ์อยู่เลย”
ดิฉันรอคอยด้วยความกระวนกระวายว่าเมื่อไรจะสว่างเสียที
ได้ตัดสินใจว่าไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ดิฉันก็จะต้องไปพบสามีให้จงได้
เพื่อบอกเขาถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รู้มาจากอีก้า
ซึ่งบางทีเขาอาจทำให้ดิฉันสบายใจได้ว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างที่อีก้าบอกนั้นเป็นเรื่องที่กุขึ้นมาหลอกกันเล่นเท่านั้นเอง
ในตอนรุ่งอรุรวันใหม่ดิฉันยอมละเมิดคำสั่งและยอมเสี่ยงกับการถูกเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสจับโยได้ยอมหลบหนีออกไปจากกรงขังไป
ขณธนั้นที่ประตูคุกมีคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ ตอนแรกคิดว่าเป็นนักโทษด้วยกัน
แต่พอเดินเข้าไปใกล้จึงรู้ว่าไม่ใช่นักโทษหากเป็นสารวัตรประจำคุก
เมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ดิฉันกลับเดินทื่อเข้าไปขอความช่วยเหลือจากพวกเขาอย่างหน้าตาเฉย
แต่แล้วสิ่งที่ได้รับคือความผิดหวัง
เพราะพวกเขาไม่ยอมให้ข่าวสารและโอกาสใดๆอันจะเป็นประโยชน์ต่อการค้นหาสามีของดิฉันเลย
แต่ดิฉันก็เข้าใจดีที่เขาไม่ยอมช่วยเหลือก็เนื่องมาจากเกรงถูกจับได้นั่นเอง
ซึ่งหากถูกจับได้ว่าให้คำแนะนำใดๆแก่ใครๆก็ตามเขาก็จะถูกลงโทษโยการถูกเฆี่ยนตีด้วยแส้เหล็กยี่สิบห้าทีหรือบางครั้งก็อาจจะถึงกับถูกยิงเป้าไปเลยก็ได้
แล้วใครจะกล้าเสี่ยง
ถึงกระนั้นดิฉันก็ไมยอมละความพยายาม
ได้เพียรขอร้องวิงวอนพวกเขาอยู่นาน ในที่สุดดิฉันก็ประสบกับความสำเร็จ เขารับอาสาว่าจะช่วยไปบอกหมอเอ๊กซ์ให้มาพบ
ต่อมาหมอเอ๊กซ์ก็ได้มาพบดิฉันและได้บอกว่าสามีของดิฉันอยู่ไม่ห่างไกลจากที่นี่
คำบอกเล่าของหมอเอ๊กซ์นี้ทำให้ดิฉันมีกำลังใจขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งว่า
ตนเองจะได้พบกับสามีและมีโอกาสบอกเขารู้ถึงสิ่งที่ได้ฟังมาจากอีก้า
ต่อมาดิฉันก็ไม่ได้ลดละความพยายามที่จะค้นหาสามี ได้แอบหนีออกจากคุกคุมขังเพื่อเที่ยวสอบถามไปยังค่ายต่างๆ
ดิฉันถูกยามชาวเยอรมันไล่ทุบตีถึงสามครั้ง เพราะเขาไปพบดิฉันอยู่ในค่ายอีกแห่งหนึ่ง
แต่ดิฉันก็ไม่ยี่หระอะไรกับความเจ็บปวดที่ได้รับจากการถูกทุบตีนั้น
เพราะมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องพบสามีให้จงได้
ในที่สุดหลังจากที่ได้ใช้เวลาติดตามค้นหาอยู่นาน ก็ได้พบสามีสมกับที่ได้ตั้งใจไว้
แม้ว่าดิฉันแทบจะสูญเสียประสาทรับความรู้สึกนับตั้งแต่เริ่มเข้ามอยู่ในค่ายนรกแห่งนี้
แต่เมื่อถึงตอนที่พบกับสามีอีกครั้งหนึ่งนั้น ก็แทบตกใจแทบช็อกเลยทีเดียว
นี่หรือนายแพทย์ไมกรอส เลงเยล
อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลและศัลยแพทย์ผู้โด่งดังผู้กอปรไปด้วยคุณธรรม
ในอดีตเป็นผู้เคยจุกจิกจู้จี้พิถีพิถันเรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัว
แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีสารรูปเดิมเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย
เสื้อผ้าที่สวมใส่ขาดรุ่งริ่ง เนื้อตัวสกปรกมอมแมม รูปร่างผอมโซ ถูกโกนศีรษะจนโล้นเลี่ยน
ชุดที่กำลังสวมอยู่คือชุดแต่งกายของฆาตรกรโหด
เมื่อเขามองมาที่ดิฉันก็คงไม่เชื่อสายตาของตนเองเหมือนกัน
เพราะดิฉันเองก็เถอะอยู่ในแต่งกายขาดวิ่นไปหมด จนเกือบเปลือยกานครึ่งท่อน
เนื่องจากท่อนล่างดิฉันสวมเฉพาะชุดชั้นในเท่านั้น
ส่วนศีรษะของดิฉันก็แสนที่จะทุเรศเพราะถูกกล้อนผมเหลือไว้เป็นหย่อมๆ
สารรูปของดิฉันน่าจะทำให้เขาแทบช็อกมากกว่ากระมัง
ทรวดทรงอันสวยงามของผู้หญิงที่เคยเป็นภรรยาร่วมสุขร่วมทุกข์กันมากับเขาในอดีตอันหวานชื่นมิได้หลงเหลืออยู่ในตัวของดิฉันเลย
เราสองคนยืนยิ่งด้วยความรู้สึกตื้นตันใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วสามีได้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความหมดอาลัยตายอยากว่า
“นี่นะหรือคือสถานที่ที่เขาให้เรามาอยู่กัน”
แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆแต่ดิฉันก็พอจะเข้าใจความหมายที่เขาพูดได้เป็นอย่างดี
เราสองคนฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการเพื่อก่อร่างสร้างตัวเพื่ออนาคตอันสดใสมานานนับยี่สิบปี
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับลงเอยด้วยการตกเป็นทาสของจักรวรรดินิยมเยอรมันเสียฉิบ
เราสองคนยืนอยู่ใกล้กับลวดหนามแต่ไม่กล้าเคลื่อนไหวเพราะกลัวยามรักษาการณ์จะพบเห็นเข้า
ดิฉันได้บอกเขาอย่างรวบรัดเกี่ยวกับเรื่อที่หัวหน้าคุก(นางอีกา)บอกว่าบุตรชายสองคนของเรารวมทั้งบิดามารดาของดิฉันได้เสียชีวิตไปแล้ว
เสียงที่ดิฉันพูดออกมานั้นรู้สึกว่าสั่นเครือและแปร่งๆอย่างไรพิกล
ขณะที่ถ้อยคำต่างๆพรั่งพรูออกจากปากใบหน้าของโธมัสบุตรชายคนเล็กก็ล่องลอยมาปรากฏเด่นชัดอยู่ในความรู้สึก
เหมือนกับว่าเผยอปากพูดกับดิฉันว่า แกคงไม่ประสบชะตากรรมอันเลวร้ายเช่นนั้น
หากยังมีบิดามารดาคอยปกป้องคุ้มครองแกอยู่
ดิฉันหันไปพูดกับสามีอีกว่า
ฉันไม่เชื่อเลยค่ะว่าคนอย่างชาวเยอรมันจะใจไม้ไส้ระกำ
สามารถฆ่าได้แม้กระทั่งเด็กตัวเล็กๆเช่นลูกของเราเช่นนี้ คุณเชื่อหรือเปล่าคะ? ถ้าหากเขาฆ่าลูกเราจริงแล้วละก็
ฉันคงจะทนทุกข์ทรมานมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้เป็นแน่
ฉันจะกินยาพิษให้ตายรู้แล้วรู้รอดไปเลย”
เมื่อดิฉันพูดจบ สามียังนิ่งอึ้งไม่ยอมพูดอะไรแม้แต่คำเดียว
แต่ก็พอจะรู้ว่าเขามีความรู้สึกอย่างไร ดิฉันมองออกว่าจิตใจของเขากำลังปวดร้าวอย่างแสนสาหัส
“ถ้าเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นจริง
ผมก็ไม่ขอร้องคุณให้มีชีวิตอยู่ต่อไปหรรอกนะ”ในที่สุดสามีได้พูดพึมพำขึ้น
“แต่...ตอนนี้คุณจะต้องรอดูไปก่อน อย่าเพิ่งด่วนคิดสั้นเสียล่ะ”
เขาเข้าใจถึงความรู้สึกหมดอาลัยตายอยากในชีวิตของดิฉันเป็นอย่างดี หลังจากนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
จึงกล่าวด้วยท่าทางเคร่งขรึมอีกว่า
“แบ่งยาพิษให้ผมสักครึ่งได้มั้ย เพราะของผมถูกยึดเอาไปเสียแล้ว”
ดิฉันก้มตัวลงเพื่อจะนำเย็ดยาพิษออกจากที่ซ่อนตรงรอยตะเข็บของรองเท้าบู๊ท
แต่เขาเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาทันที ได้กล่าวกับดิฉันว่า
“ผมไม่ต้องการมันหรอก คุณเก็บเอาไว้ใช้เองก็แล้วกัน
ผมเป็นผู้ชายพอที่จะหาวิธีฆ่าตัวตายแบบอื่นได้ง่ายกว่าคุณซึ่งเป็นผู้หญิง”
ในขณะนั้นเอง ยามรักษาการณ์ชาวเยอรมันได้หันมาเห็นเราสองคนเข้า
เท่านั้นเองพวกเขาก็วิ่งเข้ามาตะครุบตัวเราสองคน แล้วใช้แส้เฆี่ยนตีแทบไม่ยั้งมือ
ในที่สุดเราสองคนก็ถูกจับแยกกลับเข้าคุก โยไม่มีเวลาแม้แต่จะกล่าวคำอาลากัน”
“เราตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาแล้ว”
สามีตะโกนบอกขณะที่ถูกยามรักษาการณ์ลากตัวเอาไป
“แล้วค่อยพกกันอีกนะที่รัก ทำใจดีๆเอาไว้”
พอวันรุ่งขึ้นยามรักษาการณ์ทั้งสองคนก็ได้รับคำสั่งให้ย้ายออกไปจากค่าย
ซึ่งก็คงจะถูกลงโทษในฐานที่ละเลยต่อหน้าที่
ขณะที่ดิฉันเดินกลับไปที่คุกก็ได้พบกับเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเดินทางมาพร้อมกันในขบวนรถไฟมหาภัยขบวนนั้น
ชายคนนนี้กำลังยืนอยู่กับบุตรชายวัย 16 ปี
“คุณเห็นโธมัสบ้างมั้ย” ดิฉันเอ่ยปากถามด้วยความหวังอย่างลมๆแล้งๆ
“เห็นครับ ผมเห็นแกอยู่ที่สถานีรถไฟ” ชายผู้นี้ตอบ
“หลังจากแกถูกคัดเลือกแยกจากยายไป
ก็ถูกส่งตัวไปทางด้านรางรถไฟด้านโน้นพร้อมกับเด็กอีกสองคน”
แล้วชายผู้นี้ก็ชี้มือไปยังทิศที่ตั้งของโรงงานขนมปัง
“ที่หน่วย 2 ครับ” บุตรชายของเขาพูดเสริม
“ที่นั่นมีเจ้าหน้าที่ลงทะเบียนและสักลายของนักโทษอยู่
รีบไปที่นั่นซีครับ คุณป้า
รีบไปบอกเจ้าหน้าที่ว่าลูกชายคุณป้าอายุเกินสิบสองปีแล้ว
บางทีเขาอาจจะยอมให้คุณป้ารับตัวโธมัสมาอยู่ในค่ายกักกันค้านี้ก็ได้นะครับ”
ดิฉันรีบไปที่หน่วย 2 ในทันที
“เธอจะวิ่งไปไหน” นักโทษชายชาวเยอรมันคนหนึ่งถามดิฉัน นักโทษคนนี้สวมชุดนักโทษที่มีเครื่องหมายเป็นรูปสามเหลี่ยมสีเขียวติดอยู่ที่หน้าอก
ซึ่งการติดตราสามเหลี่ยมสีเขียวที่อกนี้แสดงว่าเป็นคนเยอรมัน
โยปกติแล้วคนพวกนี้เป็นฆาตกรที่ถูกจับมา
เมื่อมาอยู่ในค่ายกักกันก็จะได้รับตำแหน่งหน้าที่สำคัญๆ
“ดิฉันกำลังจะไปบอกให้เขาย้ายลูกชายมาอยู่ทางค่ายแรงงานค่ะ”
ดิฉันบอกนักโทษเยอรมันคนนั้น
“เวลานี้ลูกชายของเธออยู่ที่ไหน”
“ดิฉันไม่ทราบเหมือนกัน
แต่เมื่อวานนี้มีคนเห็นแกถูกนำตัวไปยังอีกฟากนึ่งของทางรถไฟ”
“ถ้าอย่างนั้นเธอเลิกคิดได้แล้ว” เขาแนะนำดิฉันด้วยท่าทางเฉื่อยชา
“แต่ดิฉันต้องการพบลูกนะคะ”
ขณะที่กล่าวรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ร้องไห้
แต่น้ำตาเจ้ากรรมกลับไหลพรากออกมาอาบแก้มโยไม่รู้สึกตัว
“อย่าโง่ไปหน่อยเลย”
เขากล่าว”ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกที่จะค้นหาใครที่นี่”
“แต่ดิฉันต้องการตามหาลูกนี่ค่ะ” ดิฉันย้ำ
“เธอน่าจะห่วงตัวเองมากกว่า”เขาเตือนสติ
“เธอยังสวยอยู่ ก็น่าจะรักษาเนื้อรักษาตัวไว้ให้ดี
อย่างเธอนี้หากทำตัวดีๆก็จะมีอาหารรับประทานและมีเสื้อผ้าสวยๆสวมใส่
เธอน่าจะคิดถึงเรื่องเหล่านี้มากกว่านะ”
ขณะที่ดิฉันยืนต่อล้อต่อเถียงกับนักโทษชายชาวเยอรมันอยู่นั้น
ก็มีเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสหญิงคนหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาหาเรา
ในมือถือแส้ทำด้วยหนังและเส้นสวดมาด้วย ดิฉันจำได้ว่าเธอชื่อ ฮัสเซ
เป็นหนึ่งในผู้ควบคุมค่ายที่โหดเหี้ยมที่สุด
แต่ก่อนที่ฮัสเซจะทำอะไรดิฉัน
นักโทษชายชาวเยอรมันคนนี้ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยปกป้องดิฉันเอาไว้
“อย่าตีเธอเลยนะครับ” เขากล่าวกับฮัสเซ
“เธอเป็นคนหน้าใหม่เพิ่งมาอยู่ที่ค่ายนี้ ขณะนี้กำลังตามหาลูกชาย
ซึ่งถูกนำตัวไปยังอีกฟากหนึ่งของทางรถไฟ”
นักโทษชายคนนี้ทำท่ายิ้มกริ่มเล่นหูเล่นตากับฮัสเซผู้คุมจอมโหด
ฮัสเซเองก็ได้แสดงท่าทียินยอมที่จะทำตามคำขอร้องของเขา ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นทราบไหมคะ
ก็เพระนักโทษชายคนนี้เป็นคนรูปหล่อหุ่นดี
ตรงกันข้ากับฮัสเซซึ่งเป็นหญิงอ้วยเทอะทะหน้าตาขี้เหล่ความรูปหล่อของเขาทำให้ฮัสเซลืมนึกถึงดิฉันไปชั่วขณะ
เอาแต่เฝ้าจ้องมองเล่นหูเล่นตากับนักโทษชายคนนี้อยู่
ซึ่งทุกคนที่อยู่ในค่ายต่างก็ทราบกันทั่วไปว่าฮัสเซชองเรื่องผู้ชายมากๆเลยทีเดียว
ก็จะไม่ให้ฮัสเซติดใจผู้ชายผู้นี้เป็นพิเศษได้อย่างไรล่ะคะ
ในเมื่อเขาแต่งตัวสะอาดสะอ้านกว่าทุกคน
ที่สำคัญคือเขาไม่ได้โกนศีรษะเหมือนคนอื่นๆซึ่งก็ย่อมมีเสน่ห์เป็นที่ดึงดูดใจของผู้หญิงในค่ายเป็นธรรมดา
ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ได้เป็นนักโทษการเมือง
หากแต่เป็นนักโทษที่เคยเป็นฆาตกรฆ่าคนมาเท่านั้นเอง
ฮัสเซหัวเราะระรี้ระริกเดินเข้าไปจนชิดร่างหนุ่มรูปหล่อ
ดิฉันจึงถือโอกาสในช่วงนี่รีบวิ่งแน่บกลับคุก
รอดพ้นจากการถูกเฆี่ยนตีไปได้อย่างหวุดหวิด
ก็เพราะหนุ่มรูปงามคนนี้ทีเดียวที่ช่วยปกป้องไว้ มิฉะนั้นดิฉันก็คงไม่รอดพ้นจากความโหดร้ายของทหารหญิงหน่วยเอสเอสคนนี้เป็นแน่
เมื่อมามีชีวิตอยู่ในโลกของนาซี มันก็ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้แหละ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น