Ads

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 21 เมื่อชาวปารีสได้รับอิสรภาพ



ในช่วงพักกลางวันของนักโทษกรรมกรเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 1944 มีนักโทษชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งมาที่โรงพยาบาลของพวกเรา เป็นคนที่ดิฉันเคยพบมาก่อนเป็นชายร่างเล็กตาสีดำหน้าเสี้ยม ปกติแล้วจะเห็นใบหน้าของเขาอมทุกข์ตามแบบฉบับของนักโทษในค่ายเบอร์เคเนา

แต่มาวันนี้เขากลับมีท่าทางไม่เหมือนเดิม ดิฉันมองเขาด้วยความสงสัยในรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย ดวงตาของเขาฉายแสงประกายใบหน้าแสดงถึงความหวังท่าทางมีความมั่นใจในขณะที่เขายื่นมือออกมาให้ดิฉันตรวจ

ดิฉันจ้องมองเขาเพราะอยากจะค้นหาความจริงอะไรสักอย่าง

“นี่หมายความว่าอย่างไรกัน”ดิฉันรำพึงอยู่ในใจ

“หรือว่าตาของเราฝาดไป ดูเขามีสง่าราศีผิดกว่าเดิมมาก”

เมื่อเห็นกิริยาอาการครึ้มอกครึ้มใจของเขาเช่นนี้ก็ให้รู้สึกแปลกใจเพราะปกตินักโทษจะมีลักษณะอมทุกข์กันทุกคน แต่สำหรับเขาผู้นี้ดูพร้อมจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความสุขได้ทุกขณะ

ดิฉันเกิดความคิดว่า”เราต้องระวังตัวให้ดี เขาอาจจะกำลังแสดงอาการผิดปกติอะไรบางอย่าง”เพราะคนที่มีอาการใกล้บ้าที่นี่พบเห็นกันอยู่เสมอ

ดิฉันมองไปทางประตูบ่อยครั้งเพื่อเตรียมทางหนีทีไล่ไว้ก่อน เขาคงจะสังเกตเห็นท่าทางวิตกกังวลของดิฉันจึงก้มลงมากระซิบบอกว่า

“กรุงปารีสได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระแล้ว”

ดิฉันยืนนิ่งอึ้งตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ออกจ้องมองเขาจนลืมตรวจมือให้

เมื่อได้สติกลับมาอีกครั้งจึงเข้าใจว่าทำไมชายชาวฝรั่งเศสร่างเล็กผู้นี้จึงมีความสุขอย่างประหลาด ถึงกระนั้นก็ตามดิฉันก็ยังไม่ปลงใจเชื่อว่าจะเป็นจริง คิดยู่ครู่หนึ่งว่า บางทีเขาอาจบ้าไปจริงๆก็ได้นะ แต่ในที่สุดก็อยากจะตะโกนและระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมาด้วยความปลื้มใจอย่างหาที่สุดมิได้

เมื่อใดก็ตามที่ได้รู้ว่าฝ่ายสัมพันธมิตรประสบกับความพ่ายแพ้ในแนวรบ ดิฉันจะพยายามอย่างมากที่จะปกปิดความเศร้าเสียใจของตัวเองเอาไว้ และพยายามสร้างข่าวที่เป็นมงคลให้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตรเพื่อประโยชน์ในการรักษาขวัญและกำลังใจของบรรดานักโทษ

ต่อไปนี้ดิฉันคงจะมีความสุขอย่างเหลือล้นที่จะได้กระซิบบอกใครต่อใครว่าบัดนี้ฝ่ายสัมพันธมิตรเข้ายึดกรุงปารีสคืนจากพวกเยอรมันได้แล้ว

คนไข้รายแรกที่ดิฉันบอกข่าวนี้ก็คือนักโทษหญิงที่เป็นโรคเท้าอักเสบ พอได้ฟังข่าวนี้เท่านั้นเธอถึงกับตาลุกโพลงลืมชักขาของตัวเองออกจากแท่นที่วางไม่ปริปากพูดแม้แต่คำเดียวเอาแต่ร้องไห้ ดิฉันเลยผสมโรงร้องไห้ไปกับเธอด้วยความปีติ

ข่าวชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นความมหัศจรรย์เกินกว่าที่จะแสดงออกโดยวิธีอื่นนอกจากการร้องไห้เท่านั้น

ในไม่ช้าข่าวชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรก็ได้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ภาพของนักโทษโอบกอดจูบกันด้วยความดีใจจะเห็นได้ทั่วไปในโรงอาบน้ำและโรงสุขา ส่วนในโรงพยาบาลนั้นนักโทษที่ป่วยขนาดลุกขึ้นไปไหนมาไหนไม่ได้ก็ยังอุตส่าห์ใช้ข้อศอกพยุงตัวผงกศีรษะยิ้มอย่างเบิกบานใจ

ทุกคนในคุกต่างคุยกันถึงเรื่องนี้พร้อมกับเสริมแต่งเรื่องให้มันเข้มข้นยิ่งขึ้นไปอีก พอตกถึงเย็นพวกเราต่างจินตนาการว่ายุโรปทั้งหมดกำลังจะได้รับการปลดปล่อยโยกองกำลังของทอมมี(ตามปกติพวกเราจะเรียกพวกทหารอังกฤษว่าพวกทอมมี)
พวกเราไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับนักโทษที่มาจากฝรั่งเศสเสียหลายวันเพราะพวกนี้ยืดอกด้วยความภาคภูมิใจจนไม่อยากจะพูดกับใครๆ

กลุ่มใต้ดินของนายปัสเช่ถึงกับใช้วิทยุดักฟังคำปราศรัยของนายพลเดอโกลจากกรุงปารีส ทำให้เราได้รู้วีรกรรมของทหารฝ่ายสัมพันธมิตรที่มาตั้งเครื่องกีดขวางป้องกันไม่ให้เพวกเยอรมันทำลายความงามของกรุงปารีสได้

พวกเรารู้สึกจิตใจพองโตเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ในขณะที่ไปยืนเข้าแถวรอเรียกชื่อต่างก็ส่งสัญญาณภาษาใจให้กันด้วยหางตา ซึ่งต่างก็เข้าใจความหมายของสัญญาณนี้ได้ดีว่าหมายถึงอะไร

ฝ่ายพวกเยอรมันได้แสดงปฏิกิริยาตอบโต้นักโทษในค่ายอย่างฉับพลัน ด้วยการใช้มาตรการในเรื่องอาหารการกิน น้ำซุปที่เคยเลวอยู่แล้วก็ยิ่งเหลวหนักยิ่งขึ้นไปอีก มีชาวโปแลนด์คนหนึ่งกับชาวฝรั่งเศสอีก 3 คนถูกนำไปแขวนคอในข้อหาเผยแพร่ข่าวเท็จ

พวกเยอรมันหลอกวิศวกรคอมมิวนิสต์ชาวรัสเซียคนหนึ่งไปยิงเป้าและก็ยังมีนักโทษอื่นๆอีกหลายพันคนถูกนำไปกำจัดในห้องรมก๊าซพิษ เนื่องในเทศกาลแห่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของฝ่ายสัมพันธมิตรในครั้งนี้

หลังจากได้ข่าวการปลดปล่อยกรุงปารีส”นครแห่งแสงสว่าง”แล้ว พวกเราก็พากันฝันเฟื่องวางแผนอะไรต่อมิอะไรเอาไว้มากมาย พอตกถึงตอนกลางคืนก็พูดกันถึงวิธีที่จะต้อนรับฝ่ายสัมพันธมิตรโดยฝันว่าจะมีเครื่องบินของฝ่ายสัมพันธมิตรบิมาอยู่เหนือค่ายเอาส์ชวิตซ์และมีทหารฝ่ายสัมพันธมิตรกระโดร่มลงมา

ในวันนั้นพวกเราที่ไปคอยต้อนรับก็จะพากันแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า ปรบมือเมื่อพลร่มชาวอเมริกันอังกฤษและรัสเซียลอยละล่องอยู่เต็มท้องฟ้าแทนที่จะเห็นเปลวควันจากเตาเผาศพเหมือนเช่นเคย

ส่วนพวกเยอรมันที่เคยกดขี่ข่มเหงพวกเราก็จะพากันตัวสั่งงันงกเพราะความกลัวพากันมาคุกเข่าวิงงอนขอความปรานีอยู่เบื้องหน้าของพวกเรา

จากนั้นพวกเราก็จะวิ่งไปจูบรับขวัญทหารของฝ่ายสัมพันธมิตรที่กระโดดร่มลงมาช่วยปลดปล่อยพวกเราออกจากค่ายนรก

เราจินตนาการไปว่าในตอนนั้นเราไม่มีร่างกายสกปรก ไมได้สวมผ้าขาดๆอย่างเช่นในปัจจุบัน ดังนั้นการจูบรับขวัญของพวกเราจึงดื่มด่ำเป็นที่ปรารถนาของทหารฝ่ายพันธมิตรและในที่สุดพวกเราฝันเฟื่องต่อไปว่าจะได้ใช้ผ้าร่มชูชีพมาตัดชุดแต่งกายสวยงามกันคนละชุดสองขุด

“นักโทษหญิงทุกคนที่มีญาติอยู่ในอเมริกาจะถูกนำตัวไปแลกเปลี่ยนกับเชลยศึกเยอรมัน หากใครสนใจขอได้โปรดแจ้งชื่อและที่อยู่ของญาติมิตรชาวอเมริกันของตน พร้อมทั้งประวัติส่วนตัวและวันเดือนปีเกิดฯลฯ”

นั่นคือข้อความในคำประกาศของเจ้าหน้าที่เยอรมันที่นำความตื่นเต้นครั้งใหม่ล่าสุดมาสู่นักโทษในค่าย นักโทษหญิงแต่ละคนต่างก็ใช้สมองคิดกันอย่างหนัก

พวกเขาได้ครุ่นคิดทบทวนหารายชื่อของญาติมิตรในอเมริกา บางพวกก็ถึงกับร้องห่มร้องไห้เพราะจดจำชื่อญาติๆของตนไม่ได้ ส่วนอีกพวกหนึ่งก็ร้องไห้เพราะขาดการติดต่อกับญาติๆมานานจนจำไม่ได้

มีนักโทษจำนวนมากที่สามารถรวบรวมรายชื่อญาติๆและได้ส่งมอบรายชื่อเหล่านั้นแก่เจ้าหน้าที่เยอรมัน ซึ่งแต่ละคนก็ฝันหวานวางแผนจะไปฉลองคริสต์มาสในสหรัฐอเมริกาถ้าโครงการแลกเปลี่ยนเชลยศึกครั้งนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

ความจริงแล้วพวกเราเคยถูกพวกเยอรมันหลอกลวงมาหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่ยอมเข็ดหลาบยังพร้อมที่จะเชื่อคารมของพวกเยอรมันอยู่เหมือนเดิม

ส่วนดิฉันนั้นย้อนระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่พวกเยอรมันเคยหลอกให้นักโทษเขียนไปรษณียบัตรซึ่งเท่ากับเป็นการแจ้งชื่อและที่อยู่ของบุคคลผู้โชคร้ายที่จะเป็นผู้ถูกเนรเทศคนต่อไป

ดังนั้นดิฉันจึงระแวงว่าครั้งนี้ก็คงจะเป็นในทำนองเดียวกันอีกเป็นแน่แต่นักโทษคนอื่นๆต่างพากันหลงเชื่อพวกเยอรมันอย่างสนิทใจแม้กระทั่งพวกหัวหน้าคุกต่างๆด้วย

อีก 2-3 สัปดาห์ต่อมาพวกที่แจ้งว่ามีญาติในอเมริกาเหล่านี้ถูกนำตัวมารวมกัน ได้รับแจกเสื้อผ้าชุดใหม่และต่อมาก็ถูกนำตัวไปที่สถานีรถไฟ รอคอยอยู่นานจนกว่ารถไฟจะเคลื่อนขบวนออกจากสถานี แม้ว่าจะรอคอยอยู่นานแต่ทุกคนก็แสดงความดีอกดีใจที่จะได้ออกไปจากค่ายนรกแห่งนี้เสียที

มีข่าวแพร่สะพัดไปทั่วค่ายว่า”พวกมีญาติเป็นอเมริกันกำลังจะเดินทางออกจากสถานีรถไฟ” นักโทษต่างพากันไปออกันอยู่ที่รั้วค่ายเพื่อมองดู

เหตุการณ์ครั้งนี้ดูเหมือนพวกเยอรมันจะแสร้งทำใจดีเป็นพิเศษโดยได้แจกเสื้อคลุมกันหนาว ถุงมือและรองเท้าแก่นักโทษเหล่านี้ด้วย

ในขณะที่ขบวนรถไฟค่อยๆเคลื่อนออกจากสถานีไปนั้น พวกเขาได้โบกมืออำลา ทำให้พวกเรามองเห็นถุงมือที่สวมใส่กันอยู่นั้น บางคนก็ดีอกดีใจถึงกับยกเท้าที่สวมรองเท้าคู่ใหม่ขึ้นมาให้พวกเราดูและที่แปลกประหลาดมากก็คือ พวกเยอรมันไม่ได้มาขับไล่การยืนมุงดูของพวกเราในครั้งนี้เหมือนครั้งก่อนๆที่ผ่านมา

“นี่ถ้าเราเป็นหนึ่งในนักโทษที่โชคดีเหล่านั้นก็คงวิเศษไม่น้อยเลยนะ” นักโทษหลายคนคิดแล้วถอนหายใจ ขณะเดินคอตกกลับเข้าคุกด้วยความอิจฉาในความโชคดีของพวกที่มีญาติในอเมริกา

เมื่อถึงเวลารับแจกอาหารประจำวัน นักโทษก็ไม่แย่งอาหารกันเหมือนอย่างเคย  ทำให้หัวหน้าคุกเกิดความสงสัยเมื่อเห็นนักโทษนั่งรับประทานน้ำซุปกันอย่างเงียบเชียบอย่างผิดปกติ เพราะต่างคนก็กำลังคิดน้อยใจในวาสนาที่ไม่มีโอกาสได้เป็นนักโทษที่มีโขคดีกับเขาบ้าง

อีก 2-3 สัปดาห์ต่อมาสมาชิกของขบบวนการใต้ดินกลุ่มนายแพทย์ปัสเช่ได้เล่าให้ฟังว่า”พวกนักโทษที่มีญาติในอเมริกา”เหล่านั้นถูกนำตัวไปอยู่ที่ค่ายแห่งหนึ่งไม่ไกลจากค่ายของพวกเรามากนักโยพวกเยอรมันหลอก”ให้คอยอยู่นั่นเพื่อรอการเดินทางครั้งสุดท้า”

ในที่สุดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น เสื้อผ้าและรองเท้าที่นักโทษพวกนั้นสวมใส่ในวันเดินทางก็ถูกส่งกลับมาเข้าคลังเสื้อผ้าของค่ายอย่างเดิม นั่นก็หมายถึงว่าพวกนักโทษที่ถูกหลอกไปนั้นได้กลายเป็นผู้เคราะห์ร้ายถูกนำไปสังหารหมู่เรียบร้อยแล้ว

หลังจากพวกนักโทษเคราะห์ร้ายออกเดินทางไปแล้ว 2-3 วันก็ได้รู้มาว่านักโทษชาวอเมริกันผู้หนึ่งอยู่ในคุกหมายเลขที่ 28 โดยรู้เรื่องราวของเขาจากนักโทษชายคนหนึ่งที่เข้ามาทำงานอยู่ในค่ายของพวกเราอยู่เป็นประจำ

นักโทษชาวอเมริกันผู้นี้มีชื่อว่า ดร.อัลเบิร์ต เวนเจอร์ เป็นนักกฎหมายและนักศาสตร์อยู่ที่กรุงเวียนนาในช่วงที่ฮิตเลอร์ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกา

สถานกงสุลสหรัฐอเมริกาประจำกรุงเวียนนาพยายามจะส่งตัวเขากลับประเทศสหรัฐอเมริกา โดยจะให้เดินทางผ่านประเทศสวิตเซอร์แลนด์แต่ไม่สำเร็จ เพราะเยอรมันตั้งข้อหา ดร.เวนเจอร์ว่าประกอบอาชญากรรมร้ายแรงคือให้ที่พักพิงแก่หญิงยิวคนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เขาจึงถูกจับกุมส่งมาอยู่ที่ค่ายเอาส์ชวิตซ์-เบอร์เคเนา

ดิฉันได้พยายามติดต่อกับคนอเมริกันอื่นๆที่ถูกนำตัวมากักกันในค่ายแห่งนี้แต่ไม่สำเร็จ

หลังจากค่ายนรกแห่งนี้ได้รับการปลดปล่อยเรียบร้อยแล้ว ดิฉันได้เห็นถ้อยแถลงเป็นทางการที่ ดร.เวนเจอร์แถลงต่อผู้แทนของกองทัพปลดปล่อยฝ่ายสัมพันธมิตร จึงใคร่ขอคัดข้อความบางตอนของถ้อยแถลงดังกล่าวมาเสนอให้คนอเมริกันได้รู้ว่าเพื่อนร่วมชาติของพวกเขาได้รับการปฏิบัติอย่างไรบ้างในขณะที่ถูกกักกันตัวอยู่ในค่ายนรกแห่งนี้

“หลังจากฮิตเลอร์ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาแล้ว ข้าพเจ้าต้องไปรายงานตัวต่อข้าหลวงเยอรมันในกรุงเวียนนาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ในฐานะที่เป็นชนชาติศัตรู สถานกงสุลสวิสได้ยื่นข้อเสนอให้มีการแลกเปลี่ยนตัวข้าพเจ้ากับคนเยอรมันที่ถูกกักตัวอยู่ในสหรัฐอเมริกา และเตรียมให้ข้าพเจ้าเดินทางกลับสหรัฐอเมริกาผ่านทางประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศเป็นกลางในสงคราม แต่ต่อมาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1943 ข้าพเจ้าถูกเจ้าหน้าที่หน่วยเกสตาโปของเยอรมันจับกุมตัวในข้อหาให้ที่พักพิงแก่หญิงยิวคนหนึ่งโยไม่แจ้งในทางการเยอรมันทราย แล้วข้าพเจ้ากฌถูกส่งตัวมายังค่ายกักกันนักโทษที่เอาส์ชวิตซ์ในฐานะผู้ถูกนรเทศ ข้าพเจ้าเดินทางมาถึงค่ายเอาส์ชวิตซ์ในวันที่ 6 มีนาคมปีเดียวกันในสภาพร่างกายสกปรกหิวโหยภายลังจากถูกจับไว้ที่สถานีตำรวจและถูกคุมขังไว้ในคุกหลายแห่งเป็นเวลานาน

“ในค่ายเอาส์ชวิตซ์มีสภาพอากาศหนาวเย็นและชื้น พวกเยอรมันต้อนรับข้าพเจ้าโดยการนำไปไว้ในซอกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ระหว่างคุก 2 คุก ให้ข้าพเจ้าเปลือยกายเข้าไปอาบน้ำเย็น หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ถูกบังคับให้สวมเสื้อผ้าชุดฤดูร้อนบางๆแล้วถูกนำตัวไปขังไว้ในคุกชาย ภายในคุกนักโทษถูกทรมานถูกเฆี่ยนตีอยู่ตลอดเวลาและจะไม่ได้รับอนุญาตเข้าไปใช้ห้องสุขานอกเวลาที่เขากำหนดไว้ ครั้นถูกจับได้จะถูกตีด้วยกระบองยางแข็ง

“พวกเรานอนรวมกัน 4 คน บนเตียงเล็กๆซึ่งมีความกว้างเพียง 75 เซนติเมตร ชีวิตของพวกเราได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ทั้งในตอนกลางวันและในตอนกลางคืน ต่อมาเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ข้าพเจ้าล้มป่วยด้วยโรคเจ็บคอและปอดอักเสบ ถูกนำตัวไปรักษาในสถานพยาบาลในคุกหมายเลข 28 เมื่อวันที่ 24 มีนาคม

“หลังจากหายป่วยแล้ว ข้าพเจ้าได้ทำงานครั้งแรกเป็นบุรุษพยาบาล ต่อมาได้เป็นเสมียนประจำคุก และในที่สุดก็ได้เป็นผู้ตรวจตราคุก อาหารในคุกมักจะเป็นน้ำต้มผักและมันฝรั่งเหี่ยวๆ ด้วยเหจุนี้นักโทษส่วนใหญ่จึงเป็นโรคขาดอาหาร กะปลกกะเปลี้ย มีสภาพร่างกายผ่ายผอมโซเหมือนโครงกระดูกเดินได้เมื่อเจ็บป่วยจะถูกนำตัวไปเข้าโรงพยาบาล โรคส่วนใหฯที่นักโทษเป็นกัน ได้แก่ โรคท้องร่วง และโรค)อดอักเสบ เป็นต้น

“นายแพทย์เอนเดรสส์ แพทย์ประจำค่าย จะเข้ามาในคุกทกๆ 3 สัปดาห์ เพื่อมาคัดเลือกผู้ที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาพวกโครงกระดูกเดินได้เหล่านี้ไปสังหาร ในวันรุ่งขึ้นเมื่อรถบรรทุกเปิดหลังคาเดินทางมาถึง ผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้ซึ่งแต่ละคนสวมเฉาะเสื้อตัวเดียวเท่านั้น ก็จะถูกนำตัวเหวี่ยงขึ้นรถบรรทุก ไม่ผิดอะไรกับสัตว์ที่กำลังจะถูกนำไปยังรงฆ่า พวกนักโทษเหล่านี้ถูกนำตัวไปยังค่ายเบอร์เคเนาเพื่อสังหารในห้องรมก๊าซพิษ และหลังจากนั้นก็จะนำไปเผาเตา

“ข้าพเจ้าสามารถยืนยันด้วยความมั่นใจว่า นักโทษเหล่านี้ถูกนำตัวไปสังหารจริง โดยมีข้อพิจารณาดังต่อไปนี้
1.สังเกตจากเสื้อผ้าของนักโทษ กล่าวคือ ในวันรุ่งขึ้นเสื้อผ้าของนักโทษประหารเหล่านี้จะถูกส่งกลับมายังค่ายเอาส์ชวิตซ์เพื่อนำมาซักล้างและฆ่าเชื้อโรคต่อไป จากข้อนี้แสดงว่านักโทษถูกนำตัวไปสังหารจริง ในกรณีที่พวกเยอรมันนำนักโทษขึ้นรถไฟไปเป็นปกติและมิได้นำตัวไปสังหาร ก็จะไม่มีการส่งเสื้อผ้ากลับคืนมา แต่ในกรณีส่งเสื้อผ้ากลับมานั้นแสดงว่า ทางเจ้าหน้าประจำค่ายได้ถอดชุดชั้นในและเสื้อผ้าของนักโทษถูกสังหารเหล่านั้นส่งกลับคืนมาเก็บไว้ 2.นักโทษที่ถูกนำตัวขึ้นรถบรรทุกไปนั้นต้องถูกสังหารอย่างแน่นอน เพราะข้าพเจ้าเคยเห็นบัญชีนักโทษในสำนักงานซึ่งพอถึงวันที่ 5 หรือ 6ภายหลังจากนำตัวนักโทษไปแล้วนั้น ในบัญชีตรงหมายเลขและชื่อของนักโทษเหล่านั้นจะถูกขีดฆ่าและเขียนคำว่า”ตาย” ตามปกติแล้วการนำตัวผู้ถูกเนรเทศที่มีร่างกายอ่อนแอไม่พึงปรารถนาไปสังหารในห้องรมก๊าซพิษเป็นเรื่องที่ใครๆก็ทราบกันทั้งนั้น หาได้เป็นความลับแต่อย่างใดไม่ ทั้งนี้เพราะผู้ถูกเนรเทศเป็นจำนวนมากที่ประจำอยู่ในหน่วยเผาศพไม่ได้เก็ยเรื่องนี้เป็นความลับ แต่จะนำมาบอกเล่าแก่ผู้ถูกเนรเทศอื่นๆฟังอยู่ตลอดเวลา บรรดาผู้ถูกเนรเทศเมื่อได้ฟังเรื่องนี้ต่างพากันตื่นตระหนก ถึงกับวันหนึ่งนายโฮสเลอร์ผู้บัญชาการค่ายต้องเรียกประชุมที่คุกหมายเลขที่ 28 ในค่ายเอาส์วิตซ์ แล้วแจ้งให้หายตื่นตระหนกโดยกล่าวว่า จะไม่มีการนำผู้ถูกเนรเทศไปสังหารในห้องรมก๊าซพิษอีกต่อไป นายเฮสเลอร์เรียกประขุมนักโทษครั้งนี้ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1945และจากคำพูดของเขาแสดงว่า ก่อนหน้านี้มีการนำนักโทษไปสังหารในห้องรมก๊าซพิษจริง

“ก่อนเดือนเมษายน ค.ศ. 1943 นักโทษทุกประเภทจะถูกนำไปสังหารในห้องรมก๊าซพิษ แต่หลังเดือนเมษายน ค.ศ. 1943 เฉพาะพวกยิวและพวกยิปซีเท่านั้นที่ถูกนำตัวไปสังหารในห้องรมก๊าซพิษ ส่วนนักโทษที่ไม่ใช่ชาวยิวจะถูกนำตัวไปสังหารในคุกหมายเลข 11 หรือไม่ก็สังหารด้วยวิธีฉีดยาพิษเข้าหัวใจ ผู้ที่ทำหน้าที่อำนวยการในการฉีดยาพิษ  ได้แก่ นายแคลเรอร์ นายเอนเดล และนายนิโควิตสกี โดยร่วมกับนักโทษชายอีก 2 คน คือ นายโอสนิก และ นายสเตสเซล โดยทั้งสองคนหลังนี้จะนำนักโทษไปฉีดยาพิษทุกครั้ง

“ในบรรดาผู้ถูกเนรเทศที่ถูกนำตัวไปสังหารในห้องรมก๊าซพิษ มีนายโยเซฟ อีรัตช์ ซึ่งเป็นนักโทษประเทศ”ที่ได้รับการคุ้มครอง”จากกรุงเวียนนารวมอยู่ด้วย ทั้งนี้อาจจะกระทำโดยความพลั้งเผลอก็ได้ เพราะตามแนวปฏิบัติทั่วๆไป ผู้ต้องเนรเทศประเภทได้รับการคุ้มครองจะไม่ถูกนำตัวไปสังหารในห้องรมก๊าซพิษ

“ผู้ที่เดินทางไปค่ายเอาส์ชวิตซ์พร้อมกับข้าพเจ้ามีจำนวน 250 คน เป็นนักโทษที่ได้รับความคุมครองทั้งสิ้น ในจำนวนนี้ถูกนำตัวไปสังหารในห้องก๊าซพิษ 4 คน ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1944 คนสัญชาติอเมริกันคนหนึ่งชื่อนายเฮอร์เบิร์ต โกฮัน ถูกนำตัวไปสังหารโดยวิธีนี้ ข้าพเจ้าเคยช่วยเขาไม่ให้ถูกคัดเลือกตัวไปสังหาร 2-3 ครั้งแต่ต่อมาเขาถูกย้ายไปอยู่คุกอีกแห่งหนึ่ง และต้องประสบกับเคราะห์กรรมดังกล่าว นายเฮอร์เบิร์ตผู้นี้ ถูกเจ้าหน้าที่หน่วยเกสตาโปจับในระหว่างที่เยอรมันบุปฝรั่งเศสและถูกส่งตัวมาอยู่ในค่ายเอาส์ชวิตซ์ในฐานะเป็นคนยิว ชาวอเมริกันอีกผู้หนึ่งที่ถูกจับตัวไปเข้าห้องรมก๊าซพิษ ได้แก่ ยายไมเออร์ จากมลรัฐนิวยอร์ก อยู่คนละคุกกับข้าพเจ้าอและยังมีชาวอเมริกันอีกมากมายที่ถูกสังหารโดยวิธีนี้ แต่ข้าพเจ้าจำชื่อของพวกเขาไม่ได้

“ในฤดูใบไม่วง ค.ศ. 1943 นักโทษชาวเยอรมันประเภทได้รับความคุ้มครอง ชื่อ วิลลี กรีตซ์ เป็นวิศวกรวัย 28 ปี ถูกเจ้าหน้าที่ค่ายชื่อ นายวิโควิตสกี ซึ่งเป็นซาดิตส์ตีด้วยไม้ตะพดล้มลงกับพื้นแต่ยังไม่ถึงกับตาย เสร็จแล้วนายนโควิตสกีได้ออกคำสั่งให้นำนักโทษผู้นี้ไปเข้าห้องผ่าตัด แล้วเขาก็ฉีดยาพิษสังหารด้วยน้ำมือของเขาเอง และแทงไว้ในบัญชีว่าตายเนื่องจาก”หัวใจล้มเหลว”

“ในทุกๆ 2-3 เดือนจะมีการนำนักโทษไปยิงเป้าที่กำแพงดำในคุกหมายเลข 11 ในระหว่างที่ทำการยิงเป้านักโทษอยู่นั้น คุกจะปิดไม่ยอมให้ผู้ใดผ่านเข้าไปในบริเวณด้านหน้า ยกเว้นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ขณะนั้นเป็นช่วงปลายปี ค.ศ. 1943 กำลังย่างเข้าสู่ต้นปี ค.ศ. 1944 ข้าพเจ้ายังเป็นบุรุษพยาบาลอยู่ จึงมีโอกาสได้เห็นพวกบุรุษพยาบาลด้วยกันขนศพของนักโทษที่ถูกยิงเป้าขึ้นรถบรรทุกขนาดใหญ่ ศพเหล่านี้มีทั้งหญิง และชายซึ่งอยู่ในสภาพเปลือยกาย มีรถบรรทุกมาขนศพเหล่านี้คันแล้วคันเล่ากว่าจะคนหมดก็หลาย 10 คัน ตามรายทางระหว่างคุกหมายเลข 10 กับคุกหมายเลข 11 ที่รถบรรทุกศพเหล่านี้แลนไป มีหยดเลือดแดงฉานเป็นทางยาวปรากฏอยู่ทั่วไป นักโทษที่อยู่ในหน่วยฆ่าเชื้อโรคและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลต้องนำทรายและชี้เถ้ามาเทกลบหยดเลือด

“ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1944 นายเบิร์ตโฮลด์ สตอร์เฟอร์ อดีตที่ปรึกษาทางด้านการพาณิชย์จากกรุงเวียนนา ถูกเรียกตัวไปที่คุกหมายเลข 11 แล้วไม่ได้กลับมาอีกเลย อีก 2-3 วันต่อมาข้าพเจ้าได้ทราบชะตากรรมของบุคคลผู้นี้จากเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ในสำนักงาน โยเจ้าหน้าที่ผู้นี้นำทะบียนประวัติมาให้ข้าพเจ้าดู ปรากฏว่าเขาแทงไว้ที่ทะเบียนประวัตินายเบิร์ตโฮลด์ว่า “ตาย” นายแพทย์ซามวล จากเมืองโคโลญจ์ ประเทศเยอรมัน ก็เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ถูกนำตัวไปยิงเป้าในทำนองเดียวกับนายเบิร์ตโฮลด์ คนทั้งสองถูกนำตัวไปสังหารเพราะทำตัวเป็ฯผู้สอดรู้สอดเห็นการกระทำของเจ้าหน้าที่เยอรมันมากเกินไป ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1943 ข้าพเจ้าพ้อมกับบุคคลต่อไปนี้ คือ นายโยเซฟ ริตต์เนอร์ พนักงานขับรถจักรจากประเทศออสเตรีย นายแพทย์อาร์วิน วาเลนทิน ศัลยแพทย์จากเบอร์ลิน นายแพทย์มาซูร์ สัตวแพทย์จากเบอร์ลิน ถูกนายแพทย์ริตเตอร์ วอน เบิร์ส เจ้าหน้าที่ประจำค่ายกล่าวหาว่าเป็นพวกต่อต้านรัฐบาลเยอรมัน กับอีกข้อหาหนึ่งคือ เรียกเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสว่าเป็นพวกฆาตกร และเรียกฮิตเลอร์ว่า ฮิมเลอร์ ซึ่งมีความหมายว่า จอมฆาตกรทำลายล้างมนุษย์

“ยิ่งไปกว่านั้นพวกเรา 4 คน ยังถูกกล่าวหาว่าเป็นคนพูดว่าเยอรมันจะแพ้สงคราม การที่พวกเราไม่ถูกนำตัวไปยิงเป้านั้น ก็เพราะนายโวลกินสกีเป็นทนายแก้ต่างให้ โยเขาได้ทำหน้าที่ชี้แจงกับนายแพทย์ริตเตอร์ วอน เบิรส ว่าพวกเราเป็นนักเผชิญโชค ไม่น่าจะมีพฤติกรรมต่อต้านรัฐบาลเยอรมัน ข้อกล่าวหานั้นจึงฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตาม กว่าเรื่องจะยุติลงได้ข้าพเจ้าถูกหัวหน้าหน่วยเอสเอสชื่อเลมันน์ ซ้อมอยู่ตั้งหลายครั้งเพื่อให้ยอมรับสารภาพ

“ก่อนที่กองทัพแดงของสหภาพโซเวียตจะเข้ามาปลดปล่อยให้พวกเราได้รับอิสรภาพเพียงเล็กน้อย หัวหน้าหน่วยเอสเอสคนใหม่ชื่อนายกรอส ได้ซ้อมผู้ถูกเนรเทศ 2 คนโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ หนึ่งในสองของผู้ถูกซ้อมครั้งนี้ คือ นายแพทย์อาเคอร์มันน์ จากประเทศเนเธอร์แลนด์ ในวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1945 เจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสพยายามที่จะบังคับพวกเราให้ออกจากค่ายเพื่อนำตัวไปกำจัด แต่เพราะกองทัพแดงเข้ามาปลดปล่อยก่อน จึงทำให้พวกเราสามารถรอดชีวิตมาได้”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น