มีปัญหาหนักอกอีกอย่างหนึ่งยากต่อการตัดสินใจเป็นอย่างยิ่งซึ่งมันเกิดขึ้นในขณะที่เราทำงานอยู่ในโรงพยาบาล
นั้นก็คือการทำคลอด
เพราะพวกเยอรมันมีนโยบายเด็ดขาดไม่ผ่อนปรนว่า
ในทันทีที่มีทารกคลอดในโรงพยาบาลทั้งมารดาและทารกจะต้องถูกส่งตัวไปสังหารในห้องรมก๊าซพิษทั้งคู่
เฉพาะในกรณีที่ทารกเกิดมาไม่แข็งแรงและตายในเวลาต่อมา
หรือในกรณีที่ทารกสิ้นใจตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ทั้ง 2 กรณีนี้เท่านั้นที่ผู้เป็นมารดาจะรอดชีวิตได้กลับไปอยู่ในคุกได้ตามเดิม
นโยบายเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเยอรมันไม่ต้องการให้ทารกเกิดใหม่รอดชีวิต
ทารกคนใดคลอดออกมาแล้วยังมีชีวิตก็จะถูกนำตัวไปสังหารพร้อมกับมารดา
เราทั้ง 5 คนเป็นผู้รับผิดชอบในการทำคลอด แต่พอรุ่งเช้าทารกทุกคนที่ผ่านการทำคลอดมากับมือก็จะพบกับความตายพร้อมกับผู้ที่เป็นมารดา
เราต่างหดหู่ใจกีบการกระทำที่แสนจะป่าเถื่อนไร้มนุษยธรรมเช่นนี้มาก
มันเป็นการกระทำที่ขัดกับความรู้สึกของเราที่เป็นแพทย์
ในคืนใดที่ทำคลอดเราก็จะวิตกถึงชะตากรรมของผู้ที่เรากำลังทำคลอดอยู่นั้นทั้งผู้ที่เป็นมารดาและทารก
เพราะต่างรู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้นในยามเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
บางทีเราคิดมากจนนอนไม่หลับทั้งคืน
ทั้งมารดาและทารกคนแล้วคนเล่าถูกนำไปสังหารโดยที่เราไม่สามารถช่วยอะไรไว้ได้
อยู่มาวันหนึ่งเราก็สุดที่จะทนเห็นความตายของผู้เป็นมารดาและทารกเป็นจำนวนมากได้อีกต่อไป
จึงได้ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะช่วยชีวิตของหญิงมีครรภ์คนหนึ่งไว้
แต่ก็จะต้องวางแผนช่วยเหลือที่แนบเนียน โดยทำให้เหมือนกับว่าทารกสิ้นใจตั้งแต่อยู่ในครรภ์
ซึ่งแผนการดังกล่าวนี้จะต้องใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ
เพื่อไม่ให้พวกเยอรมันเกิดความสงสัยหรือจับได้
มิฉะนั้นเราเองนั่นแหละที่จะถูกจับส่งไปสังหารในห้องรมก๊าซพิษแทน
หรือโทษสถานเบาหน่อยก็อาจจะถูกนำตัวไปขังในห้องทรมานนักโทษ
ในเวลากลางวันเมื่อมีผู้มาแจ้งว่าในค่ายกำลังมีคนปวดท้องคลอด
เราก็จะไม่นำผู้ป่วยนี้มาโรงพยาบาลแต่จะให้นอนบนผ้าห่มที่ชั้นล่างสุดของกรงขังในคุก
แล้วทำคลอดให้ตรงนั้นเองท่ามกลางสายตาของพวกนักโทษหญิงอื่นๆ
หลังจากนั้นก็นำทารกใส่กล่องกลับมายังโรงพยาบาล
แต่ถ้ามีการเจ็บท้องคลอดในตอนกลางคืนก็จะไปนำผู้ป่วยมาทำคลอดที่โรงพยาบาล
เพราะในเวลากลางคืนเราสามารถทำอะไรตามแผนได้โดยไม่มีใครสงสัย
การทำคลอดในคุกก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการทำคลอดที่โรงบยาบาลมากนัก
เราไม่มีเครื่องไม้เครื่องมืออะไร ไม่มีกระทั่งยาป้องกันการติดเชื้อเหมือนๆกัน
จะผิดกันแต่เพียงว่าในคุกไม่มีเตียงตรวจโรคเหมือนที่โรงพยาบาลเท่านั้นเอง
สภาพการทำคลอดในคุกก็แย่พอๆกับการทำคลอดในโรงพยาบาล เพราะที่โรงพยาบาลเราไม่ได้มีห้องคลอดเป็นพิเศษ
ห้องคลอดก็คือห้องเดียวกับที่ใช้รักษาผู้ป่วยทั่วไปนั่นเอง
ทารกทุกคนที่เกิดมาไม่ว่าจะคลอดที่ใด
ก็จะพบกับจุดจบแห่งชีวิตเช่นเดียวกันหมด
คือในช่วงวินาทีแรกที่ทารกโผล่ศีรษะพ้นช่องคลอดออกมา
เราก็จะรีบเอามือหนึ่งช้อนศีรษะไว้อีกมือหนึ่งบีบจมูกทันที
พอทารกทำท่าอ้าปากจะสูดลมหายใจครั้งแรก
เราก็รีบยัดยาพิษลงในปากน้อยๆของทารกนั้น
ความจริงแล้วการฉีดยาพิษได้ผลเร็วกว่ายาเม็ดแต่ทำเช่นนั้นไม่ได้เลย
เพราะการฉีดยาจะทิ้งร่องรอยให้พวกเยอรมันสงสัยและจับได้
สำหรับในกรณีที่คลอดกันในคุกเราจะนำเด็กที่ตายด้วยยาพิษใส่กล่องเดิมไปให้ผู้เป็นมารดาเพื่อเป็นข้ออ้างว่าทารกนั้นตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์
โยวิธีนี้เธอก็จะรอดตายไม่ถูกนำไปสังหาร
ถ้าจะว่ากันไปแล้วพวกเยอรมันนั่นเองเป็นผู้บีบบังคับให้เราเป็นฆาตกรสังหารทารก
จนทุกวันนี้ภาพทารกที่เราฆ่าตายยังมาวนเวียนหลอกหลอนเราอยู่เสมอ
ในขณะที่พวกเด็กอื่นๆต้องเสียชีวิตในห้องรมก๊าซพิษและถูกนำไปเผาในเตาเผาศพด้วยน้ำมือของคนอื่น
แต่เราเองก็เป็นผู้สังหารเด็กอีกจำนวนหนึ่งก่อนที่เขาจะลืมตาออกมาดูโลกภายนอกด้วยน้ำมือของเราเอง
เมื่อมานั่งนึกทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็ให้รู้สึกสงสารและเสียดายชีวิตของทารกน้อยๆเหล่านี้มาก
พวกเขาน่าจะมีโอกาสเจริญเติบโตเพื่อทำคุณประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นได้
หากปล่อยให้พวกเขามีชีวิตอยู่ต่อไป
บางคนอาจเป็นอัจฉริยะมีปัญญาเฉลียวฉลาดและมีความสามารถมากๆ อย่างเช่น หลุยส์
ปาสเตอร์ โมสาร์ต ไอน์สไตน์ ฯลฯ บ้างก็ได้
จริงอยู่ทารกเหล่านั้นเมื่อปล่อยให้มีอยู่ต่อไปก็ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากในค่ายอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่าเรามีสิทธิ์อะไรที่จะไปทำลายชีวิตของพวกเขา
มันเป็นบาปกรรมอย่างมหันต์ที่เราจงใจกระทำ
มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นที่เราพอจะนำมาอ้างได้ นั่นคือ สังหารเด็กเหล่านั้นเพื่อช่วยชีวิตมารดาเอาไว้
ซึ่งหากปราศจากความช่วยเหลือจากเราแล้วก็เป็นที่แน่นอนว่าบรรดามารดาก็จะต้องประสบกับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสเพราะจะถูกนำตัวไปสังหารในห้องรมก๊าซพิษหรือถูกเผาในเตาเผาศพทั้งเป็น
ดิฉันเพียรพยายามที่จะคิดหาเหตุผลมาอ้างกับตัวเองว่าที่ทำไปเช่นนั้นไม่ผิด
แต่เหตุผลนี้ก็ฟังไม่ขึ้นอีก
จนกระทั่งทุกวันนี้ดิฉันหลับตามองเห็นภาพของทารกที่คลอดออกมาจากครรภ์มารดาและก็ยังรู้สึกถึงไออุ่นจากตัวทารกที่ดิฉันสัมผัสตอนอุ้มพวกเขาขึ้นมา
เพราะพวกนาซีหฤโหดนั่นแท้ๆที่ทำให้ดิฉันฆ่าพวกเขาได้ลงคอ
ตามปกติแล้วพวกเยอรมันจะไม่รอจนกระทั่งให้มีการคลอดเกิดขึ้นในค่ายเอาส์ชวิตซ์แต่เขาจะดำเนินการทุกอย่างเพื่อค้นหาตัวผู้หญิงมีครรภ์แล้วนำไปสังหารในห้องรมก๊าซพิษเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
โดยทั่วๆไปหญิงมีครรภ์ชาวยิวซึ่งเดินทางมากับขบวนรถไฟแต่ละขบวน
จะถูกคัดเลือกให้ไปอยู่ทางซ้ายเมื่อมาถึงที่สถานีรถไฟในวันแรก
แต่ก็มีหญิงตั้งครรภ์จำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ถูกคัดเลือกให้ไปอยู่ทางซ้าย
เนื่องจากมองไม่ออกว่าเป็นหญิงตั้งครรภ์
เพราะตามปกติเชลยหญิงที่ถูกเนรเทศมาเกือบทุกคนใช้วิธีขนเสื้อผ้าของตนมาโดยวิธีสวมซ้อนกันหลายๆชั้น จึงทำให้ยากต่อการคะเนด้วยสายตาว่าหญิงใดมีครรภ์หรือไม่มีครรภ์
ซึ่งจะแยกออกก็ต่อเมื่อให้เปลื้องเครื่องแต่งกายออกหมดเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นเข้าหน้าที่เยอรมันก็ไม่มีทางรู้ได้เลยในกรณีที่หญิงนั้นเพิ่งตั้งครรภ์ในระยะเริ่มแรก
แม้แต่ในค่ายก็เป็นการยากที่จะมองออกว่านักโทษหญิงคนใดมีครรภ์หรือไม่
ทั้งนี้เพราะเป็นที่รู้กันในค่ายว่าการตั้งครรภ์เป็นภัยอย่างร้ายแรงต่อตนเอง
ดังนั้นผู้มีครรภ์ทั้งหลายจะพยายามปกปิดจนสุดความสามารถ
ซึ่งก็มักจะได้ความร่วมมือเป็นอย่างดีจากเพื่อนนักโทษด้วยกัน
บางกรณีแทบไม่น่าชื่อว่าสามารถปกปิดการตั้งครรภ์ได้โยไม่ให้ผู้อื่นรู้จนกระทั่งวินาทีสุดท้ายจึงช่วยกันทำคลอดอย่างลับๆในคุก
ในชั่วชีวิตนี้ดิฉันไม่มีวันลืมเหตุการณ์ของเช้าวันหนึ่งเป็นช่วงที่เรากำลังเข้าแถวรอเรียกชื่อ
ท่ามกลางความเงียบสงบนักโทษหลายพันคน
พลันก็มีเสียงร้องเจ็บท้องของนักโทษหญิงคนหนึ่งดังขึ้นมาทำลายความเงียบ
เธอเกิดเจ็บท้องจะคลอดลูกขึ้นมาในทันทีโดยมิได้คาดการณ์ล่วงหน้ามาก่อน
ดิฉันคงไม่ต้องบรรยายนะคะว่าอะไรเกิดขึ้นกับเธอหลังจากนั้น
เวลาผ่านไปไม่นานพวกเยอรมันก็เริ่มสงสัยว่าทำไมจำนวนหญิงมีครรภ์ที่ร่วมเดินทางมาในขบวนรถไฟจึงมีจำนวนลดน้อยผิดปกติอย่างไม่น่าเชื่อ
พวกเขาจึงดำเนินมาตรการตรวจค้นเคร่งครัดยิ่งขึ้น
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้มีครรภ์เล็ดรอดมาอยู่ในค่ายได้อยู่ดี
แพทย์ประจำคุกจะได้รับคำสั่งให้รายงานในทันทีเมื่อพบนักโทษหญิงมีครรภ์
อย่างไรก็ตามดิฉันเห็นอยู่เสมอว่ามีแพทย์ละเมิดคำสั่งโดยรายงานไปว่าไม่มีผู้ใดตั้งครรภ์ทั้งๆที่รู้เป็นอย่างดีว่าใครบ้างที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ในขณะนั้น
แพทย์หญิง จี.ก็เป็นคนหนึ่งที่เคยถูกนายแพทย์เมงเกเล
ผู้อำนวยการแพทย์ประจำค่ายเรียกไปพบในฐานที่รายงานเท็จเกี่ยวกับหญิงมีครรภ์
ต่อมาโรงพยาบาลประจำค่ายหายาได้ชนิดหนึ่งซึ่งเมื่อฉีดยานี้เข้าไปแล้วทำให้แท้งได้
หลังจากนั้นบรรดาแพทย์ก็จะทำแท้งโดยวิธีนี้ให้กับหญิงที่รู้ว่ามรครรภ์
แม้ว่าการทำแท้งจะมีอันตรายอยู่บ้างแต่ก็ยังเสี่ยงน้อยกว่าปล่อยให้มีครรภ์อยู่ต่อไป
เมื่อสถิติของผู้มีครรภ์ลดลงอย่างไม่น่าเชื่อเช่นนี้
พวกเยอรมันซึ่งต้องการทำลายหญิงมีครรภ์ให้สิ้นซาก
จึงหันไปใช้อุบายอย่างที่เคยกระทำมาแล้ว โดยใช้วิธีการประกาศว่าหญิงมีครรภ์ไม่ว่าจะเป็นใครแม้แต่หญิงชาวยิวจะได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ
คือจะได้รับแจกขนมปังและน้ำซุปมากยิ่งขึ้น
จะได้รับอนุญาตให้นอกในคุกซึ่งจัดไว้เป็นพิเศษและสุดท้ายได้ให้สัญญาว่า
หญิงมีครรภ์เหล่านี้จะถูกย้ายไปยังโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่งในทันทีที่ครบกำหนดวันคลอด
“ค่ายกักกันไม่เหมาะที่จะเป็นที่อยู่ของผู้หญิงที่จะมีบุตร”
นายแพทย์เมงเกเลประกาศ
ซึ่งคำพูดของนายแพทย์ผู้นี้ทำให้นักโทษหญิงที่ตั้งครรภ์ตกหลุมพรางอย่างง่ายดาย
ทำไมทุกคนจึงยอมเชื่อคำพูดทุกอย่างของชาวเยอรมัน? คำตอบก็คือ
ประการแรกเพราะทุกคนไม่เคยเห็นภาพอันโหดร้ายทารุณในห้องรมก๊าซพิษ
เพราะผู้ประสบเคราะห์กรรมเหล่านั้นไม่มีโอกาสรอดกลับมาเล่าความจริงแก่ผู้ที่ยังอยู่ในค่าย
ประการที่สองเพราะไม่มีใครคาดคิดถึงนโยบายหลักที่พวกเยอรมันต้องการสังหารมนุษยชาติที่ไม่พึงประสงค์
ซึ่งวางไว้อย่างแนบเนียนเพื่อหวังจะครอบครองโลกในที่สุด
นายแพทย์เมงเกเลมักถือโอกาสซักถามนักโทษหญิงด้วยคำถามที่ไม่เหมาะสม
แล้วส่งเสียงหัวเราะชอบใจเมื่อรู้ว่านักโทษหญิงตั้งครรภ์ทั้งๆที่จากสามีมาอยู่ในค่ายเป็นเวลานานหลายเดือนแล้ว
แสดงว่าเธอไม่ได้ตั้งครรภ์กับสามีแต่ตั้งครรภ์กับนักโทษชายคนใดคนหนึ่งในค่าย
นายแพทย์เมงเกเลได้เคยตามล่าหญิงสาววัย 15
ปีคนหนึ่งเพราะจับได้ว่าเธอตั้งครรภ์หลังจากได้เข้ามาอยู่ในค่ายแห่งนี้แล้ว
ซึ่งแสดงว่าต้องลักลอบได้เสียกับนักโทษในค่ายนี้เช่นกัน
เขาได้สอบสวนเธออย่างยืดยาวเพื่อหารายละเอียด
เมื่อได้รู้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเธอก็ตกเป็นผู้ถูกคัดเลือกตัวในครั้งต่อไป
นายแพทย์เมงเกเลกล่าวกับเธอว่า
“ค่ายกักกันแห่งนี้ไม่เหมาะสมที่จะเป็นสถานที่อยู่ของหญิงมีครรภ์”
แต่ดิฉันอยากจะเติมข้อความไปอีกหน่อยหนึ่งว่า
“แต่มันก็เป็นเพียงสถานที่สำหรับรอคอยวาระที่จะเดินทางไปสู่นรก”.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น