Ads

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 27 ได้แต่เพียงหวัง



เมื่อมองย้อนกลับไปดูชีวิตในอดีตที่ผ่านมาดิฉันอยากจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น อยากมีชีวิตอยู่กับไออุ่นของแสงแดดในท่ามกลางสันติภาพและความสงบสุข

แต่อดีตเหล่านี้มันยังตราตรึงและฝั่งแน่นอยู่นความทรงจำยากต่อการลืมเลือนเป็นที่สุด รากฐานชีวิตของดิฉันทุกอย่างได้ถูกทำลายไปจนหมดสิ้น มันผ่านไปโดยไม่มีวันที่จะหวนกลับมาอีกครั้ง

บันทึกความทรงจำฉบับนี้เขียนจากความจริงที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเพื่อนนักโทษในค่าย ผู้ซึ่งสังเวยชีวิตให้แก่ความโหดร้ายทารุณของพวกนาซี

ดิฉันขอมอบบันทึกความทรงจำนี้เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ผู้ประสบเคราะห์กรรมอันเลวร้ายทั้งปวง ขอให้ดวงวิญญาณของผู้ที่น่าสงสารเหล่านั้นจงไปสู่สุคติเถิด ไม่มีนรกขุมใดอีกแล้วที่จะทุกข์ทรมานเท่ากับนรกในค่ายกักกันเชลย

นอกจากจะให้เป็นอนุสรณ์แด่ผู้ที่น่าสงสารที่จากไปแล้วนั้นดิฉันเขียนบันทึกนี้ด้วยมีความฝันอันยิ่งใหญ่อีกอย่างหนึ่ง คือต้องการให้ชาวโลกได้อ่านและร่วมกันลงประชามติว่าจะไม่ให้สิ่งนี้อุบัติขึ้นในโลกอีกเป็นอันขาด

ดิฉันมั่นใจว่าหลังจากที่ได้อ่านบันทึกความทรงจำฉบับนี้แล้วคงไม่มีใครสงสัยว่าทำไมดิฉันจึงตั้งใจจริงเช่นนี้ แม้แต่ขณะที่กำลังจรดปลายปากกาบันทึกข้อความในทบสุดท้ายนี้ ดิฉันก็ยังมองเห็นภาพของเหล่านักโทษผู้เคราะห์ร้ายมาปรากฏอยู่ต่อหน้า มากระซิบวิงวอนให้ดิฉันเปิดเผยเรื่องราวความทุกข์ยากของเขาไว้ในบันทึกฉบับนี้

ดิฉันสามารถปฏิเสธความต้องการของวิญญาณนักโทษที่เป็นผู้ใหญ่ทั้งหญิงและชายเหล่านั้นได้แต่ไม่อาจปฏิเสธดวงวิญญาณของบรรดานักโทษเด็กตัวน้อยๆที่ถูกบังคับให้เดินเรียงแถวเข้าไปยังเตาเผาศพในค่ายนรกได้เลย

ก่อนที่จะปิดแฟ้มบันทึกลับฉบับนี้ดิฉันจึงใคร่ขอกล่าวถึงนักโทษเด็กตัวเล็กๆที่น่าสงสารไว้ให้ชาวโลกได้รับรู้บ้าง

เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1944 ผู้บัญชาการหน่วยเอสเอสสั่งให้ค่ายเบอร์เคเนาส่งรายงานเกี่ยวกับพวกเด็กๆที่ถูกกักกันอยู่ในค่าย เพราะถึงแม้จะมีการคัดเลือกครั้งแรกตั้งแต่ตอนที่ขบวนรถไฟเดินทางมาถึงแล้วก็ตามแต่ยังมีเด็กอีกจำนวนไม่น้อยที่ถูกแยกออกจากครอบครัวมาอยู่ในค่าย พวกปีศาจร้ายนาซีได้ตัดสินใจที่จะสังหารเด็กๆเหล่านี้โยมีเงื่อนไขว่าจะต้องทำให้เร็วที่สุดและประหยัดที่สุด

ทำไมพวกเด็กๆจึงไม่ถูกสังหารโดยวิธีจับโยนลงไปในบ่อคอนกรีตแล้วราดด้วยน้ำมันจุดไฟเผาอย่างที่เคยทำกันมา?พวกเยอรมันไม่สามารถใช้วิธีการนี้ต่อไปได้อีกเนื่องจากขาดแคลนน้ำมันและหากจะใช้วิธีนำเด็กนี้ไปยังเป้าก็ไม่ได้อีกเพราะต้องการสงวนกระสุนปืนไว้ใช้ในการสู้รบของพวกที่อยู่ในแนวหน้า

แต่พวกเยอรมันก็ไม่เคยเลิกความคิดที่จะหาทางทำลายล้างชีวิตพวกเด็กๆเหล่านี้เลย ได้ออกคำสั่งให้พวกดิฉันไปช่วย”อาบน้ำ”

เด็กๆเหล่านี้ที่ค่ายเบอร์เคเนา ซึ่งคำสั่งทุกครั้งจะต้องได้รับการปฏิบัติตามโดยไม่มีสิทธิ์โต้แย้งใดๆทั้งสิ้นไม่ว่าคำสั่งนั้นมันจะน่าขยะแขยงสักเพียงใดก็ตามที

บนถนนใหญ่ที่ตัดผ่านค่ายที่ยาวสุดลูกหูลูกตา ซึ่งเมื่อก่อนเคยใช้เป็นที่สวนสนามของกองกำลังทหารม้านับล้าตัวนั้น บัดนี้กำลังเป็นที่กำหนดให้พวกนักโทษตัวน้อยๆจำนวนมากมายเดินเรียงแถวเป็นขบวนยาวเหยียดทุกคนถูกกล้อนผมจนสั้นเกรียนสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเดินด้วยเท้าเปล่าไปตามถนนที่ปกคุมด้วยหิมะ

บริเวณที่ปกคลุมด้วยหิมะบางแห่งมีหิมะทับถมกันหนาจนเป็นน้ำแข็ง ขณะที่เดินไปมีเด็กบางคนลื่นหกล้ม คนใดท่ล้มลงจะถูกเฆี่ยนตีด้วยแส้อย่างทารุณ

หิมะโปรยปรายลงมาอีกระลอกหนึ่ง นักโทษตัวน้อยๆมีเกล็ดหิมะจับตามเสื้อที่ขาดรุ่งริ่งมองดูขาวโพลนกำลังเดินมุ่งหน้าสู่ความตายทุกคนปิดปากเงียบเมื่อถูกเฆี่ยน ไม่ส่งเสียงร้องใดๆออกมา ดูราวกับว่าเป็นตุ๊กตาหิมะวางเรียงรายต่อกันยาวเหยียด

ยิ่งก้าวเดินไปท่ามกลางความหนาวเย็นที่จับขั้วหัวใจร่างนักโทษตัวน้อยๆเหล่านั้นก็ยิ่งสะท้านร้องไม่ออกมีเพียงแต่ความสิ้นหวังเหน็ดเหนื่อยและหวาดกลัว

มีเพียงคราบน้ำตาที่ไหลออกมาอาบแก้มเท่านั้นที่บ่งบอกถึงความทุกข์ยากที่อัดแน่นในใจในชะตากรรมอันโหดร้ายป่าเถื่อนในครั้งนี้

โธมัส แกสตัน หนึ่งในจำนวนนักโทษไร้เดียงสาเหล่านี้เกิดหกล้ม ดวงตากลมโตสีน้ำตาลของแกฉายแววอาการไข้ออกมาอย่างเห็นได้ชัด กลอกตาไปมามองตามแส้ม้าที่หวดกระหน่ำอย่างไม่ยั้งมือของพวกทหารเอสเอส กระทบกับร่างที่หนาวสั่นเพราะอาการไข้ที่กำลังขึ้นสูง

หนูน้อยหมดแรงที่จะร้องหรือจะปฏิบัติตามคำสั่งใดๆทั้งสิ้น ได้แต่ถอนสะอื้นน้ำตานองหน้า จากนั้นก็สลบล้มลงไปกับพื้นหิมะ พวกเราเข้าไปประคองแกขึ้นมาอุ้มไว้ในวงแขน

พวกเด็กๆเดินต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งมีเสียงห้าวๆตะโกนอย่างดุดันว่า”สตีเฮน บลีเบน(หยุด)”แล้วพวกเยอรมันก็สั่งให้พวกเรานำเด็กทุกคนไป”อาบน้ำ”

อีก 2-3 นาทีต่อมาพวกเราก็เริ่มนำเด็กๆไปอาบน้ำที่เย็นจัดเกือบเป็นน้ำแข็งทีละคน ไม่มีแม้แต่สบู่และผ้าเช็ดตัว พออาบเสร็จยังไม่ได้เช็ดตัวให้ก็สวมชุดขาดรุ่งริ่งชุดเดิมให้กับแกทั้งๆที่ตัวยังเปียกอยู่ แล้วส่งกลับไปเข้าแถวรอคอยจนกว่าทุกคนจะอาบน้ำเสร็จ

นี่เป็นวิธีการทรมานอีกแบบหนึ่งซึ่งพวกเยอรมันนักคิดค้นวิธีการทรมานมนุษย์ได้ใช้เป็นวีการ”แก้”ปัญหาพวกเด็กๆซึ่งเป็นปัญหาของผู้ไร้เดียงสาในค่ายเบอร์เคเนา

เมื่อพวกเด็กๆทุกคนผ่านการ”อาบน้ำ”ที่เย็นจัดเกือบเป็นน้ำแข็งเรียบร้อยแล้วก็มีการเรียกชื่ออีกครั้งหนึ่ง การเรียกชื่อครั้งนี้ใช้เวลานานถึง 5 ชั่วโมง เด็กทุกคนซึ่งเพิ่งจะผ่านการอาบน้ำมาได้หยกๆก็มายืนอยู่ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นและหิมะตกลงมาอยู่ตลอดเวลา

“พระผู้เป็นเจ้าองค์น้อยจะมาหาพวกเองในเร็วๆนี้แล้วละไอ้หนู”

ทหารยามคนหนึ่งพูดเยาะเย้ยหนูน้อยคนหนึ่งที่ยืนรอคอยการเรียกชื่อด้วยความหนาวเหน็บจนริมฝีปากเขียวร่างชาไปตั้งตัว

มีเด็กๆที่รอดชีวิตจากการเรียกชื่อในครั้งนี้เพียงไม่กี่คน ส่วนเด็กๆที่ยังรอดชีวิตอยู่ก็ต้องล้มลุกคลุกคลานเพราะถูกพวกเยอรมันเอาตะบองไล่ทุบตี เด็กเหล่านี้เกือบทั้งหมดเป็นเด็กเชื้อชาติยิว มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่เป็นเด็กเชื้อชาติอื่นๆ

ในที่สุดพวกเราก็ได้รับคำสั่งให้พาพวกเด็กๆที่ยังรอดชีวิตนี้กลับไปเข้าแถวที่ถนนอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่ขบวนเด็กเดินอยู่นั้นเป็นเวลาที่พวกนักโทษผู้ใหญ่หลายคนกำลังถือจอบหรือพลั่วมาซ่อมถนนอยู่ใกล้ๆพวกเขาก็ได้แต่มองดูขบวนเด็กๆด้วยความสงสารแต่ก็ไม่มีใครช่วยเหลืออะไรได้

“แม่---แม่---แม่จ๋า”หนูน้อยโธมัสร้องขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งหลังจากฟื้น เสียงขาดเป็นห้วงขณะที่พิษไข้กำลังขึ้นสูง ตัวสั่นเทาเหมือนกับว่ากำลังจะสิ้นใจ

ในที่สุดพวกเราก็นำหนูน้อยโธมัสและเด็กอื่นๆกลับเข้าคุก เด็กๆพวกที่รอดชีวิตกลับมาครั้งนี้มีสภาพเหมือนกับหุ่นยนต์เกือบจะตายไปเพราะความเหน็ดเหนื่อย

ทั้งๆที่อยู่ในสภาพที่สุดจะทนทุกข์ทรมานอย่างนี้แต่พวกเขาก็ยังถูกบังคับให้เดินกลับเข้าไปอยู่ในคอกม้าที่หนาวเย็นยะเยือกอีกครั้ง คราวนี้หนูน้อยโธมัสได้สิ้นใจในระหว่างทางเช่นเดียวกับเด็กอื่นๆอีกหลายร้อยคน

พวกเราได้นำศพของแกพร้อมกับศพเด็กอื่นๆไปไว้ที่ด้านหลังคุกตามกฎของค่าย ทั้งที่รู้ดีว่าเจ้าหนูร้ายตัวโตๆที่ชุกชุมอยู่ตามซอกมุมต่างๆกำลังรอคอยที่จะแทะกินเนื้ออุ่นๆของพวกเขาอยู่

ดิฉันจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันปีใหม่ เกล็ดหิมะโตๆกำลังโปรยปรายตกลงมาไม่ขาดระยะ พวกเราได้ยินเสียงหนูนับพันตัวส่งเสียงร้องระงมอยู่ในบริเวณนั้น ราวกับดีใจที่ได้เกินเนื้อศพนักโทษอีกครั้งหนึ่ง พวกเราทำได้ก็เพียงปิดตาตัวเองแล้วสวดมนต์อ้อนวอนขอความยุติธรรมจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น

หลายแห่งบนพื้นโลกนอกรั้วลวดหนามบรรดาเสรีชนทั้งหลายคงจะกำลังจับมือหรือยกแก้วขึ้นชูเพื่ออวยพรปีใหม่กันอย่างสนุกสนาน

แต่ที่มุมหนึ่งในค่ายเบอร์เคเนากลับระงมไปด้วยเสียงหนูที่กำลังแทะเนื้อสดๆของศพเด็กๆจากประเทศต่างๆยุโรปกินอย่างเอร็ดอร่อย

ท่านผู้อ่านอาจตั้งคำถามถามดิฉันว่า

“โดยส่วนตัวแล้วดิฉันคิดจะทำอย่างไร เพื่อที่จะไม่ให้สิ่งเลวร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นในโลกของเราอีก”

ดิฉันไม่ได้เป็นนักรัฐศาสตร์หรือนักเศรษฐศาสตร์ แต่เป็นเพียงผ็หญิงคนหนึ่งซึ่งประสบกับความทุกข์ยากอย่างใหญ่ลวงในชีวิต ต้องมาสูญเสียสามีบุตรบิดามารดาและเพื่อนๆอีกมากมาย ดิฉันคิดว่าชาวโลกทุกคนควรจะได้ร่วมกันตระหนักถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้

พวกเยอรมันจะต้องได้รับโทษทัณฑ์จากบาปกรรมครั้งนี้อย่างรุนแรงที่สุด ส่วนชาติอื่นๆก็ต้องได้รับโทษทัณฑ์ลดหลั่นไปตามกรรม

ที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาไดนั้นก็เพราะว่าแต่ละชาติปฏิเสธการทำงานอย่างจริงจังที่จะช่วยเหลือผู้เคราะห์ร้ายและผู้ตกทุกข์ได้ยากทั้งหลายในทุกวิถีทาง

ดิฉันมีความเชื่อว่า 1.ถ้าทุกคนในโลกมีจิตใจเชื่อมั่นและแนวแน่ว่า ทุกชีวิตที่เกิดขึ้นในโลกจะต้องได้รับสิทธิเสรีภาพและความยุติธรรมเท่าเทียมกัน และ 2. มวลมนุษย์อย่างฮิตเลอร์, ไอช์มานน์,  ฮิมเลอร์,  เมงเกเล และพวกนาซีที่บ้าคลั่งทั้งหลาย อย่ายอมให้ได้มีโอกาสเกิดขึ้นมาในโลก สองประการนี้แหละที่จะช่วยให้อะไรๆดีขึ้นมามากเลยทีเดียว

ดิฉันคิดว่าบรรดาฆาตกรโหดหญิงหรือชายคนใดก็ตามที่มือเปื้อนเลือดไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม จะต้องชดใช้หนี้กรรมที่ได้กระทำไว้อย่างสาสม หากไร้เสียซึ่งสิ่งสำคัญดังกล่าวแล้วก็อาจจะทำให้เกิดการทำลายล้างมนุษย์ผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนล้านๆคนขึ้นอีกอย่างไม่ต้องสงสัย

ดิฉันย้อนนึกถึงสมัยที่ยังเป็นนักเรียนอยู่นั้น พวกเราเคยตั้งคำถามกันว่า โดยพื้นฐานแล้วมนุษย์ดีหรือเลว? 

ที่ค่ายเบอร์เคเนา-เอาชวิตซ์ทุกคนจะต้องตอบคำถามนี้เป็นเสียงเดียวกันว่ามนุษย์เลว! ความเชื่ออย่างนี้เป็นการยืนยันตามปรัชญาของนาซี ที่พวกสมุนฮิตเลอร์เชื่อว่าเป็นสิ่งถูกต้อง  โดยถือว่ามนุษย์เผ่าอื่นที่ต่อต้านนโยบายของพรรคนาซีเป็นสัตว์ที่โง่และชั่วร้ายจำเป็นต้องกำจัดให้สิ้นซาก

อาชญากรรมที่ร้ายรงที่สุดอย่างหนึ่งที่บรรดา”เดนมนุษย์”ทั้งหลายกระทำกับพวกเรา ก็คือ การที่พวกเขาประสบความสำเร็จในการรณรงค์จนพวกเราแทบว่าจะกลายเป็นสัตว์ชั่วร้ายไปจริงๆ

เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายในการรณรงค์เพื่อให้มนุษยชาติอื่นๆลดตัวลงมาเป็นสัตว์ที่ชั่วร้ายเช่นนั้นจริงๆ พวก”เดนมนุษย์นาซี”ก็สามารถคุยได้ว่าพวกเขาทำสำเร็จตามนโยบายนี้จริงๆ

ดังตัวอย่างเช่น ผู้ที่เคยเป็นเพื่อนกันมาตลอดก็ยุติลงด้วยการเกลียดชังกันจนไม่สามารถประสานกันได้อีกเลย ญาติพี่น้องท้องเดียวกันก็ลงมือต่อสู้กันเพื่อให้ได้มาซึ่งขนมปังเพียงชิ้นเดียว

มนุษย์ที่เคยซื่อสัตย์สุจริตก็เปลี่ยนเป็นโจรขโมยตัวยง สามารถขโมยทุกสิ่งทุกอย่างได้เมื่อมีโอกาส บ่อยครั้งที่หัวหน้าคนงานที่เป็นชาวยิวได้ทุบตีคนงานที่เป็นคนยิวด้วยกัน

สภาพสังคมที่ค่ายเบอร์เคเนาก็เหมือนกับสังคมอื่นๆที่พวกนักปรัชญานาทีให้การยกย่อง โยยึดถือทฤษฎีที่ว่า”อำนาจคือธรรม”

ในสังคมเช่นนี้คนจะให้ความเคารพนับถือกันก็เพราะมีอำนาจเท่านั้น คนที่อ่อนแอหรือชนชราไม่ต้องไปหวังว่าจะได้รับความปรานีจากใครๆ

ในประเทศอียิปต์แม้ว่าพวกทาสที่ก่อสร้างพีระมิดส่วนหนึ่งได้เสียชีวิตไปขณะที่ทำงาน แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังมีโอกาสได้เห็นโครงสร้างของพีระมิดซึ่งเป็นผลงานจากฝีมือของพวกเขาก่อตัวสูงขึ้นทีละน้อยๆ

แต่พวกนักโทษในค่ายเอาส์ชวิตซ์-เบอร์เคเนาถูกเกณฑ์ให้ขนกองหินไปยังที่หนึ่งแต่จะต้องขนกลับมายังที่เดิมในวันรุ่งขึ้น สิ่งที่นักโทษได้เห็น ก็คือ การกระทำที่ไร้ประโยชน์

ผู้ที่อ่อนแอมีสภาพไม่ผิดอะไรกับสัตว์ ไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงความอิ่ม มีชีวิตอยู่ด้วยการรับประทานเพียงเศษอาหารที่เลวยิ่งกว่าสัตว์และไม่เพียงพอกับความหิวโหยที่อัดแน่นอยู่ภายใน

สิ่งที่บรรดานักโทษร้องขอนั้นก็เพียงขอให้หนาวน้อยลงมาบ้าง ให้ลดความบ่อยในการเฆี่ยนตีลงมาบ้าง ให้มีฟางที่จะใช้ปูบนกระดานหยาบๆในกรงขังเพิ่มขึ้นมาสักนิดหนึ่ง

ให้มีน้ำดื่มเต็มแก้วถึงแม้มันจะเป็นน้ำที่มาจากแหล่งน้ำสกปรกในค่ายก็ตาม และประการสุดท้าย ก็ขอให้เหล่านาซีผู้โหดร้าย ได้มีพลังทางศีลธรรมสักอย่างที่จะช่วยพยุงตนเองไม่ให้จมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความชั่วร้ายจนหมดตัวอย่างนั้น

ถึงอย่างไรก็ตามเท่าที่ผ่านมา ดิฉันได้เห็นนักโทษเป็นจำนวนมากยังยึดมั่นในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์จนกระทั่งวาระสุดท้ายแห่งชีวิต

แต่แม้ว่าพวกนาซีจะประสบความสำเร็จในการลดความเป็นมนุษย์ของพวกนักโทษโดยทำการทรมานร่างกายของพวกเขาอย่างหนักได้ก็ตาม

แต่ก็ไม่สามารถลดความสูงส่งทางด้านศีลธรรมในจิตใจชองนักโทษเหล่านี้ได้ ด้วยเหตุผลเพียงเล็กน้อยเท่านี้เองที่ทำให้ดิฉันยังไม่หมดศรัทธาในตัวมนุษย์เสียทีเดียว 

ในสภาพที่ป่าเถื่อนของค่ายเอาส์ชวิตซ์-เบอร์เคเนา ถ้าหากว่าทุกคนไม่ทำตัวผิดวิสัยมนุษย์ต่อมนุษย์ด้วยกันบ้างแล้ว ความหวังของดิฉันคงจะเป็นจริงขึ้นมาได้บ้าง

ก็เพราะความหวังเช่นนี้แหละที่เป็นน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจดิฉันมีชีวิตอยู่มาได้ตราบเท่าทุกวันนี้.
จบบริบูรณ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น