ทุกวันนี้เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนเดินทางไปถึงค่ายกักกันคราใด
ดิฉันจะมองเห็นภาพของตู้รถไฟที่โดยสารนั้นไม่ผิดอะไรกับโลงศพที่วางเรียงรายต่อกันเป็นแนวยาวเหยียด
ส่วนรถไฟขบวนนั้นก็มีลักษณะไม่ผิดกับรถไฟขนศพ
พวกทหารหน่วนเอสเอสกับพวกตำรวจลับเกสตาโปก็ไม่ผิดอะไรกับพวกสัปเหร่อ
ส่วนพวกที่ปอกลอกรับเอาทรัพย์สินของเราไปในระหว่างการเดินทางก็เปรียบได้กับพวกทายาทที่ละโมบในกองมรดกจนไม่สามารถรอคอยให้เจ้าของมรดกตายไปเสียก่อน
เมื่อไปถึงค่ายกักกันเราไม่มีความรู้สึกอย่างอื่นเลยนอกจากความโล่งอกเพราะต่างก็คาดคิดว่าจะต้องมีสิ่งที่ดีกว่าสภาพแออัดในขบวนรถไฟมหาภัยนั้นเป็นแน่
ท่านผู้อ่านลองหลับตานึกภาพดูก็แล้วกันว่า คุกมีล้อวิ่งได้นั้นเป็นอย่างไร? คงไม่มีอะไรอีกแล้วที่น่าขนพองสยองเกล้าเท่ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพวกเรา
ไหนจะต้องทนอยู่ในที่มืดมิดแทบจะมองอะไรไม่เห็น ไหนจะต้องทนสูดกลิ่นเหม็นเน่าของซากศพ
ไหนจะต้องทนฟังเสียงร้องคร่ำครวญของผู้เจ็บป่วย
ไหนจะต้องทนฟังเสียงร้องให้คร่ำครวญของผู้สูญเสียญาติมิตร
เราต่างหวังกันว่าจะได้รับการปล่อยตัวออกจากตู้รถไฟในทันทีที่ไปถึง
แต่ความหวังกลับพังทลายสิ้น เราต้องทนลำบากอยู่ในรถไฟต่อไปอีกเป็นคืนที่แปด
ซึ่งเป็นคืนที่หฤโหดที่สุดเพราะต้องนอนซ้อนกันเพื่อไม่ให้ร่างกายสัมผัสกับซากศพที่กำลังเน่าเฟะ
ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งแสนสะอิดสะเอียน
คืนนั้นไม่มีใครหลับกันเลย ความรู้สึกโล่งอกแต่แรกหายไปจนหมดสิ้น
สิ่งเข้ามาแทนที่คือความวิตกกังวลเหมือนกับว่าเป็นลางสังหรณ์เตือนภัยล่วงหน้า
ดิฉันได้พยายามแหวกกลุ่มมนุษย์ซึ่งมีสภาพไม่ผิดอะไรกับฝูงสัตว์ที่อัดแน่นอยู่ในตู้รถไฟเพื่อจะไปโผล่หน้าออกทางหน้าต่างๆซึ่งกว่าจะทำสำเร็จก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก
จากตรงนั้นดิฉันมองเห็นภาพที่ชวนให้ตื่นเต้นตกใจมาขึ้น
รอบๆบริเวณด้านนอกมีลวดหนามขึงเต็มไปหมด
บางครั้งก็ดูราวกับมันทอแสงเป็นประกายแวววับเมื่อกระทบกับลำแสงของไฟฉายตรวจการณ์ซึ่งสาดส่องมาเป็นพักๆ
ทั่วอาณาบริเวณนั้นมีแสงไฟพอที่จะมองเห็นทุกสิ่งทุอย่างได้ชัดเจน
แม้ว่าภาพที่เห็นนั้นจะเป็นสิ่งที่น่าสะพึงกลัว แต่ก็ทำให้เรามีความอบอุ่นใจอยู่บ้าง
อย่างน้อยที่สุดเมื่อมีไฟฟ้าใช้อย่างนี้ก็แสดงให้เห็นโดยไม่ต้องสงสัยเลยว่า
ที่บริเวณใกล้ๆนี้ต้องมีอารยชนอยู่บ้างอย่างแน่นอน
สภาพข้างนอกจึงน่าจะดีกว่าสภาพเหลือทนซึ่งเรากำลังประสบอยู่ในตู้รถไฟนี้เป็นแน่
แต่ยังหรอก ดิฉันยังไม่เข้าใจแจ้มแจ้งถึงสิ่งที่ปราฏในตายสาว่ามันคืออะไรกันแน่?เราอยู่ที่ไหน?
ชะตากรรมของเราจะเป็นอย่างไร?เหล่านี้คือข้อสงสัยที่ทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจกันเลย
ในที่สุดดิฉันก็เดินจากบริวณใกล้หน้าต่างกลับมาหาบิดามารดา
เพราะเกิดความรู้สึกอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับท่าน
“ยกโทษให้ลูกได้ไหมคะ”ดิฉันพึมพำขณะที่ก้มลงจุมพิตมือของท่าน
“ยกโทษเรื่องอะไร?” มารดาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ลูกไม่ได้ทำอะไรผิดที่พ่อกับแม่จะต้องยกโทษให้นี่นา”
แต่ในสายตาทั้งสองข้างของท่านซีคะ มันเอ่อท้นไปด้วยหยาดน้ำตา
ตอนนี้ท่านกำลังคิดอะไรอยู่ในใจนะ
“ลูกยังเป็นคนดีของพ่อแม่อยู่เสมอ” บิดากล่าวเสริมขึ้น
“บางทีเราอาจจะตายกันหมดก็ได้นะลูก”
มารดากล่าวด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม”แต่ลูกยังอยู่ในวัยสาวและมีเรี่ยวแรงพอที่จะต่อสู้เพื่อการอยู่รอดได้
ลูกยังสามารถทำประโยชน์ให้แก่ตัวเองและผู้อื่นได้อีกมากมาย”
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ดิฉันได้มีโอกาสสวมกอดท่านทั้งสองด้วยความอบอุ่นใจ
ในเช้าวันรุ่งขึ้น
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งซึ่งในภายหลังทราบว่าเป็นผู้บัญชาการค่ายกักกันนักโทษแห่งนี้
ได้มารับเราเพื่อนำไปควบคุมตัวเอาไว้
เขามากับล่ามอีกคนหนึ่งซึ่งทราบในภายหลังเช่นกันว่าสามารถพูดได้ถึง 9 ภาษา
ล่ามคนนี้มีหน้าที่แปลคำสั่งต่างๆเป็นภาษาท้องถิ่นของผู้ที่ถูกเนรเทศมาอยู่ในค่าย
เขาได้เตือนเราให้รักษาระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด
และให้ทำตามคำสั่งทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น เรายอมทำตามทุกอย่างตามที่เขาบอก
เหตุผลหรือคะ? ก็เพราะไม่ต้องการให้เขาปฏิบัติต่อเราเลวร้ายยิ่งไปกว่าสิ่งที่เคยประสบกันมาแล้วนั่นแหละ
ที่ชานชาลาสถานีรถไฟก็แลเห็นคนกลุ่มหนึ่งอยู่ในชุดนักโทษ
เป็นภาพที่ทำให้เกิดความหวาดกลัวขึ้นมาอย่างฉับพลั น เราจะมีสารรูปอดโซผอมมากเช่นพวกเขาไหมนะ
นักโทษเหล่านี้ถุกคุมตัวมาที่สถานีรถไฟเพื่อให้มายึดเอากระเป๋าเดินทางของเรา
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือให้มายึดสิ่งที่ยังเหลืออยู่ภายหลังจากถูกผู้คุมตามรายทางเก็บภาษีตามแบบของเยอรมันไปแล้วทั้งๆที่ขณะนี้เราแทบไม่มีสมบัติอะไรติดตัวอยู่กันเลย
เราได้รับคำสั่งที่ห้วนและเด็ดขาดว่า”เขาแถวเรียงห้า เร็วๆเข้าสิ”
ทุกคนปฏิบัติตามคำสั่งโดยไปยืนเข้าแถวเรียงห้าซึ่งแยกผู้ชายไว้ข้างหนึ่งและผู้หญิงไว้อีกข้างหนึ่ง
ส่วนพวกที่มีอาชีพเป็นแพทย์ถูกแยกให้ไปอยู่ตามแถวต่างๆพร้อมกับกระเป๋าใส่เครื่องมือแพทย์
การทำเช่นนี้ช่วยให้เราเกิดความอบอุ่นใจขึ้นว่า คนป่วยจะได้มีแพทย์คอยให้การดูแลรักษา
นอกจากนั้นก็ยังเห็นมีรถพยาบาลอีก 4-5 คันมาจอดอยู่ซึ่งเขาบอกว่ารถพยาบาลเหล่านี้จะช่วยลำเลียงคนป่วยไปรับการรักษา
ก็นับว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีขึ้นมากทีเดียว
ไม่มีใครทราบเลยแม้แต่น้อยว่า สิ่งต่างๆเหล่านั้นเป็นการสร้างฉากตบตาหลอกเราและคนที่ถูกเนรเทศทั้งหลายเพื่อไม่ให้ก่อความวุ่นวาย
นับว่าเป็นการแสดงละครตบตาที่แนบเนียนมาก จนแทบไม่ต้องอาศัยกองทหารเข้าควบคุม
ในช่วงนี้เราไม่ได้เฉลียวใจเลยว่ารถพยาบาลเหล่านั้นเป็นรถลำเลียงคนป่วยไปยังห้องก๊าซพิษ
เพื่อทำการสังหารก่อนที่จะนำไปเผาที่เตาเผาศพขนาดใหญ่ภายในค่าย
เพราะกลอุบายอันแยบยลดังกล่าว
เราจึงเงียบสงบปล่อยให้ทหารเยอรมันริบทรัพย์สินไปจนหมดตัวและพากันเดินตามกันไปยังโรงฆ่าสัตว์
ขณะที่เราลงมาชุมนุมกันอยู่ที่ชานชาลาสถานีรถไฟนั้น กระเป๋าเดินทางของเราก็ถูกมนุษย์ในชุดนักโทษขนลงจากตู้รถไฟ
ส่วนศพของผู้ที่เสียชีวิตในระหว่างการเดินทางก็ถูกลำเลียงลงมาใส่รถบรรทุก
ซากศพที่อยู่กับเรามานานหลายวันได้ขึ้นอืดเนาเฟะเป็นที่น่าขยะแขยง
มีบางศพเน่าเปื่อยขาดหลุดออกเป็นชิ้นๆส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวลไปทั่ว
แมลงวันนับเป็นพันๆตัวมารุมตอมแล้วก็บินมาจับตามเนื้อตัวของพวกเราอยู่เกือบตลอดเวลา
มันเป็นภาพที่แสนสกปรกและน่าสมเพชเป็นที่สุด
ในช่วงที่ลงจากตู้รถไฟบรรทุกสัตว์นั้น ดิฉัน
คุณแม่และลูกชายถูกแยกออกจากคุณพ่อและสามี เรายืนแยกกัน อยู่ห่างกันหลายร้อยหลา
ขณะนี้มีผู้โดยสารลงจากรถไฟประมาณ 4,000-5,000 คน แลดูสับสนวุ่นวายกันไปหมด
เราได้รับคำสั่งให้เดินผ่านหน้ากลุ่มนายทหารเอสเอสประมาณ 30 คน
รวมทั้งหัวหน้าค่ายกักกันและเจ้าหน้าที่อื่นๆ
จากนั้นเขาก็ได้ทำการคัดเลือกโดยแยกส่วนหนึ่งไปทางซ้ายมือ อีกส่วนหนึ่งไปยังขวามือ
นั่นเป็น”การคัดเลือก”ครั้งแรก เป็นกระบวนการเลือกคนไปเข้าเตาเผาศพ โดยไม่มีใครคาดฝันมาก่อนว่า
ตัวเองจะต้องมาประสบกับชะตากรรมที่เหี้ยมโหดที่สุดเช่นนี้
พวกเด็กๆกับคนชราได้รับคำสั่งให้”ไปอยู่ทางซ้าย”
ในช่วงที่เราจะพรากจากกันนั้นเอง
ก็มีเสียงตะกนร้องเซ็งแซ่อย่างน่าเวทนาของพวกเด็กๆ
“แม่...แม่จ๋า...แม่อยู่ไหน?”
“พ่อ ช่วยด้วยๆๆๆ”
“แม่ อย่าไปๆๆๆ”
เสียงนั้นยังก้องอยู่ในโสตประสาทของดิฉันแม้กระทั่งทุกวันนี้
แต่ผู้คุมหน่วยเอสเอสไม่ได้แสดงความสนใจในเสียงวิงวอนของเด็กเหล่านั้นแม้แต่น้อย
ผู้ที่พยายามขัดขืนไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือคนชรา
ได้ถูกพวกหน่วยเอสเอสใช้กระบองทุบตีอย่างไร้ความปรานี เมื่อทนความเจ็บปวดจากการถูกทุบตีไม่ไหว
ผู้ที่ขัดขืนเหล่านั้นก็ได้กลับมาเข้าแถวอีกครั้ง โดยแยกเป็นสองกลุ่ม คือ
กลุ่มซ้ายและกลุ่มขวา
นายทหารหน่วยเอสเอสคนหนึ่งอธิบายให้เราฟังว่า ที่แยกคนชราไปไว้กับพวกเด็กๆนั้นก็เพื่อจะให้คนชราไปคอยดูแลพวกเด็กๆ
ในตอนแรกดิฉันเชื่อทหารคนนี้ โดยสรุปเอาเองว่า
ผู้ใหญ่ที่มีร่างกายแข็งแรงจะต้องไปทำงาน ส่วนคนชราและเด็กๆจะได้รับการเลี้ยงดูโดยไม่ต้องไปทำงาน
เมื่อถึงคราวที่กลุ่มเราถูกเรียกตัว ดิฉัน
คุณแม่และลูกชายทั้งสองคนได้ก้าวไปยืนอยู่เบื้องหน้าของ”ผู้คัดเลือก”
ในช่วงนี้เองที่ดิฉันได้ทำผิดอย่างมหันต์เป็นคำรบสอง
ผู้คัดเลือกได้โบกมือบอกให้ดิฉันกับคุณแม่ไปอยู่ในกลุ่มของผู้ใหญ่
และเขาได้จัดแยกเอาโธมัสลูกชายคนเล็กของดิฉันไปอยู่ในกลุ่มเด็กและคนชรา
ผู้คัดเลือกเกิดความลังเลใจในการตัดเลือกอาร์วัดลูกชายคนโตของดิฉันไปเข้ากลุ่ม
ดิฉันใจเต้นระทึกเพราะกลัวพวกทหารเอสเอสจะไม่จัดให้ลูกเข้าอยู่ในกลุ่มของเด็กและคนชรา
เจ้าหน้าที่ผู้คัดเลือกคนนี้เป็นคนร่างใหญ่ผิวคล้ำสวมแว่นตาดำ
ทำทีท่าว่าพยายามจะทำอะไรให้มันถูกต้องและยุติธรรมเป็นการบังหน้า
ต่อมาดิฉันทราบภายหลังว่าเขาชื่อ นายแพทย์ ฟริตซ์ คลีน
ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้คัดเลือกนักโทษรุ่นนี้
“เด็กคนนี้เห็นจะมีอายุเกินสิบสองปีแล้วซีนะ?”
เขาหันมาปรารภกับดิฉันถึงอาร์วัด
ดิฉันรีบตอบไปว่า อาร์วัดอายุยังไม่ถึงสิบสองปี
ที่ดิฉันพูดกับเขาเช่นนั้นเป็นความสัตย์
เพราะอาร์วัดอายุยังไม่ถึงสิบสองปีจริงๆแต่แกเป็นเด็กที่โตเกินอายุ
ที่พูดเช่นนี้ไปก็เพราะต้องการไม่ให้แกต้องลำบากลำบนทำงานเช่นเดียวกับผู้ใหญ่
“เอาๆตกลง” นายคลีนตอบตกลง ชี้มือไปทางอาร์วัด
ออกคำสั่ง”ไปทางซ้ายไอ้หนู”
ต่อมาดิฉันได้แนะนำคุณแม่ให้ติดตามไปคอยดูแลพวกเด็กๆเพราะคิดว่าอายุปูนนี้แล้วควรจะมีสิทธิ์ได้รับการปฏิบัติเยี่ยงคนชรา
ยิ่งไปกว่านั้นคุณแม่ก็จะได้มีโอกาสคอยดูแลอาร์วัดกับโธมัสได้อีกด้วย
“ได้โปรดเถอะค่ะ
คุณแม่ของดิฉันต้องการไปอยู่กับพวกเด็กๆค่ะ”ดิฉันกล่วกับนายคลีน
“ได้ๆ”นายคลีนตอบ”พวกคุณทุกคนจะได้ไปอยู่ในค่ายกักกันแห่งเดียวกัน”
“และอีกไม่กี่สัปดาห์พวกคุณจะได้ไปอยู่ร่วมกัน”เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งกล่าวเสริมขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
แล้วตะโกนเรียกคนอื่นๆให้เข้าไปหาเป็นรายต่อไป
ดิฉันหารู้ไม่ว่า การที่ช่วยให้อาร์วัดกับคุณแม่ไม่ต้องไปทำงานหนักนั้น
ก็เท่ากับว่าได้ส่งคนทั้งสองไปตายร่วมกับโธมัสในห้องก๊าซพิษ
กล่าวเช่นนี้ท่านผู้อ่านคงเข้าใจนะคะ
แล้วเราก็ถูกคุมตัวออกจากสถานีรถไฟไปขึ้นรถยนต์แล่นไปตามถนนที่รับการซ่อมแซมเป็นอย่างดี
ขณะนั้นเป็นช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ประเทศในยุโรปอากาศกำลังหนาว
ลมหนาวได้พัดกลิ่นทะแม่งๆอย่างหนึ่งมาปะทะจมูก เป็นกลิ่นคล้ายๆกับกลิ่นเผาศพ
แต่ตอนนั้นเราไม่ได้คิดกันเลยว่าจะมีการเผาศพกันในบริเวณนั้นจริงๆ
กลิ่นที่ว่านี้โชยมาต้อนรับตั้งแต่วันแรกที่เดินทางไปถึงและ
เราก็มักจะได้กลิ่นนี้อยู่เป็นประจำ
สถานที่กักกันแห่งนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลกินเนื้อที่ประมาณ 6-9
ตารางไมล์ ปักเสาปูนซีเมนต์ ขึงลวดหนามไว้ล้อมรอบสองชั้น เสาแต่ละต้นสูงประมาณ
10-20 ฟุต ลำต้นใหญ่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 15 นิ้ว ปักเอาไว้เป็นช่วงๆ
ระยะห่งกันประมาณ 4 หลา แต่ละช่วงขึงลวดหนามไว้ 20 แถว
ที่ยอดเสาแต่ละต้นติดหลอดไฟฟ้าสว่างไสวเอาไว้ตลอดคืนตลอดวัน
ภายในสถานกักกันอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ก็ยังแบ่งออกเป็นค่ายกักกันนักโทษย่อยๆอีกมากมาย
ซึ่งแต่ละค่ายติดป้ายชื่อกำกับไว้ด้วย
ค่ายย่อยๆเหล่านี้แยกออกจากันเป็นสัดส่วนโดยการนำดินมาถมทำเป็นเขื่อนกั้นเป็นแนวสูงประมาณ
3-4 ฟุต ที่ยอดเขื่อนเหล่านี้ขึงลวดหนามสามชั้นและปล่อยกระแสไฟฟ้าเอาไว้ด้วย
เมื่อเข้าไปในบริเวณสถานกักกัน ก็ได้เห็นอาคารเรือนไม้เรียงรายอยู่มากมาย
แต่ละอาคารมีลวดหนามล้อมรอบเอาไว้ มองดูแล้วไม่ผิดอะรกับกรงขังนักโทษดีๆนี่เอง
ที่อาคารหลังหนึ่งผู้ถูกคุมขังไว้ในกรงเป็นนักโทษหญิงสวมเสื้อผ้าขาดวิ่นเหมือนกับผ้าขี้ริ้ว
ผมสั้นเกรียน ไม่สวมรองเท้า ผู้หญิงเหล่านี้เป็นชาวยุโรปจากหลายชาติหลายภาษา
ซึ่งต่างก็ใช้ภาษาของตนๆตะโกนวิงวอนขอเศษขนมปังหรือไม่ก็เศษผ้ามาปกปิดร่างกายที่แทบจะเปลือยเปล่า
เสียงร้องคร่ำครวญของพวกเขาเล่นเอาพวกเราใจหายไปตามๆกัน
“พวกคุณจะถูกย่ำยี เหมือนกับที่พวกเราหลายคนกำลังประสบกันอยู่”
“พวกคุณจะหนาวและหิวโหยเหมือนกับพวกเรา”
“พวกคุณจะถูกเฆี่ยนตีและทรมานอย่างหนัก....คอยดูๆๆ”
ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงร่างใหญ่แต่งกายดีคนหนึ่ง
มาปรากฏตัวอยู่ในท่ามกลางหญิงเหล่านี้
เธอได้ใช้ไม้กระบองขนาดใหญ่กระหน่ำตีทุกคนที่ยืนขวางหน้า
เราแทบจะไม่เชื่อสายตาของตนเอง ผู้หญิงเหล่านี้เป็นใคร?เป็นนักโทษประกอบอาชญากรรมอะไรไว้รึ?
ขณะนี้เราอยู่ที่ไหน?
มันเหมือนกับฝันร้ายจริงๆ หรือว่าสถานที่นี้เป็นที่คุมขังคนบ้า?
บางทีผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็นผู้คุม
กำลังใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดกับพวกคนบ้าเหล่านี้ก็ได้
“แน่นอนทีเดียว”ดิฉันบอกตัวเอง” พวกผู้หญิงเหล่านี้ต้องเป็นคนผิดปกติ
ไม่เช่นนั้นพวกเธอคงไม่ถูกแยกออกมาอยู่ต่างหากอย่างนี้”
จะไม่ให้ดิฉันคิดเช่นนี้ได้แอย่างไร
เพราะถ้าหากเป็นผู้หญิงสติดีไม่เคยประกอบาชญากรรมอะไรไว้
ก็คงจะไม่ถูกเหยียดหยามดูหมิ่นถึงกับนำตัวมาขังไว้ที่นี่แน่ๆ
ที่สำคัญที่สุดดิฉันไม่ได้คิดว่าตัวเองจะต้องตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับหญิงเหล่านี้เลย
หลังจากคอยอยู่ที่บริเวณหน้าอาคารใหญ่หลังหนึ่งนานราว 2
ชั่วโมงด้วยความกระสับกระส่ายหนาวๆร้อนๆพวกทหารก็มาต้อนเราเข้าไปในตัวอาคาร
ซึ่งลักษณะภายในเหมือนกับโรงรถ มีขนาดกว้าง 25-30 ฟุต ยาวประมาณ 100 ฟุต
พวกผู้คุมได้ต้อนเราไปรวมกลุ่มแออัดยัดเยียดอยู่ในอาคาร แน่นแทบจะกระดิกตัวไม่ได้
แล้วเขาก็มาปิดประตูใหญ่ทุกๆด้าน
แต่ภายในอาคารยังมีทหารเหลืออยู่ประมาณยี่สิบนาย
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพวกเมาสุรา เขาจ้องมองพวกเรา
แล้วกล่าววาจาเย้ยหยันถากถางต่างๆนานา
นายทหารคนหนึ่งเริ่มออกคำสั่งเฉียบขาดว่า
“ทุกคนแก้ผ้า วางเสื้อผ้าทุกชิ้นไว้ที่นี่ รวมทั้งเอกสาร ของมีค่า
ตลอดจนสิ่งต่างๆที่นำติดตัวมาด้วย แล้วไปยืนเข้าแถวติดกำแพงด้านโน้น”
สีเสียงบ่นพึมพำแสดงความไม่พอใจดังขึ้น
“ทำไมพวกเราต้องแก้ผ้าด้วยล่ะ สัปดนเป็นบ้าเลย”
“เงียบเดี๋ยวนี้นะ ถ้าพวกแกไม่ต้องการถูกตีจนยับคามือ
ก็จงหุบปากอยู่เงียบๆ”นายทหารผู้นั้นตะโกนก้อง
ล่ามได้แปลคำสั่งเหล่านี้เป็นภาษาต่างๆทุกภาษา
“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จะต้องไม่ลืมว่าพวกแกเป็นนักโทษ” มีเสียงฮือฮาดังขึ้นอีก
ผู้คนต่างวิพากษ์วิจารณ์ พร้อมทั้งประณามการกระทำดังกล่าว
“เงียบ หากใครไม่อยากตาย” นี้คือคำประกาศิต
ผู้คุมยี่สิบสี่คนซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการเปลื้องผ้าก็ได้เริ่มปฏิบัติงานทันที
เมื่อถึงตอนนี้เราหมดความสงสัยใดๆทั้งสิ้น
เข้าใจแน่ชัดว่าถูกหลอกมาตลอด
กระเป๋าเดินทางที่เราทิ้งไว้ที่สถานีรถไฟก็หายสาบสูญไปแล้ว ทหารเยอรมันยึดทุกสิ่งทุกอย่างไป
แม้แต่ของที่ระลึกชิ้นเล็กๆที่เราเก็บไว้เพื่อเตือนความทรงจำในอดีต
สำหรับดิฉันเองสิ่งที่ทำให้เสียใจมากที่สุดก็คือ
ต้องสูญเสียสิ่งของของคนที่ดิฉันรักและนับถือไปหมดสิ้น
แล้วชั่วโมงอันแสนน่าละอายแทบแทรกแผ่นดินหนีก็เริ่มขึ้น
ในตอนเริ่มเปลื้องผ้า พวกเราเกิดความละอายใจไปตามๆกัน
ก่อนที่จะเดินทางมาค่ายกักกันแห่งนี้ เราหลายคนที่เป็นนายแพทย์และภรรยานายแพทย์
ได้แจกยาพิษชนิดแคปซูลให้กันไว้ใช้ในกรณีจำเป็น ทำไมหรือคะ? ก็เพราะเราคิดว่าหากต้องตกอยู่ในสภาพที่ทารุณโหดร้ายสุดจะทนได้
ก็จะใช้ยาพิษที่เตรียมมานี้ทำลายชีวิตตนเองทันที แม้ว่าดิฉันจะเป็นคนมองโลกในแง่ดี
แต่ในช่วงที่เราจะจากกันนั้น ดิฉันได้นำยาพิษฆ่าตัวตายนั้นติดตัวมาด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ดิฉันจึงยังพอมีความอุ่นใจอยู่บ้างงว่า ตัวเองยังมีสิ่งที่จะช่วยทำลายชีวิตเพื่อหนีไปจากความทุกข์ทรมานใจ
อย่างไรก็ตามเมื่อทหารเยอรมันสั่งให้ถอดเสื้อผ้าและมอบสิ่งของทุกชิ้นให้แก่พวกเขา
นั่นย่อมหมายถึงแคปซูลยาพิษที่เราเตรียมมาก็จะต้องถูกยึดไปด้วยเช่นกัน
ทันใดนั้นเอง แพทย์หญิงจี ชาวฮังการเรียน
ได้ดึงเข็มฉีดมอร์ฟีนออกมาเพื่อฉีดฆ่าตัวตาย แต่ฉีดได้ไม่ถนัดมือ
เธอจึงตัดสินใจดื่มมอร์ฟีนจากกระบอกฉีดยา แต่พิษของมอร์ฟีนที่ดื่มเข้าไปไม่รุนแรงพอที่จะทำให้เสียชีวิตสมความปรารถนา
เธอล้มลงดิ้นทุรนทุราย สักครู่หนึ่งต่อมาก็ถูกทหารนำตัวออกไป
ดิฉันใช้ความคิดอย่างหนักว่า
ทำอย่างไรตัวเองถึงจะซ่อนยาพิษนั้นเอาไว้ได้
ตอนนั้นเป็นช่วงได้รับคำสั่งให้ไปอาบน้ำ ซึ่งก็ต้องเดินไปยังอีกห้องหนึ่ง โดยเปลืยกายล่อนจ้อน
แต่ก็ยังสวมรองเท้ากันอยู่ แต่ให้กางแขนในขณะที่ทหารเยอรมันทำการตรวจค้นตามตัว โชคยังเข้าข้างดิฉัน
เมื่อได้รับคำลั่งให้ถอดรองเท้า
ผู้ที่สวมรองเท้าเก่าๆจะได้รับอนุญาตให้สวมอยู่ได้ต่อไปโดยไม่ต้องถอด
เพราะทหารเยอรมันกลุ่มนั้นไม่ต้องการรองเท้าเก่าๆที่ไม่มีราคาค่างวดเท่าใดนัก
ดิฉันสวมรองเท้าบู๊ทที่เปรอะไปด้วยโคลนจนดูไม่ได้จึงไม่ต้องถอด
ดิฉันได้รีบซ่อนสิ่งที่มีค่าคือยาพิษไว้ที่รอยตะเข็บผ้าบุของรองเท้าบู๊ทนี่เอง
“ไปยืนพิงกำแพง” นายทหารผู้คุมตะโกนสั่งเสียงดัง
แล้วใช้ไม้กระบองกระหน่ำตีตามร่างกายอันเปลือยเปล่าของพวกเรา
เช่นเดียวกับสภาพที่เคยเห็นผู้คคุมหญิงทำกับนักโทษหญิงเคราะห์ร้ายก่อนหน้านี้ไม่นานนัก
เพื่อนๆบางคนได้พยายามที่จะเก็บเอกสาร เช่นหนังสือสวดมนต์หรือภาพถ่าย
แต่พวกผู้คุมเห็นเสียก่อน จึงจัดการใช้ไม้กระบองปลายหุ้มเหล็กกระหน่ำตี
บ้างก็จิกผมของหญิงเหล่านั้นดึงจนหน้าหงายล้มลงกับพื้น
“พวกแกไม่จำเป็นต้องมีบัตรประจำตัวหรือภาพถ่ายอีกต่อไป”
ผู้คุมตวาดด้วยน้ำเสียงแสดงถึงอำนาจบาตรใหญ่
ดิฉันไปยืนเข้าแถวด้วยร่างกายเปลือยล่อนจ้อน
มีความรู้สึกละอายและสมเพชตัวเองยิ่งนัก ที่ใกล้ๆเท้าของดิฉันมีเสื้อผ้าของดิฉันวางกองอยู่
มีภาพถ่ายของครอบครัวหล่นทับอยู่ข้างบน ดิฉันมองไปที่ภาพของคนที่ดิฉันรักอีกครั้ง
ก็ดูเหมือนว่าบิดามารดาและบุตรชายสองคนของดิฉันกำลังยิ้มให้
เลยก้มลงหยิบภาพของคนที่ดิฉันรักสอดใส่ไว้ในเสื้อแจ็กเก็ตที่ถอดวางไว้กับพื้นนั้น
เพราะไม่ต้องการให้ครอบครัวแลเห็นภาพที่น่าอดสูใจในครั้งนี้
รอบข้างของดิฉัน เสียงร้องด้วยความตื่นตระหนก เสียงร้องไห้และเสียงคร่ำครวญดังระงมอยู่ทั่วไป
ในท่ามกลางความรู้สึกขมขื่นใจนั้น
ดิฉันก็ฉีกกระโปรงและเครื่องแต่งกายของตนเองเสียยับเยิน
มันอาจเป็นการกระทำที่โง่ๆแต่มันก็ช่วยให้ดิฉันสบายใจยิ่งขึ้น
ที่อย่างน้อยที่สุดเสื้อผ้านี้จะได้ไม่ตกไปเป็นสมบัติของบรรดาเศษมนุษย์ถ่อยสารเลวเหล่านี้
ต่อมาเราถูกบังคับให้ไปรับการตรวจสอบร่างกายอย่างละเอียดตามแบบฉบับของนาซี
คือตรวจที่ปาก ที่ทวารหนักและที่อวัยวะเพศ ซึ่งก็เป็นประสบการณ์ที่มหาโหดและขยะแขยงอีกอย่างหนึ่ง
ต้องไปนอนแผ่หลาอยู่บนโต๊ะในสภาพเปลือยกายเพื่อให้พวกเขาตรวจ
และการตรวจนี้ก็กระทำต่อหน้าบรรดาทหารขี้เมา ซึ่งหัวเราะครื้นเครงอยู่รอบๆ
เมื่อได้รับการตรวจเสร็จเรีบร้อยแล้ว ก็ถูกต้อนเข้าไปอยู่ในห้องเดียวกัน
นั่งรอในห้องนั้นจนกระทั่งได้รับคำสั่งให้ไปอาบน้ำ
เรารู้สึกสั่นสะท้านเพราะความหนาวเย็นบวกกับความอดสูใจ
แม้ว่าจะประสบกับความเหนื่อยอ่อนและความยากลำบากนานัปการ
แต่ท่านผู้อ่านเชื่อไหคะว่า
ผู้หญิงเป็นจำนวนมากยังมีใบหน้าและร่างกายสดสวยงดงามอยู่เหมือนเดิม
หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว
เราก็เดินไปที่โต๊ะอีกตัวหนึ่งซึ่งมีบรรดาทหารเยอรมันนั่งอยู่
จากนั้นก็ถูกผลักเข้าไปยังอีกห้องหนึ่ง
ที่มีชายหญิงถือกรรไกรและปัตตาเลียนรอคอยอยู่
เราถูกกร้อนผมจนสั้นเกรียนติดหนังศีรษะ
ผมที่ถูกตัดกองไว้พะเนินเทินทึกนี้ก็เพื่อจะนำไปใช้เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง
คือผมมนุษย์นี้เป็นวัตถุดิบที่มีค่าอย่างหนึ่งที่อุตสาหกรรมในประเทศเยอรมันต้องการ
โดยพวกเยอรมันจะใช้ผมส่วนหนึ่งไปยัดหมอนและฟูก
ดังนั้นพวกเขาจึงนอนอยู่บนผมของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อเคราะห์ร้าย
มีผู้หญิงไม่กี่คนที่โชคดีถูกตัดผมด้วยปัตตาเลียน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะถูกกร้อนด้วยกรรไกร
โดยนักตัดผมจำเป็นที่ไม่ใช่มืออาชีพ และตัดกันอย่างเร่งรีบ
ทำให้มีผมเหลืออยู่เป็นหย่อมๆเหมือนกับจะจงใจทำให้กลายเป็นตัวตลก
ก่อนที่จะถึงคิวดิฉัน
นายทหารเยอรมันผู้หนึ่งได้คัดตัวดิฉันออกจากแถว”ไม่ต้องตัดผมผู้หญิงคนนี้”
เขากล่าวกับผู้คุมคนหนึ่ง แล้วให้ทหารนำตัวดิฉันออกมา
ดิฉันพยายามที่จะวิเคราะห์สถานการณ์ว่า นายทหารคนนนั้นต้องการอะไรจากดิฉัน?และแล้วก็เกิดความกลัวขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ทำไมดิฉันจึงเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ถูกตัดผม? บางทีดิฉันอาจได้รับการปฏิบัติดีกว่าคนอื่นก็ได้
แต่เอ...ไม่น่า...เราไม่อาจคาดหวังว่าจะได้รับความเมตตาปรานีจากศัตรูผู้นี้โดยไม่ต้องเสียอะไร
ดิฉันไม่ต้องการเป็นที่โปรดปรานของใครและต้องการจะอยู่กับเพื่อนๆมากกว่า
เมื่อคิดเช่นนี้จึงได้ละเมิดคำสั่งของนายทหารผู้นั้น โดยได้เดินกลับไปเข้าคิวตัดผมตามเดิม
แต่ในขณะที่ช่างจำเป็นตัดผมให้ดิฉันจวนจะเสร็จอยู่นั้น
นายทหารคนนนั้นก็ได้มาปรากฏตัวยืนมองที่ศีรษะโล้นของดิฉัน เขาโกรธมาก
ได้เดินรี่เข้ามาตบหน้าของดิฉันอย่างแรง
เสร็จแล้วได้คาดโทษผู้คุมและออกคำสั่งให้ใช้แส้เฆี่ยนดิฉันสองสามครั้ง
นับว่าเป็นครั้งแรกที่ดิฉันถูกเฆี่ยนตีในค่ายกักกัน
การเฆี่ยนตีแต่ละครั้งสร้างความเจ็บปวดใจไม่แพ้ความเจ็บปวดกายเลย เราได้สูญสิ้นวิญญาณไปเสียแล้ว ข้าแต่พระเจ้า
พระองค์ไปประทับอยู่ ณ หนไหนเล่า?
ดิฉันตกอยู่ในสภาวะมึนงงจนไม่ยี่หระต่อกระบองหรือแส้อีกต่อไป อยู่ในห้องตัดผมจนกระทั่งทุกคนตัดเสร็จ
แต่ใจสิกลับคิดถึงแต่รองเท้าบู๊ทและยาพิษที่ซ่อนไว้ในรอยตะเข็บ
ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะช่วยให้มีกำลังใจขึ้นมาได้บ้าง
นอกจากความคิดและความหวังว่าตนเองยังมียาพิษอยู่นี้เท่านั้น
เมื่อกรรมวิธีตรวจค้นสิ้นสุดลงแล้ว เราก็ถูกต้อนเข้าไปในห้องน้ำ
แล้วผลัดกันเข้าอาบน้ำร้อนจากก๊อกซึ่งมีน้ำไหลออกมาเพียงไม่กี่หยด
ทุกคนอาบคนละไม่เกินหนึ่งนาที
จากนั้นเราก็ถูกโรยด้วยผงยาฆ่าเชื้อโรคตามศีรษะและส่วนต่างๆของร่างกายจนเปรอะเปื้อนไปหมด
ขณะที่ตัวยังเปียกๆอยู่นั้นเอง ก็ถูกนำตัวเข้าไปยังห้องที่สาม
ซึ่งมีหน้าต่างและประตูเปิดไว้กว้างๆ แน่นอนที่สุด
ขณะนี้เราเหมือนกับลูกไก่อยู่ในกำมือของเขาแล้ว
ชีวิตของเราจึงไม่มีความหมายอะไรแก่ใครๆเลยแม้แต่น้อย
ที่ห้องนี้เอง เราได้รับแจกเสื้อผ้าชุดนักโทษ
ส่วนชุดชั้นในที่เราได้รับแจกดูพิกลๆอยู่ คิดไม่ออกว่าจะเรียกมัรอย่างไรดี
เราต่างดูกันไม่ออกว่ามันคืออะไรกันแน่ จะสีขาวก็ไม่ใช่ หรือจะเป็นสีอื่นก็ไม่เชิง
มันขาดกะรุ่งกะริ่ง ไม่ผิดอะไรกับผ้าขี้ริ้ว แต่เราไม่มีทางเลือก เขาให้อย่างไรก็ต้องใส่อย่างนั้น
มีนักโทษไม่กี่คนที่ได้รับแจกชุดขั้นใน ส่วนใหญ่ได้แต่สวมเสื้อผ้าไม่มีชั้นในกัน
ซึ่งโปร่งบางจนเห็นทะลุปรุโปร่งไปหมด น่าเวทนาสิ้นดี
เสื้อผ้าที่ใช้สวมใส่นี้ไม่ผิดอะไรกับที่คนเขาแต่งกันในงานแฟนซีคนบ้า
มีกระโปรงไม่กี่ตัวที่มีลักษณะสมบูรณ์เหมือนกับชุดนักโทษแท้ๆนอกนั้นเป็นชุดเศษผ้า
เดิมทีอาจจะเป็นเครื่องแต่งกายสีสดใสที่ยึดมาจากนักโทษรุ่นก่อนๆ
แต่ขณะนี้มันขาดกะรุ่งกะริ่งไปเสียหมดแล้ว
ไม่มีใครสนใจเลยว่า ชุดผ้าขี้ริ้วเหล่านี้มันจะใส่ได้พอดีกับรูปร่างของตนหรือไม่
ผู้หญิงอ้วนร่างใหญ่จำเป็นส้วมเสื้อผ้าชุดเล็กๆซึ่งสั้นและคับมาก ส่วนผู้หญิงที่มีรูปร่างอรชนอ้อนแอ้นกลับได้สวมเสื้อผ้าตัวใหญ่ๆหลวมๆและดูรุ่มร่ามพิลึก
แม้จะเห็นว่าเสื้อผ้าที่ได้รับแจกมาไม่เข้ากับสัดส่วนของตนเอง
นักโทษก็ไม่มีโอกาสแลกเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน หรือถึงจะแลกเปลี่ยนกันก็ไม่มีทางที่จะดัดแปลงแก้ไขอะไรได้
เพราะอะไรหรือคะ? ก็เพราะเราไม่มีจักรเย็บผ้า กระดุม กรรไกร ด้าย เข็ม
และเข็มหมุดที่จะใช้เป็นอุปกรณ์ในการตัดเย็บเสื้อผ้า
เพื่อให้สะดวกในการแบ่งกลุ่ม
พวกเยอรมันได้ใช้สัญลักษณ์เป็นรูปลูกศรสีแดงขนาดกว้าง 2 นิ้ว ยาว 2 ฟุต
คิดไว้ที่ด้านหลังของเสื้อผ้าแต่ละตัว เราจึงได้ติดเครื่องหมายนี้ไว้
ดูราวกับนักโทษชั้นต่ำที่ด้อยศักดิ์ศรีเสียเหลือเกิน
ส่วนเสื้อผ้าที่ดิฉันได้รับแจกเป็นกระโปรงแพร
ซึ่งเมื่อก่อนมันคงจะหรูหราพอดู แต่เดี๋ยวนี้มันขาดวิ่นคจนไม่มีชิ้นดี
ซ้ำไม่มีซับในเสียอีกด้วย แต่ก็ยังโชคดีที่ได้รับแจกกางเกงในผู้ชายมาตัวหนึ่ง
เพื่อใช้แทนซับใน กระโปรงชุดนี้ข้างหน้าขาดจนถึงระดับสะดือ
ส่วนหลังก็ขาดเป็นทางยาวจนถึงสะโพก
แม้จะเป็นยามทุกข์โศก แต่เราก็อดที่จะหัวเราะด้วยความขบขันไม่ได้
เมื่อเห็นคนอื่นๆอยู่ในชุดขาดกะรุ่งกะริ่งราวกับตัวตลกเช่นนั้น
เราต้องใช้เวลานานกว่าจะชินกับความน่าเกลียดที่เรารู้สึกต่อตนเองและคนอื่น
เมื่อแต่งตัวเสร็จ
เราก็ถูกต้อนให้ไปเข้าแถวอยู่ตรงหน้าอาคารที่ใช้เป็นที่อาบน้ำ ต้องยืนรอคอยอยู่อย่างนั้นหลายชั่วโมง
อากาศหนาวเหน็บ ฟ้ามืดครึ้ม ลงพัดแรง เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็แถมเปียกชื้น
ทุกคนต่างได้รับความทุกข์ทรมานไปตามๆกัน
ในไม่ช้าหลายคนก็มีอาการของโรคปอดอักเสบบ้าง
โรคเยื่อหุ้มสมองหรือไขสันหลังอักเสบบ้าง บางรายมีอาการหนักมาก
ดิฉันทราบจากนักโทษหญิงสูงอายุว่า บริเวณค่ายกักกันแห่งนี้อยู่ห่างจากเมือง
กราโกว์ ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 40 ไมล์ สถานที่นี้เรียกว่า เบอร์เคเนา อยู่ใกล้ๆกับป่า เบอร์เคนวัลด์ เบอร์เคเนาอยู่ห่างจากหมู่บ้านและค่ายเอาส์สวิตช์ หรือที่เรียกว่าออสวีซิม ไปประมาณ 5 ไมล์ และอยู่ห่างจากนิวเบรัน
8 ไมล์
ในที่สุดพวกเราก็เดินเท้าเปล่าผ่านป่าที่หนาทึบ
นอกเขตป่านี้ออกไปมีอาคารทำด้วยอิฐสีแดงอยู่หลังหนึ่ง
มองเห็นเปลวไฟพ่นออกมาจากปล่องไฟของอาคารหลังนั้นได้อย่างชัดเจน
ที่ประหลาดยิ่งกว่านั้น กลิ่นเหม็นแทบจะอาเจียนที่โชยมาต้อนรับเราตั้งแต่แรกเดินทางมาถึงนั้น
บัดนี้กลิ่นนั้นมาปะทะจมูกของเรารุนแรงยิ่งขึ้น
มีกองฟืนกองสูงใหญ่กองพิงกำแพงห่างจากอาคารหลังนั้นประมาณร้อยหลา
เราหันไปถามนักโทษหญิงสูงอายุผู้หนึ่งว่า อาคารที่เห็นนั้นคืออะไร?
“ค่ายโรงงานทำขนมปัง” หญิงคนนั้นตอบหน้าตาเฉย
ในตอนแรกเราต่างเข้าใจว่าเป็นความจริง
โดยไม่มีใครเคลือบแคลงสงสัยเลยแม้แต่น้อย ถ้าหญิงคนนั้นบอกความจริง
เราก็คงไม่เชื่อเป็นแน่ว่า
โรงงานทำขนมปังซึ่งปล่อยกลิ่นเหม็นแทบจะอาเจียนออกมานั้น ที่แท้จริงแล้วก็คือที่เผาศพเด็ก
คนชราและคนป่วย และในที่สุดมันก็ได้เป็นที่เผาศพของพวกเราด้วยเช่นกัน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น