Ads

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 2 ถึงค่ายกักกัน




ทุกวันนี้เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนเดินทางไปถึงค่ายกักกันคราใด ดิฉันจะมองเห็นภาพของตู้รถไฟที่โดยสารนั้นไม่ผิดอะไรกับโลงศพที่วางเรียงรายต่อกันเป็นแนวยาวเหยียด ส่วนรถไฟขบวนนั้นก็มีลักษณะไม่ผิดกับรถไฟขนศพ พวกทหารหน่วนเอสเอสกับพวกตำรวจลับเกสตาโปก็ไม่ผิดอะไรกับพวกสัปเหร่อ ส่วนพวกที่ปอกลอกรับเอาทรัพย์สินของเราไปในระหว่างการเดินทางก็เปรียบได้กับพวกทายาทที่ละโมบในกองมรดกจนไม่สามารถรอคอยให้เจ้าของมรดกตายไปเสียก่อน

เมื่อไปถึงค่ายกักกันเราไม่มีความรู้สึกอย่างอื่นเลยนอกจากความโล่งอกเพราะต่างก็คาดคิดว่าจะต้องมีสิ่งที่ดีกว่าสภาพแออัดในขบวนรถไฟมหาภัยนั้นเป็นแน่ ท่านผู้อ่านลองหลับตานึกภาพดูก็แล้วกันว่า คุกมีล้อวิ่งได้นั้นเป็นอย่างไร? คงไม่มีอะไรอีกแล้วที่น่าขนพองสยองเกล้าเท่ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพวกเรา ไหนจะต้องทนอยู่ในที่มืดมิดแทบจะมองอะไรไม่เห็น ไหนจะต้องทนสูดกลิ่นเหม็นเน่าของซากศพ ไหนจะต้องทนฟังเสียงร้องคร่ำครวญของผู้เจ็บป่วย ไหนจะต้องทนฟังเสียงร้องให้คร่ำครวญของผู้สูญเสียญาติมิตร

เราต่างหวังกันว่าจะได้รับการปล่อยตัวออกจากตู้รถไฟในทันทีที่ไปถึง แต่ความหวังกลับพังทลายสิ้น เราต้องทนลำบากอยู่ในรถไฟต่อไปอีกเป็นคืนที่แปด ซึ่งเป็นคืนที่หฤโหดที่สุดเพราะต้องนอนซ้อนกันเพื่อไม่ให้ร่างกายสัมผัสกับซากศพที่กำลังเน่าเฟะ ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งแสนสะอิดสะเอียน

คืนนั้นไม่มีใครหลับกันเลย ความรู้สึกโล่งอกแต่แรกหายไปจนหมดสิ้น สิ่งเข้ามาแทนที่คือความวิตกกังวลเหมือนกับว่าเป็นลางสังหรณ์เตือนภัยล่วงหน้า

ดิฉันได้พยายามแหวกกลุ่มมนุษย์ซึ่งมีสภาพไม่ผิดอะไรกับฝูงสัตว์ที่อัดแน่นอยู่ในตู้รถไฟเพื่อจะไปโผล่หน้าออกทางหน้าต่างๆซึ่งกว่าจะทำสำเร็จก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก  จากตรงนั้นดิฉันมองเห็นภาพที่ชวนให้ตื่นเต้นตกใจมาขึ้น รอบๆบริเวณด้านนอกมีลวดหนามขึงเต็มไปหมด บางครั้งก็ดูราวกับมันทอแสงเป็นประกายแวววับเมื่อกระทบกับลำแสงของไฟฉายตรวจการณ์ซึ่งสาดส่องมาเป็นพักๆ

ทั่วอาณาบริเวณนั้นมีแสงไฟพอที่จะมองเห็นทุกสิ่งทุอย่างได้ชัดเจน แม้ว่าภาพที่เห็นนั้นจะเป็นสิ่งที่น่าสะพึงกลัว แต่ก็ทำให้เรามีความอบอุ่นใจอยู่บ้าง อย่างน้อยที่สุดเมื่อมีไฟฟ้าใช้อย่างนี้ก็แสดงให้เห็นโดยไม่ต้องสงสัยเลยว่า ที่บริเวณใกล้ๆนี้ต้องมีอารยชนอยู่บ้างอย่างแน่นอน สภาพข้างนอกจึงน่าจะดีกว่าสภาพเหลือทนซึ่งเรากำลังประสบอยู่ในตู้รถไฟนี้เป็นแน่

แต่ยังหรอก ดิฉันยังไม่เข้าใจแจ้มแจ้งถึงสิ่งที่ปราฏในตายสาว่ามันคืออะไรกันแน่?เราอยู่ที่ไหน? ชะตากรรมของเราจะเป็นอย่างไร?เหล่านี้คือข้อสงสัยที่ทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจกันเลย

ในที่สุดดิฉันก็เดินจากบริวณใกล้หน้าต่างกลับมาหาบิดามารดา เพราะเกิดความรู้สึกอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับท่าน
“ยกโทษให้ลูกได้ไหมคะ”ดิฉันพึมพำขณะที่ก้มลงจุมพิตมือของท่าน

“ยกโทษเรื่องอะไร?” มารดาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ลูกไม่ได้ทำอะไรผิดที่พ่อกับแม่จะต้องยกโทษให้นี่นา”

แต่ในสายตาทั้งสองข้างของท่านซีคะ มันเอ่อท้นไปด้วยหยาดน้ำตา ตอนนี้ท่านกำลังคิดอะไรอยู่ในใจนะ

“ลูกยังเป็นคนดีของพ่อแม่อยู่เสมอ” บิดากล่าวเสริมขึ้น

“บางทีเราอาจจะตายกันหมดก็ได้นะลูก” มารดากล่าวด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม”แต่ลูกยังอยู่ในวัยสาวและมีเรี่ยวแรงพอที่จะต่อสู้เพื่อการอยู่รอดได้ ลูกยังสามารถทำประโยชน์ให้แก่ตัวเองและผู้อื่นได้อีกมากมาย”

นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ดิฉันได้มีโอกาสสวมกอดท่านทั้งสองด้วยความอบอุ่นใจ

ในเช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่คนหนึ่งซึ่งในภายหลังทราบว่าเป็นผู้บัญชาการค่ายกักกันนักโทษแห่งนี้ ได้มารับเราเพื่อนำไปควบคุมตัวเอาไว้ เขามากับล่ามอีกคนหนึ่งซึ่งทราบในภายหลังเช่นกันว่าสามารถพูดได้ถึง 9 ภาษา ล่ามคนนี้มีหน้าที่แปลคำสั่งต่างๆเป็นภาษาท้องถิ่นของผู้ที่ถูกเนรเทศมาอยู่ในค่าย เขาได้เตือนเราให้รักษาระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด และให้ทำตามคำสั่งทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น เรายอมทำตามทุกอย่างตามที่เขาบอก เหตุผลหรือคะ? ก็เพราะไม่ต้องการให้เขาปฏิบัติต่อเราเลวร้ายยิ่งไปกว่าสิ่งที่เคยประสบกันมาแล้วนั่นแหละ 

ที่ชานชาลาสถานีรถไฟก็แลเห็นคนกลุ่มหนึ่งอยู่ในชุดนักโทษ เป็นภาพที่ทำให้เกิดความหวาดกลัวขึ้นมาอย่างฉับพลั น เราจะมีสารรูปอดโซผอมมากเช่นพวกเขาไหมนะ นักโทษเหล่านี้ถุกคุมตัวมาที่สถานีรถไฟเพื่อให้มายึดเอากระเป๋าเดินทางของเรา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือให้มายึดสิ่งที่ยังเหลืออยู่ภายหลังจากถูกผู้คุมตามรายทางเก็บภาษีตามแบบของเยอรมันไปแล้วทั้งๆที่ขณะนี้เราแทบไม่มีสมบัติอะไรติดตัวอยู่กันเลย

เราได้รับคำสั่งที่ห้วนและเด็ดขาดว่า”เขาแถวเรียงห้า เร็วๆเข้าสิ”

ทุกคนปฏิบัติตามคำสั่งโดยไปยืนเข้าแถวเรียงห้าซึ่งแยกผู้ชายไว้ข้างหนึ่งและผู้หญิงไว้อีกข้างหนึ่ง ส่วนพวกที่มีอาชีพเป็นแพทย์ถูกแยกให้ไปอยู่ตามแถวต่างๆพร้อมกับกระเป๋าใส่เครื่องมือแพทย์ การทำเช่นนี้ช่วยให้เราเกิดความอบอุ่นใจขึ้นว่า คนป่วยจะได้มีแพทย์คอยให้การดูแลรักษา นอกจากนั้นก็ยังเห็นมีรถพยาบาลอีก 4-5 คันมาจอดอยู่ซึ่งเขาบอกว่ารถพยาบาลเหล่านี้จะช่วยลำเลียงคนป่วยไปรับการรักษา ก็นับว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีขึ้นมากทีเดียว

ไม่มีใครทราบเลยแม้แต่น้อยว่า สิ่งต่างๆเหล่านั้นเป็นการสร้างฉากตบตาหลอกเราและคนที่ถูกเนรเทศทั้งหลายเพื่อไม่ให้ก่อความวุ่นวาย นับว่าเป็นการแสดงละครตบตาที่แนบเนียนมาก จนแทบไม่ต้องอาศัยกองทหารเข้าควบคุม ในช่วงนี้เราไม่ได้เฉลียวใจเลยว่ารถพยาบาลเหล่านั้นเป็นรถลำเลียงคนป่วยไปยังห้องก๊าซพิษ เพื่อทำการสังหารก่อนที่จะนำไปเผาที่เตาเผาศพขนาดใหญ่ภายในค่าย

เพราะกลอุบายอันแยบยลดังกล่าว เราจึงเงียบสงบปล่อยให้ทหารเยอรมันริบทรัพย์สินไปจนหมดตัวและพากันเดินตามกันไปยังโรงฆ่าสัตว์

ขณะที่เราลงมาชุมนุมกันอยู่ที่ชานชาลาสถานีรถไฟนั้น กระเป๋าเดินทางของเราก็ถูกมนุษย์ในชุดนักโทษขนลงจากตู้รถไฟ ส่วนศพของผู้ที่เสียชีวิตในระหว่างการเดินทางก็ถูกลำเลียงลงมาใส่รถบรรทุก ซากศพที่อยู่กับเรามานานหลายวันได้ขึ้นอืดเนาเฟะเป็นที่น่าขยะแขยง มีบางศพเน่าเปื่อยขาดหลุดออกเป็นชิ้นๆส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวลไปทั่ว แมลงวันนับเป็นพันๆตัวมารุมตอมแล้วก็บินมาจับตามเนื้อตัวของพวกเราอยู่เกือบตลอดเวลา มันเป็นภาพที่แสนสกปรกและน่าสมเพชเป็นที่สุด

ในช่วงที่ลงจากตู้รถไฟบรรทุกสัตว์นั้น ดิฉัน คุณแม่และลูกชายถูกแยกออกจากคุณพ่อและสามี เรายืนแยกกัน อยู่ห่างกันหลายร้อยหลา ขณะนี้มีผู้โดยสารลงจากรถไฟประมาณ 4,000-5,000 คน แลดูสับสนวุ่นวายกันไปหมด

เราได้รับคำสั่งให้เดินผ่านหน้ากลุ่มนายทหารเอสเอสประมาณ 30 คน รวมทั้งหัวหน้าค่ายกักกันและเจ้าหน้าที่อื่นๆ จากนั้นเขาก็ได้ทำการคัดเลือกโดยแยกส่วนหนึ่งไปทางซ้ายมือ อีกส่วนหนึ่งไปยังขวามือ นั่นเป็น”การคัดเลือก”ครั้งแรก เป็นกระบวนการเลือกคนไปเข้าเตาเผาศพ โดยไม่มีใครคาดฝันมาก่อนว่า ตัวเองจะต้องมาประสบกับชะตากรรมที่เหี้ยมโหดที่สุดเช่นนี้

พวกเด็กๆกับคนชราได้รับคำสั่งให้”ไปอยู่ทางซ้าย” ในช่วงที่เราจะพรากจากกันนั้นเอง ก็มีเสียงตะกนร้องเซ็งแซ่อย่างน่าเวทนาของพวกเด็กๆ

“แม่...แม่จ๋า...แม่อยู่ไหน?

“พ่อ ช่วยด้วยๆๆๆ”

“แม่ อย่าไปๆๆๆ”

เสียงนั้นยังก้องอยู่ในโสตประสาทของดิฉันแม้กระทั่งทุกวันนี้ แต่ผู้คุมหน่วยเอสเอสไม่ได้แสดงความสนใจในเสียงวิงวอนของเด็กเหล่านั้นแม้แต่น้อย ผู้ที่พยายามขัดขืนไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือคนชรา ได้ถูกพวกหน่วยเอสเอสใช้กระบองทุบตีอย่างไร้ความปรานี เมื่อทนความเจ็บปวดจากการถูกทุบตีไม่ไหว ผู้ที่ขัดขืนเหล่านั้นก็ได้กลับมาเข้าแถวอีกครั้ง โดยแยกเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มซ้ายและกลุ่มขวา

นายทหารหน่วยเอสเอสคนหนึ่งอธิบายให้เราฟังว่า ที่แยกคนชราไปไว้กับพวกเด็กๆนั้นก็เพื่อจะให้คนชราไปคอยดูแลพวกเด็กๆ ในตอนแรกดิฉันเชื่อทหารคนนี้ โดยสรุปเอาเองว่า ผู้ใหญ่ที่มีร่างกายแข็งแรงจะต้องไปทำงาน ส่วนคนชราและเด็กๆจะได้รับการเลี้ยงดูโดยไม่ต้องไปทำงาน

เมื่อถึงคราวที่กลุ่มเราถูกเรียกตัว ดิฉัน คุณแม่และลูกชายทั้งสองคนได้ก้าวไปยืนอยู่เบื้องหน้าของ”ผู้คัดเลือก” ในช่วงนี้เองที่ดิฉันได้ทำผิดอย่างมหันต์เป็นคำรบสอง ผู้คัดเลือกได้โบกมือบอกให้ดิฉันกับคุณแม่ไปอยู่ในกลุ่มของผู้ใหญ่ และเขาได้จัดแยกเอาโธมัสลูกชายคนเล็กของดิฉันไปอยู่ในกลุ่มเด็กและคนชรา ผู้คัดเลือกเกิดความลังเลใจในการตัดเลือกอาร์วัดลูกชายคนโตของดิฉันไปเข้ากลุ่ม

ดิฉันใจเต้นระทึกเพราะกลัวพวกทหารเอสเอสจะไม่จัดให้ลูกเข้าอยู่ในกลุ่มของเด็กและคนชรา เจ้าหน้าที่ผู้คัดเลือกคนนี้เป็นคนร่างใหญ่ผิวคล้ำสวมแว่นตาดำ ทำทีท่าว่าพยายามจะทำอะไรให้มันถูกต้องและยุติธรรมเป็นการบังหน้า ต่อมาดิฉันทราบภายหลังว่าเขาชื่อ นายแพทย์ ฟริตซ์ คลีน ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้คัดเลือกนักโทษรุ่นนี้

“เด็กคนนี้เห็นจะมีอายุเกินสิบสองปีแล้วซีนะ?” เขาหันมาปรารภกับดิฉันถึงอาร์วัด

ดิฉันรีบตอบไปว่า อาร์วัดอายุยังไม่ถึงสิบสองปี ที่ดิฉันพูดกับเขาเช่นนั้นเป็นความสัตย์ เพราะอาร์วัดอายุยังไม่ถึงสิบสองปีจริงๆแต่แกเป็นเด็กที่โตเกินอายุ ที่พูดเช่นนี้ไปก็เพราะต้องการไม่ให้แกต้องลำบากลำบนทำงานเช่นเดียวกับผู้ใหญ่

“เอาๆตกลง” นายคลีนตอบตกลง ชี้มือไปทางอาร์วัด ออกคำสั่ง”ไปทางซ้ายไอ้หนู”

ต่อมาดิฉันได้แนะนำคุณแม่ให้ติดตามไปคอยดูแลพวกเด็กๆเพราะคิดว่าอายุปูนนี้แล้วควรจะมีสิทธิ์ได้รับการปฏิบัติเยี่ยงคนชรา ยิ่งไปกว่านั้นคุณแม่ก็จะได้มีโอกาสคอยดูแลอาร์วัดกับโธมัสได้อีกด้วย

“ได้โปรดเถอะค่ะ คุณแม่ของดิฉันต้องการไปอยู่กับพวกเด็กๆค่ะ”ดิฉันกล่วกับนายคลีน

“ได้ๆ”นายคลีนตอบ”พวกคุณทุกคนจะได้ไปอยู่ในค่ายกักกันแห่งเดียวกัน”

“และอีกไม่กี่สัปดาห์พวกคุณจะได้ไปอยู่ร่วมกัน”เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งกล่าวเสริมขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วตะโกนเรียกคนอื่นๆให้เข้าไปหาเป็นรายต่อไป

ดิฉันหารู้ไม่ว่า การที่ช่วยให้อาร์วัดกับคุณแม่ไม่ต้องไปทำงานหนักนั้น ก็เท่ากับว่าได้ส่งคนทั้งสองไปตายร่วมกับโธมัสในห้องก๊าซพิษ กล่าวเช่นนี้ท่านผู้อ่านคงเข้าใจนะคะ

แล้วเราก็ถูกคุมตัวออกจากสถานีรถไฟไปขึ้นรถยนต์แล่นไปตามถนนที่รับการซ่อมแซมเป็นอย่างดี ขณะนั้นเป็นช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ประเทศในยุโรปอากาศกำลังหนาว ลมหนาวได้พัดกลิ่นทะแม่งๆอย่างหนึ่งมาปะทะจมูก เป็นกลิ่นคล้ายๆกับกลิ่นเผาศพ แต่ตอนนั้นเราไม่ได้คิดกันเลยว่าจะมีการเผาศพกันในบริเวณนั้นจริงๆ กลิ่นที่ว่านี้โชยมาต้อนรับตั้งแต่วันแรกที่เดินทางไปถึงและ เราก็มักจะได้กลิ่นนี้อยู่เป็นประจำ

สถานที่กักกันแห่งนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลกินเนื้อที่ประมาณ 6-9 ตารางไมล์ ปักเสาปูนซีเมนต์ ขึงลวดหนามไว้ล้อมรอบสองชั้น เสาแต่ละต้นสูงประมาณ 10-20 ฟุต ลำต้นใหญ่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 15 นิ้ว ปักเอาไว้เป็นช่วงๆ ระยะห่งกันประมาณ 4 หลา แต่ละช่วงขึงลวดหนามไว้ 20 แถว ที่ยอดเสาแต่ละต้นติดหลอดไฟฟ้าสว่างไสวเอาไว้ตลอดคืนตลอดวัน ภายในสถานกักกันอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ก็ยังแบ่งออกเป็นค่ายกักกันนักโทษย่อยๆอีกมากมาย ซึ่งแต่ละค่ายติดป้ายชื่อกำกับไว้ด้วย

ค่ายย่อยๆเหล่านี้แยกออกจากันเป็นสัดส่วนโดยการนำดินมาถมทำเป็นเขื่อนกั้นเป็นแนวสูงประมาณ 3-4 ฟุต ที่ยอดเขื่อนเหล่านี้ขึงลวดหนามสามชั้นและปล่อยกระแสไฟฟ้าเอาไว้ด้วย

เมื่อเข้าไปในบริเวณสถานกักกัน ก็ได้เห็นอาคารเรือนไม้เรียงรายอยู่มากมาย แต่ละอาคารมีลวดหนามล้อมรอบเอาไว้ มองดูแล้วไม่ผิดอะรกับกรงขังนักโทษดีๆนี่เอง ที่อาคารหลังหนึ่งผู้ถูกคุมขังไว้ในกรงเป็นนักโทษหญิงสวมเสื้อผ้าขาดวิ่นเหมือนกับผ้าขี้ริ้ว ผมสั้นเกรียน ไม่สวมรองเท้า ผู้หญิงเหล่านี้เป็นชาวยุโรปจากหลายชาติหลายภาษา ซึ่งต่างก็ใช้ภาษาของตนๆตะโกนวิงวอนขอเศษขนมปังหรือไม่ก็เศษผ้ามาปกปิดร่างกายที่แทบจะเปลือยเปล่า

เสียงร้องคร่ำครวญของพวกเขาเล่นเอาพวกเราใจหายไปตามๆกัน

“พวกคุณจะถูกย่ำยี เหมือนกับที่พวกเราหลายคนกำลังประสบกันอยู่”

“พวกคุณจะหนาวและหิวโหยเหมือนกับพวกเรา”

“พวกคุณจะถูกเฆี่ยนตีและทรมานอย่างหนัก....คอยดูๆๆ”

ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงร่างใหญ่แต่งกายดีคนหนึ่ง มาปรากฏตัวอยู่ในท่ามกลางหญิงเหล่านี้ เธอได้ใช้ไม้กระบองขนาดใหญ่กระหน่ำตีทุกคนที่ยืนขวางหน้า

เราแทบจะไม่เชื่อสายตาของตนเอง ผู้หญิงเหล่านี้เป็นใคร?เป็นนักโทษประกอบอาชญากรรมอะไรไว้รึ? ขณะนี้เราอยู่ที่ไหน?
มันเหมือนกับฝันร้ายจริงๆ หรือว่าสถานที่นี้เป็นที่คุมขังคนบ้า? บางทีผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็นผู้คุม กำลังใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดกับพวกคนบ้าเหล่านี้ก็ได้

“แน่นอนทีเดียว”ดิฉันบอกตัวเอง” พวกผู้หญิงเหล่านี้ต้องเป็นคนผิดปกติ ไม่เช่นนั้นพวกเธอคงไม่ถูกแยกออกมาอยู่ต่างหากอย่างนี้”

จะไม่ให้ดิฉันคิดเช่นนี้ได้แอย่างไร เพราะถ้าหากเป็นผู้หญิงสติดีไม่เคยประกอบาชญากรรมอะไรไว้ ก็คงจะไม่ถูกเหยียดหยามดูหมิ่นถึงกับนำตัวมาขังไว้ที่นี่แน่ๆ

ที่สำคัญที่สุดดิฉันไม่ได้คิดว่าตัวเองจะต้องตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับหญิงเหล่านี้เลย

หลังจากคอยอยู่ที่บริเวณหน้าอาคารใหญ่หลังหนึ่งนานราว 2 ชั่วโมงด้วยความกระสับกระส่ายหนาวๆร้อนๆพวกทหารก็มาต้อนเราเข้าไปในตัวอาคาร ซึ่งลักษณะภายในเหมือนกับโรงรถ มีขนาดกว้าง 25-30 ฟุต ยาวประมาณ 100 ฟุต พวกผู้คุมได้ต้อนเราไปรวมกลุ่มแออัดยัดเยียดอยู่ในอาคาร แน่นแทบจะกระดิกตัวไม่ได้ แล้วเขาก็มาปิดประตูใหญ่ทุกๆด้าน

แต่ภายในอาคารยังมีทหารเหลืออยู่ประมาณยี่สิบนาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพวกเมาสุรา เขาจ้องมองพวกเรา แล้วกล่าววาจาเย้ยหยันถากถางต่างๆนานา

นายทหารคนหนึ่งเริ่มออกคำสั่งเฉียบขาดว่า

“ทุกคนแก้ผ้า วางเสื้อผ้าทุกชิ้นไว้ที่นี่ รวมทั้งเอกสาร ของมีค่า ตลอดจนสิ่งต่างๆที่นำติดตัวมาด้วย แล้วไปยืนเข้าแถวติดกำแพงด้านโน้น”

สีเสียงบ่นพึมพำแสดงความไม่พอใจดังขึ้น

“ทำไมพวกเราต้องแก้ผ้าด้วยล่ะ สัปดนเป็นบ้าเลย”

“เงียบเดี๋ยวนี้นะ ถ้าพวกแกไม่ต้องการถูกตีจนยับคามือ ก็จงหุบปากอยู่เงียบๆ”นายทหารผู้นั้นตะโกนก้อง

ล่ามได้แปลคำสั่งเหล่านี้เป็นภาษาต่างๆทุกภาษา

“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จะต้องไม่ลืมว่าพวกแกเป็นนักโทษ” มีเสียงฮือฮาดังขึ้นอีก ผู้คนต่างวิพากษ์วิจารณ์ พร้อมทั้งประณามการกระทำดังกล่าว

“เงียบ หากใครไม่อยากตาย” นี้คือคำประกาศิต ผู้คุมยี่สิบสี่คนซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการเปลื้องผ้าก็ได้เริ่มปฏิบัติงานทันที
เมื่อถึงตอนนี้เราหมดความสงสัยใดๆทั้งสิ้น เข้าใจแน่ชัดว่าถูกหลอกมาตลอด กระเป๋าเดินทางที่เราทิ้งไว้ที่สถานีรถไฟก็หายสาบสูญไปแล้ว ทหารเยอรมันยึดทุกสิ่งทุกอย่างไป แม้แต่ของที่ระลึกชิ้นเล็กๆที่เราเก็บไว้เพื่อเตือนความทรงจำในอดีต สำหรับดิฉันเองสิ่งที่ทำให้เสียใจมากที่สุดก็คือ ต้องสูญเสียสิ่งของของคนที่ดิฉันรักและนับถือไปหมดสิ้น แล้วชั่วโมงอันแสนน่าละอายแทบแทรกแผ่นดินหนีก็เริ่มขึ้น

ในตอนเริ่มเปลื้องผ้า พวกเราเกิดความละอายใจไปตามๆกัน ก่อนที่จะเดินทางมาค่ายกักกันแห่งนี้ เราหลายคนที่เป็นนายแพทย์และภรรยานายแพทย์ ได้แจกยาพิษชนิดแคปซูลให้กันไว้ใช้ในกรณีจำเป็น ทำไมหรือคะ? ก็เพราะเราคิดว่าหากต้องตกอยู่ในสภาพที่ทารุณโหดร้ายสุดจะทนได้ ก็จะใช้ยาพิษที่เตรียมมานี้ทำลายชีวิตตนเองทันที แม้ว่าดิฉันจะเป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่ในช่วงที่เราจะจากกันนั้น ดิฉันได้นำยาพิษฆ่าตัวตายนั้นติดตัวมาด้วยเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ดิฉันจึงยังพอมีความอุ่นใจอยู่บ้างงว่า ตัวเองยังมีสิ่งที่จะช่วยทำลายชีวิตเพื่อหนีไปจากความทุกข์ทรมานใจ อย่างไรก็ตามเมื่อทหารเยอรมันสั่งให้ถอดเสื้อผ้าและมอบสิ่งของทุกชิ้นให้แก่พวกเขา นั่นย่อมหมายถึงแคปซูลยาพิษที่เราเตรียมมาก็จะต้องถูกยึดไปด้วยเช่นกัน

ทันใดนั้นเอง แพทย์หญิงจี ชาวฮังการเรียน ได้ดึงเข็มฉีดมอร์ฟีนออกมาเพื่อฉีดฆ่าตัวตาย แต่ฉีดได้ไม่ถนัดมือ เธอจึงตัดสินใจดื่มมอร์ฟีนจากกระบอกฉีดยา แต่พิษของมอร์ฟีนที่ดื่มเข้าไปไม่รุนแรงพอที่จะทำให้เสียชีวิตสมความปรารถนา เธอล้มลงดิ้นทุรนทุราย สักครู่หนึ่งต่อมาก็ถูกทหารนำตัวออกไป

ดิฉันใช้ความคิดอย่างหนักว่า ทำอย่างไรตัวเองถึงจะซ่อนยาพิษนั้นเอาไว้ได้ ตอนนั้นเป็นช่วงได้รับคำสั่งให้ไปอาบน้ำ ซึ่งก็ต้องเดินไปยังอีกห้องหนึ่ง โดยเปลืยกายล่อนจ้อน แต่ก็ยังสวมรองเท้ากันอยู่ แต่ให้กางแขนในขณะที่ทหารเยอรมันทำการตรวจค้นตามตัว โชคยังเข้าข้างดิฉัน เมื่อได้รับคำลั่งให้ถอดรองเท้า ผู้ที่สวมรองเท้าเก่าๆจะได้รับอนุญาตให้สวมอยู่ได้ต่อไปโดยไม่ต้องถอด เพราะทหารเยอรมันกลุ่มนั้นไม่ต้องการรองเท้าเก่าๆที่ไม่มีราคาค่างวดเท่าใดนัก

ดิฉันสวมรองเท้าบู๊ทที่เปรอะไปด้วยโคลนจนดูไม่ได้จึงไม่ต้องถอด ดิฉันได้รีบซ่อนสิ่งที่มีค่าคือยาพิษไว้ที่รอยตะเข็บผ้าบุของรองเท้าบู๊ทนี่เอง

“ไปยืนพิงกำแพง” นายทหารผู้คุมตะโกนสั่งเสียงดัง แล้วใช้ไม้กระบองกระหน่ำตีตามร่างกายอันเปลือยเปล่าของพวกเรา เช่นเดียวกับสภาพที่เคยเห็นผู้คคุมหญิงทำกับนักโทษหญิงเคราะห์ร้ายก่อนหน้านี้ไม่นานนัก

เพื่อนๆบางคนได้พยายามที่จะเก็บเอกสาร เช่นหนังสือสวดมนต์หรือภาพถ่าย แต่พวกผู้คุมเห็นเสียก่อน จึงจัดการใช้ไม้กระบองปลายหุ้มเหล็กกระหน่ำตี บ้างก็จิกผมของหญิงเหล่านั้นดึงจนหน้าหงายล้มลงกับพื้น

“พวกแกไม่จำเป็นต้องมีบัตรประจำตัวหรือภาพถ่ายอีกต่อไป” ผู้คุมตวาดด้วยน้ำเสียงแสดงถึงอำนาจบาตรใหญ่

ดิฉันไปยืนเข้าแถวด้วยร่างกายเปลือยล่อนจ้อน มีความรู้สึกละอายและสมเพชตัวเองยิ่งนัก ที่ใกล้ๆเท้าของดิฉันมีเสื้อผ้าของดิฉันวางกองอยู่ มีภาพถ่ายของครอบครัวหล่นทับอยู่ข้างบน ดิฉันมองไปที่ภาพของคนที่ดิฉันรักอีกครั้ง ก็ดูเหมือนว่าบิดามารดาและบุตรชายสองคนของดิฉันกำลังยิ้มให้ เลยก้มลงหยิบภาพของคนที่ดิฉันรักสอดใส่ไว้ในเสื้อแจ็กเก็ตที่ถอดวางไว้กับพื้นนั้น เพราะไม่ต้องการให้ครอบครัวแลเห็นภาพที่น่าอดสูใจในครั้งนี้

รอบข้างของดิฉัน เสียงร้องด้วยความตื่นตระหนก เสียงร้องไห้และเสียงคร่ำครวญดังระงมอยู่ทั่วไป ในท่ามกลางความรู้สึกขมขื่นใจนั้น ดิฉันก็ฉีกกระโปรงและเครื่องแต่งกายของตนเองเสียยับเยิน มันอาจเป็นการกระทำที่โง่ๆแต่มันก็ช่วยให้ดิฉันสบายใจยิ่งขึ้น ที่อย่างน้อยที่สุดเสื้อผ้านี้จะได้ไม่ตกไปเป็นสมบัติของบรรดาเศษมนุษย์ถ่อยสารเลวเหล่านี้

ต่อมาเราถูกบังคับให้ไปรับการตรวจสอบร่างกายอย่างละเอียดตามแบบฉบับของนาซี คือตรวจที่ปาก ที่ทวารหนักและที่อวัยวะเพศ ซึ่งก็เป็นประสบการณ์ที่มหาโหดและขยะแขยงอีกอย่างหนึ่ง ต้องไปนอนแผ่หลาอยู่บนโต๊ะในสภาพเปลือยกายเพื่อให้พวกเขาตรวจ และการตรวจนี้ก็กระทำต่อหน้าบรรดาทหารขี้เมา ซึ่งหัวเราะครื้นเครงอยู่รอบๆ

เมื่อได้รับการตรวจเสร็จเรีบร้อยแล้ว ก็ถูกต้อนเข้าไปอยู่ในห้องเดียวกัน นั่งรอในห้องนั้นจนกระทั่งได้รับคำสั่งให้ไปอาบน้ำ เรารู้สึกสั่นสะท้านเพราะความหนาวเย็นบวกกับความอดสูใจ แม้ว่าจะประสบกับความเหนื่อยอ่อนและความยากลำบากนานัปการ แต่ท่านผู้อ่านเชื่อไหคะว่า ผู้หญิงเป็นจำนวนมากยังมีใบหน้าและร่างกายสดสวยงดงามอยู่เหมือนเดิม

หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว เราก็เดินไปที่โต๊ะอีกตัวหนึ่งซึ่งมีบรรดาทหารเยอรมันนั่งอยู่ จากนั้นก็ถูกผลักเข้าไปยังอีกห้องหนึ่ง ที่มีชายหญิงถือกรรไกรและปัตตาเลียนรอคอยอยู่ เราถูกกร้อนผมจนสั้นเกรียนติดหนังศีรษะ ผมที่ถูกตัดกองไว้พะเนินเทินทึกนี้ก็เพื่อจะนำไปใช้เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง คือผมมนุษย์นี้เป็นวัตถุดิบที่มีค่าอย่างหนึ่งที่อุตสาหกรรมในประเทศเยอรมันต้องการ โดยพวกเยอรมันจะใช้ผมส่วนหนึ่งไปยัดหมอนและฟูก ดังนั้นพวกเขาจึงนอนอยู่บนผมของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อเคราะห์ร้าย

มีผู้หญิงไม่กี่คนที่โชคดีถูกตัดผมด้วยปัตตาเลียน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะถูกกร้อนด้วยกรรไกร โดยนักตัดผมจำเป็นที่ไม่ใช่มืออาชีพ และตัดกันอย่างเร่งรีบ ทำให้มีผมเหลืออยู่เป็นหย่อมๆเหมือนกับจะจงใจทำให้กลายเป็นตัวตลก

ก่อนที่จะถึงคิวดิฉัน นายทหารเยอรมันผู้หนึ่งได้คัดตัวดิฉันออกจากแถว”ไม่ต้องตัดผมผู้หญิงคนนี้” เขากล่าวกับผู้คุมคนหนึ่ง แล้วให้ทหารนำตัวดิฉันออกมา

ดิฉันพยายามที่จะวิเคราะห์สถานการณ์ว่า นายทหารคนนนั้นต้องการอะไรจากดิฉัน?และแล้วก็เกิดความกลัวขึ้นมาอย่างฉับพลัน ทำไมดิฉันจึงเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ถูกตัดผม? บางทีดิฉันอาจได้รับการปฏิบัติดีกว่าคนอื่นก็ได้ แต่เอ...ไม่น่า...เราไม่อาจคาดหวังว่าจะได้รับความเมตตาปรานีจากศัตรูผู้นี้โดยไม่ต้องเสียอะไร ดิฉันไม่ต้องการเป็นที่โปรดปรานของใครและต้องการจะอยู่กับเพื่อนๆมากกว่า 

เมื่อคิดเช่นนี้จึงได้ละเมิดคำสั่งของนายทหารผู้นั้น โดยได้เดินกลับไปเข้าคิวตัดผมตามเดิม แต่ในขณะที่ช่างจำเป็นตัดผมให้ดิฉันจวนจะเสร็จอยู่นั้น นายทหารคนนนั้นก็ได้มาปรากฏตัวยืนมองที่ศีรษะโล้นของดิฉัน เขาโกรธมาก ได้เดินรี่เข้ามาตบหน้าของดิฉันอย่างแรง เสร็จแล้วได้คาดโทษผู้คุมและออกคำสั่งให้ใช้แส้เฆี่ยนดิฉันสองสามครั้ง นับว่าเป็นครั้งแรกที่ดิฉันถูกเฆี่ยนตีในค่ายกักกัน การเฆี่ยนตีแต่ละครั้งสร้างความเจ็บปวดใจไม่แพ้ความเจ็บปวดกายเลย  เราได้สูญสิ้นวิญญาณไปเสียแล้ว ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ไปประทับอยู่ ณ หนไหนเล่า?

ดิฉันตกอยู่ในสภาวะมึนงงจนไม่ยี่หระต่อกระบองหรือแส้อีกต่อไป อยู่ในห้องตัดผมจนกระทั่งทุกคนตัดเสร็จ แต่ใจสิกลับคิดถึงแต่รองเท้าบู๊ทและยาพิษที่ซ่อนไว้ในรอยตะเข็บ ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะช่วยให้มีกำลังใจขึ้นมาได้บ้าง นอกจากความคิดและความหวังว่าตนเองยังมียาพิษอยู่นี้เท่านั้น

เมื่อกรรมวิธีตรวจค้นสิ้นสุดลงแล้ว เราก็ถูกต้อนเข้าไปในห้องน้ำ แล้วผลัดกันเข้าอาบน้ำร้อนจากก๊อกซึ่งมีน้ำไหลออกมาเพียงไม่กี่หยด ทุกคนอาบคนละไม่เกินหนึ่งนาที จากนั้นเราก็ถูกโรยด้วยผงยาฆ่าเชื้อโรคตามศีรษะและส่วนต่างๆของร่างกายจนเปรอะเปื้อนไปหมด ขณะที่ตัวยังเปียกๆอยู่นั้นเอง ก็ถูกนำตัวเข้าไปยังห้องที่สาม ซึ่งมีหน้าต่างและประตูเปิดไว้กว้างๆ แน่นอนที่สุด ขณะนี้เราเหมือนกับลูกไก่อยู่ในกำมือของเขาแล้ว ชีวิตของเราจึงไม่มีความหมายอะไรแก่ใครๆเลยแม้แต่น้อย

ที่ห้องนี้เอง เราได้รับแจกเสื้อผ้าชุดนักโทษ ส่วนชุดชั้นในที่เราได้รับแจกดูพิกลๆอยู่ คิดไม่ออกว่าจะเรียกมัรอย่างไรดี เราต่างดูกันไม่ออกว่ามันคืออะไรกันแน่ จะสีขาวก็ไม่ใช่ หรือจะเป็นสีอื่นก็ไม่เชิง มันขาดกะรุ่งกะริ่ง ไม่ผิดอะไรกับผ้าขี้ริ้ว แต่เราไม่มีทางเลือก  เขาให้อย่างไรก็ต้องใส่อย่างนั้น มีนักโทษไม่กี่คนที่ได้รับแจกชุดขั้นใน ส่วนใหญ่ได้แต่สวมเสื้อผ้าไม่มีชั้นในกัน ซึ่งโปร่งบางจนเห็นทะลุปรุโปร่งไปหมด น่าเวทนาสิ้นดี

เสื้อผ้าที่ใช้สวมใส่นี้ไม่ผิดอะไรกับที่คนเขาแต่งกันในงานแฟนซีคนบ้า มีกระโปรงไม่กี่ตัวที่มีลักษณะสมบูรณ์เหมือนกับชุดนักโทษแท้ๆนอกนั้นเป็นชุดเศษผ้า เดิมทีอาจจะเป็นเครื่องแต่งกายสีสดใสที่ยึดมาจากนักโทษรุ่นก่อนๆ แต่ขณะนี้มันขาดกะรุ่งกะริ่งไปเสียหมดแล้ว

ไม่มีใครสนใจเลยว่า ชุดผ้าขี้ริ้วเหล่านี้มันจะใส่ได้พอดีกับรูปร่างของตนหรือไม่ ผู้หญิงอ้วนร่างใหญ่จำเป็นส้วมเสื้อผ้าชุดเล็กๆซึ่งสั้นและคับมาก ส่วนผู้หญิงที่มีรูปร่างอรชนอ้อนแอ้นกลับได้สวมเสื้อผ้าตัวใหญ่ๆหลวมๆและดูรุ่มร่ามพิลึก แม้จะเห็นว่าเสื้อผ้าที่ได้รับแจกมาไม่เข้ากับสัดส่วนของตนเอง นักโทษก็ไม่มีโอกาสแลกเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน หรือถึงจะแลกเปลี่ยนกันก็ไม่มีทางที่จะดัดแปลงแก้ไขอะไรได้ เพราะอะไรหรือคะ? ก็เพราะเราไม่มีจักรเย็บผ้า กระดุม กรรไกร ด้าย เข็ม และเข็มหมุดที่จะใช้เป็นอุปกรณ์ในการตัดเย็บเสื้อผ้า

เพื่อให้สะดวกในการแบ่งกลุ่ม พวกเยอรมันได้ใช้สัญลักษณ์เป็นรูปลูกศรสีแดงขนาดกว้าง 2 นิ้ว ยาว 2 ฟุต คิดไว้ที่ด้านหลังของเสื้อผ้าแต่ละตัว เราจึงได้ติดเครื่องหมายนี้ไว้ ดูราวกับนักโทษชั้นต่ำที่ด้อยศักดิ์ศรีเสียเหลือเกิน
ส่วนเสื้อผ้าที่ดิฉันได้รับแจกเป็นกระโปรงแพร ซึ่งเมื่อก่อนมันคงจะหรูหราพอดู แต่เดี๋ยวนี้มันขาดวิ่นคจนไม่มีชิ้นดี ซ้ำไม่มีซับในเสียอีกด้วย แต่ก็ยังโชคดีที่ได้รับแจกกางเกงในผู้ชายมาตัวหนึ่ง เพื่อใช้แทนซับใน กระโปรงชุดนี้ข้างหน้าขาดจนถึงระดับสะดือ ส่วนหลังก็ขาดเป็นทางยาวจนถึงสะโพก

แม้จะเป็นยามทุกข์โศก แต่เราก็อดที่จะหัวเราะด้วยความขบขันไม่ได้ เมื่อเห็นคนอื่นๆอยู่ในชุดขาดกะรุ่งกะริ่งราวกับตัวตลกเช่นนั้น เราต้องใช้เวลานานกว่าจะชินกับความน่าเกลียดที่เรารู้สึกต่อตนเองและคนอื่น

เมื่อแต่งตัวเสร็จ เราก็ถูกต้อนให้ไปเข้าแถวอยู่ตรงหน้าอาคารที่ใช้เป็นที่อาบน้ำ ต้องยืนรอคอยอยู่อย่างนั้นหลายชั่วโมง อากาศหนาวเหน็บ ฟ้ามืดครึ้ม ลงพัดแรง เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็แถมเปียกชื้น ทุกคนต่างได้รับความทุกข์ทรมานไปตามๆกัน  ในไม่ช้าหลายคนก็มีอาการของโรคปอดอักเสบบ้าง โรคเยื่อหุ้มสมองหรือไขสันหลังอักเสบบ้าง บางรายมีอาการหนักมาก

ดิฉันทราบจากนักโทษหญิงสูงอายุว่า บริเวณค่ายกักกันแห่งนี้อยู่ห่างจากเมือง กราโกว์ ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 40 ไมล์ สถานที่นี้เรียกว่า เบอร์เคเนา  อยู่ใกล้ๆกับป่า เบอร์เคนวัลด์ เบอร์เคเนาอยู่ห่างจากหมู่บ้านและค่ายเอาส์สวิตช์  หรือที่เรียกว่าออสวีซิม ไปประมาณ 5 ไมล์ และอยู่ห่างจากนิวเบรัน 8 ไมล์

ในที่สุดพวกเราก็เดินเท้าเปล่าผ่านป่าที่หนาทึบ นอกเขตป่านี้ออกไปมีอาคารทำด้วยอิฐสีแดงอยู่หลังหนึ่ง มองเห็นเปลวไฟพ่นออกมาจากปล่องไฟของอาคารหลังนั้นได้อย่างชัดเจน ที่ประหลาดยิ่งกว่านั้น กลิ่นเหม็นแทบจะอาเจียนที่โชยมาต้อนรับเราตั้งแต่แรกเดินทางมาถึงนั้น บัดนี้กลิ่นนั้นมาปะทะจมูกของเรารุนแรงยิ่งขึ้น

มีกองฟืนกองสูงใหญ่กองพิงกำแพงห่างจากอาคารหลังนั้นประมาณร้อยหลา เราหันไปถามนักโทษหญิงสูงอายุผู้หนึ่งว่า อาคารที่เห็นนั้นคืออะไร?

“ค่ายโรงงานทำขนมปัง” หญิงคนนั้นตอบหน้าตาเฉย

ในตอนแรกเราต่างเข้าใจว่าเป็นความจริง โดยไม่มีใครเคลือบแคลงสงสัยเลยแม้แต่น้อย ถ้าหญิงคนนั้นบอกความจริง เราก็คงไม่เชื่อเป็นแน่ว่า โรงงานทำขนมปังซึ่งปล่อยกลิ่นเหม็นแทบจะอาเจียนออกมานั้น ที่แท้จริงแล้วก็คือที่เผาศพเด็ก คนชราและคนป่วย และในที่สุดมันก็ได้เป็นที่เผาศพของพวกเราด้วยเช่นกัน.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น