Ads

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 18 ชีวิตส่วนตัวของแพทย์ในค่าย



เป็นเวลากว่า 6 เดือนแล้วที่ดิฉันได้มาพักรวมกับเพื่อนแพทย์หญิงซึ่งมีด้วยกัน 5 คนในห้องเล็กๆห้องหนึ่งของคุกหมายเลข 13

ในหมู่เพื่อนแพทย์ที่อยู่ด้วยกันนี้เห็นจะไม่มีใครน่าสนใจเกินไปกว่าแพทย์หญิงจี.ชาวทรานซิลวาเนีย เธอมีสุขภาพไม่สู้จะแข็งแรงนักซ้ำยังมีนิสัยหยิบหย่งสำสวยมากทีเดียว

เธอแปลกที่ไม่ยอมรับความจริงว่าเดี๋ยวนี้ได้มามีชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิมที่ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปจนหมดสิ้นแล้วแต่เธอก็ยังแสวงหาความสุขเหมือนก่อนที่จะเข้ามาอยู่ในค่าย ซึ่งทุกคนต่างรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้แล้ว

ทุกๆเย็นเธอจะบอกกับพวกเราว่าหัวหน้าคุกเชิญเธอให้ไปร่วมดื่มน้ำชาด้วยและเมื่อกลับมาก็จะพาล่มถึงเหตุการณ์ของการดื่มน้ำชาเสียอย่างเลอเลิศ ราวกับว่ามันเป็นงานเลี้ยงที่แสนจะหรูหราดังเช่นที่เธอเคยผ่านมาก่อนที่สงครามโลกจะเกิดขึ้น

เราทุกคนทราบกันดีว่างานเลี้ยงน้ำชาที่เธอพล่ามมานั้นสภาพจริงมันเป็นอย่างไร ในสถานที่แบบนี้มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ทุกคนซึ่งตกอยู่ในสภาพเดียวกันจะได้ลิ้มรสน้ำชาชั้นดีอย่างที่เธอว่า

 แต่แปลกที่แพทย์หญิงจี.ก็ยังพล่ามถึงความล้ำเลิศและความวิเศษวิโสของมันอยู่ได้ มันเหมือนกับว่าอยู่ในโลกของความฝันที่เธอสร้างมันขึ้นมาเองนั่นแหละ


เพื่อนคนที่ 2 ของดิฉันเป็นหญิงสาวผมสีทองชาวยูโกสลาเวีย แอบอ้างตัวเองว่าเป็นแพทย์แต่ในกลุ่มของเราในโรงพยาบาลรู้กันอยู่เต็มอกว่าความจริงแล้วไม่ใช่แพทย์ อย่างดีที่สุดอาจจะเคยเป็นนักศึกษาแพทย์ปีหนึ่งมาเท่านั้นเอง

จะเป็นแพทย์ได้อย่างไรล่ะคะในเมื่อเธอไม่กล้าแม้แต่จะปิดแผลให้คนไข้ เวลาจะปิดแผลแต่ละครั้งเห็นหวาดกลัวจนมือสั่นและบางครั้งก็มีท่าทางเงอะงะจนพวกเยอรมันเกือบจะจับได้ตั้งหลายครั้งว่าโกหก ซึ่งหากจับได้เมื่อไหร่ก็มีหวังถูกส่งตัวไปเข้าเตาเผาศพเหมือนกับคนอื่นๆที่เคยโกหกพวกเยอรมันว่าตัวเองเป็นแพทย์

เธอจึงเพียรพยายามที่จะหาความรู้โดยการอ่านหนังสือตำราทางการแพทย์ เมื่อใดก็ตามที่หยิบตำราเวชกรรมดีๆขึ้นมาอ่านเธอก็จะอ่านด้วยความตั้งใจอย่างเต็มที่ แทบจะไม่วางหนังสือนั้นเลยทีเดียว

แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่าในค่ายไม่มีตำราทางการแพทย์โดยตรงอยู่เลย จะมีก็เฉพาะหนังสือประเภทข้อแนะนำทางการแพทย์ประจำบ้านเท่านั้น แต่ความรู้พื้นฐานที่เธอมีอยู่ก็ไม่เลวเลยเมื่ออยู่ในสภาพการณ์ที่หาแพทย์ดีๆได้ยากเช่นนี้

ต่อมาเธอได้รับมอบหมายให้ไปอยู่ที่โรงพยาบาลโรคติดต่อซึ่งก็ทำให้เธอลำบากใจมากยิ่งขึ้นเพราะไม่รู้วิธีวินิจฉัยโรค แต่ก็นับว่าแปลกที่เธอต่อมาได้รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าแพทย์ประจำโรงพยาบาลประจำค่ายของเราที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของเธอ

เพื่อนคนที่ 3ของดิฉันชื่อแพทย์หญิงโรสซา เป็นแพทย์ทางกุมารเวชศาสตร์จากประเทศเชโกสโลวะเกีย คนนี้เป็นแพทย์จริงไม่ใช่แพทย์ปลอมเหมือนคนที่ 2 เป็นคนเอาจริงอังและอุทิศแรงกายแรงใจเพื่องานรักษาพยาบาลคนป่วยอย่างแท้จริง เป็นคนร่างเตี้ยหน้าตาขี้ริ้วจนน่าเกลียด อายุประมาณ 55 ปี

 เรามักจะได้ยินเธอพูดถึงคนรักที่ประเทศเชโกสโลวะเกียด้วยความชื่นชมในความเก่งกาจในเชิงบทรักของเขา วันหนึ่งมีเพื่อนของเธอมาหาที่โรงพยาบาลเป็นคนรู้จักคุ้นเคยกับเธอก่อนที่จะมาอยู่ในค่าย เธอผ็นี้กล่าวชมผลงานอันดีเด่นของแพทย์หญิงโรสซาที่เคยทำมาในอดีตให้เราฟังกัน

ในขณะที่แพทย์หญิงโรสซาถูกเรียกตัวออกไปข้างนอกเราจึงฉวยโอกาสตอนนี้แอบกระซิบถามเกี่ยวกับเรื่องรักๆใคร่ๆของแพทย์หญิงโรสซา จึงได้รู้ความจริงว่าแพทย์หญิงโรสซารักเขาข้างเดียว

ชายคนนั้นไม่ได้สนใจแม้แต่จะชายตาให้เธอ ที่เธอคุยโอ้อวดเกี่ยวกับเขานั้นก็เป็นการหาทางออกอย่างหนึ่งของคนมีปมด้อย ซึ่งก็เข้าทำนองเดียวกันกับการฝันเฟื่องของแพทย์หญิงจี.นั่นเอง

สำหรับเพื่อนร่มห้องคนที่ 4 ขอเรียกชื่อเธอว่า”เอส”ก็แล้วกัน เธอเป็นศัลยแพทย์มือหนึ่ง ในอดีตเคยเป็นผู้ช่วยแพทย์เคยทำงานร่วมกับสามีดิฉันมาก่อน

เธอถูกนำตัวมายังค่ายแห่งนี้พร้อมกับน้องสาวอีก 4 คน แพทย์หญิงเอสเป็นพี่สาวตัวอย่างที่รักและเป็นห่วงเป็นใยพวกน้องๆมากเป็นพิเศษ น้องๆอยู่ในค่ายในฐานนักโทษธรรมดา จึงต้องลำบากลำบนในฐานะที่เป็นนักโทษในค่ายกักกันอย่างสมบูรณ์แบบ แพทย์หญิงเอสมีชีวิตอยู่เพื่อน้องทั้ง 4 คน ชะตากรรมของน้องๆจะอยู่ในใจของเธอตลอดเวลา

คนที่ 5 ในกลุ่มของเราเป็นทันตแพทย์ เพิ่งแต่งงานก่อนที่จะถูกเนรเทศมาอยู่ที่นี่ ถูกพรากจากสามีซึ่งเพิ่งแต่งงานมีความสุขอยู่ด้วยกันเพียงไม่กี่วัน

ต่อมาเรามีเพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งชื่อ เบอร์กา เป็นหญิงสาวชาวยูโกสลาเวียวัย 22 ปี เป็นคนไม่เห็นแก่ตัว นิสัยดีมากเท่าที่เคยพบมา จะคอยช่วยเช็ดถูทำความสะอาดห้องของเราเป็นประจำ

เพื่อนร่วมห้องอีกคนหนึ่งชื่อ แพทย์หญิงโอ.มีลักษณะตรงกันข้ามกับแพทย์หญิงจี คนที่ชอบจินตนาการสร้างโลกในฝันให้มันน่าอยู่

แต่แพทย์หญิงโอ.มองทุกสิ่งทุกอย่างในแง่ร้ายกว่าที่เป็นจริง ไม่แน่ใจว่าเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายมาแต่กำเนิดหรือว่าการมาอยู่ในค่ายทำให้เป็นเช่นนี้ไปได้

ในที่สุดเราก็มีแพทย์เพิ่มเป็น 12 คน อยู่ในห้องเล็กๆซึ่งแทบจะไม่มีอากาศหายใจ และอยู่กันด้วยความลำบาก แต่เราก็ยังคิดว่ามันเป็นสวรรค์น้อยๆเมื่อเทียบกับที่แห่งอื่นในค่าย เพราะในห้องนี้มีลักษณะเป็นห้องส่วนตัวมากทีเดียว

เรามักจะอยู่ด้วยกันเสมอ ในตอนกลางคืนก็อยู่ด้วยกันในห้องเล็กๆในคุกหมายเลขที่ 13 ส่วนในตอนกลางวันก็ไปทำงานอยู่ด้วยกันในโรงพยาบาล ต่างรู้จิตใจของกันและกัน ยามสุขก็หัวเราะต่อกระซิกด้วยกันความจริงแล้วเรามีทัศนะแตกต่างกันและมักจะเกิดความขัดแย้งจากสาเหตุเล็กๆน้อยๆอยู่เสมอ

ในห้องพักของเราไม่มีเก้าอี้จะนั่งก็เลยพากันนั่งบนเตียงของแพทย์หญิงจี.และทันตแพทย์หญิง ซึ่งคนทั้งสองนี้บางครั้งก็ทำตัวเป็นแม่บ้านที่เยี่ยมยอดมาก

ในบางครั้งทั้งสองคนก็ร้องไห้เหมือนเด็กๆเมื่อเราไปนั่งบนเตียงนอน แต่ทั้งสองคนก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะโกรธกระฟัดกระเฟียดกับพวกเราอยู่เหมือนกัน

เพราะว่าพวกเราเพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาลที่แต่ละคนไม่เพียงแต่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยมาเท่านั้นแต่ยังอาจติดเชื้อโรคต่างๆจากผู้ป่วยมาอีกด้วย

เป็นที่ประหลาดใจที่ในหมู่พวกเรายังไม่มีใครเคยติดเชื้อคนไข้มาทั้งๆที่ไม่ได้หามาตรการป้องกันจุลินทรีย์ต่างๆมากนัก  มีโรคคันเพียงโรคเดียวที่เป็นกันอยู่บ่อยๆ ดิฉันเองก็เคยไปติดโรคนี้จากตนไข้ในโรงพยาบาลอยู่เสมอและเคยเป็นโรคนี้ถึง 7 ครั้ง

ความทุกข์ทรมานที่เกิดจากโรคคันนี้มันไม่ผิดอะไรกับการถูกทุบตีจากพวกเยอรมัน เวลามันกำเริบขึ้นมาก็แทบจะไม่เป็นอันนอนหรือทำงาน

ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยแผลที่เกิดจากการเกาอย่างไม่หยุดหย่อน เคยพยายามหายามารักษาซึ่งกว่าจะได้ต้องใช้เวลาอยู่นานพอควร


เมื่อได้ยามาแล้วก็ต้องเจอกับปัญหาในการใช้อีกเพราะเพื่อนๆต่างพากันประท้วงไม่ยอมให้ใช้ยานี้ทาในตอนกลางคืน เพราะขี้ผึ้งแก้คันมันมีกลิ่นเหม็นมากทำให้คนที่อยู่ในห้องทนกลิ่นของมันไม่ไหว

การทายารักษาโรคคันนี้เคยเป็นเหตุให้เพื่อนร่วมห้องพักแตกแยกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งไม่ต้องการให้ดิฉันใช้ยานีทาในตอนกลางคืน เนื่องจากกลิ่นเหม็นของมันไปรบกวนการพักผ่อนหลับนอนเป็นอย่างมาก เขาจึงแนะนำให้ดิฉันใช้ยาในตอนกลางวัน เพราะกลิ่นในโรงพยาบาลก็เหม็นอยู่แล้วจึงไม่เป็นที่รบกวนใครเพิ่มขึ้น

แต่อีกกลุ่มหนึ่งก็เห็นใจและสงสารยอมให้ดิฉันทายาในตอนกลางคืนได้ ต่อมาแม็กดาและทันตแพทย์หญิงเกิดอาการคันเช่นเดียวกับดิฉัน ยาชี้ผึ้งที่นำมาทาก็มีกลิ่นเหม็นเช่นเดียวกัน ก็เลยทำให้บรรยากาศในห้องเหม็นคลุ้งยิ่งขึ้น

ทุกๆเช้าจะเกอดการแย่งกันใช้อ่างล้างหน้าเพราะในห้องมีอ่างล้างหน้าอยู่เพียงอ่างเดียว แต่เราอยู่ด้วยกันถึง 12 คน คนที่น่าสงสารที่สุดเห็นจะเป็นเบอร์กาสาวน้อยชาวยูโกสลาเวีย ซึ่งจะมาใช้อ้างนี้เป็นคนสุดท้ายและบางครั้งก็ถึงกับร้องไห้เพราะมีน้ำเหลืออยู่น้อยแทบจะไม่พอดื่ม เรื่องที่จะใช้น้ำล้างหน้าจึงเป็นอันไม่ต้องพูดถึง

เราไม่มีกระจกส่องหน้าใช้กัน ในเวลามีน้ำเราก็จะใช้วิธีมองเงาของตัวเองในน้ำแทนกระจก เราต่างสังเกตเห็นว่าเส้นผมที่เริ่มยาวขึ้นมานั้นมีเส้นสีเทาแซมอยู่ประปรายบ้างแล้ว

เราไม่มีแปรงหรือหวีที่จะใช้หวีผมให้เป็นระเบียบ มันจึงดูกระเซอะกระเซิงไม่ผิดอะไรกับผมของพวกวัยรุ่นที่แต่งตัวประหลาดๆ

แพทย์หญิงจี.ทนมองสภาพอันน่าเกลียดของทรงผมตัวเองไม่ได้ เลยจัดการให้คนไข้ของเธอซึ่งเป็นช่างทำผมและมีหวีติดตัวมาด้วยช่วยจัดการทำผมให้รา แต่เธอก็ไม่ได้ทำให้ฟรีๆเราต้องอดขนมปังคนละ 2 มื้อเพื่อนำมาสมนาคุณแก่ช่างทำผมผู้นี้

ขนคิ้วก็เคยทำให้ดิฉันเกือบจะต้องลำบากในระยะแรกๆที่เข้ามาอยู่ในค่าย คือขนคิ้วของดิฉันมันบางมาตั้งแต่เกิดแต่พวกที่อยู่ในค่ายพากันเข้าใจผิดคิดว่าดิฉันถอนมันทิ้ง เพื่อนนักโทษเคยบอกดิฉันถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้ 


ดิฉันเองก็เคยถูกพวกเยอรมันนำตัวไปเฆี่ยนตีหลายครั้งด้วยเหตุเข้าใจผิดคิดว่าดิฉันถอนขนคิ้วเพื่อการเสริมสวย แต่ในที่สุดพวกเราก็รู้ความจริงว่าดิฉันมีขนคิ้วบางอย่างนี้มาตั้งแต่เกิดเมื่อทุกคนเข้าใจความจริงเลยทำให้ดิฉันสบายใจขึ้น ไม่ต้องวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป

ทุกวันเราอดที่จะพูดถึง”พิงค์ลี”กันไม่ได้ ซึ่งเจ้าพิงค์ลีนั้นก็ไม่ใช่ของวิเศษวิโสอะไรนัก สภาพของมันดูไม่ผิดอะไรกับถุงย่ามขาดๆของพวกขอทาน เราทำทันจากเศษถุงเท้า เศษผ้า ถุงน่องหรือหมวกเก่าโดยนำวัตถุเหล่านี้มามัดติดกันทำเป็นถุงอเนกประสงค์ คือใช้เป็นทั้งกระเป๋าที่เก็บของและสมบัติส่วนตัว

ของทุกชิ่นที่นำมาประกอบเป็นถึงพิงค์ลีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความยากไร้และความขัดสนของชีวิตในค่ายเป็นอย่างดี

ชีวิตในค่ายแห่งนี้นักโทษทุกคนจะพยายามปกปิดความโชคดีของตน เช่นเมื่อมีเนยเทียม ขนมปังหรือแยมเปลือกส้มแม้แต่ช้อนชาเดียว นักโทษคนใดมีหวีที่มีซี่หักเกือบหมดแล้วก็ถือว่าเป็นผู้มั่งคั่งและหากใครมีกระป๋องใบเล็กๆในถุงพิงคลีเพียงใบเดียว ก็อาจทำให้นักโทษอื่นๆเข้าใจว่าผู้นั้นเป็นเศรษฐีผู้มั่งคั่งยิ่งขึ้นไปอีก

ถุงพิงค์ลีถือว่าเป็นของฟุ่มเฟือยซึ่งพวกเยอรมันจะห้ามนักโทษใช้โดยเด็ดขาด ไม่มีที่ใดในค่ายพอที่จะเป็นสถานที่เก็บซ่อนพิงค์ลีได้อย่างปลอดภัย

ระหว่างเข้าแถวรอเรียกชื่อเราก็จะนำมันติดตัวไปด้วยโยซ่อนไว้ในกระโปรง นักโทษคนใดไม่รอบคอบเผลอปล่อยให้ถุงพิงค์ลีหล่นลงมาขณะยืนเข้าแถวรอเรียกชื่อ ก็จะถูกลงโทษอย่างหนักซึ่งอาจถึงตายเลยทีเดียว

ถ้ามีเหตุการณ์ถุงพิงค์ลีหล่นโศกนาฏกรรมก็จะเกิดขึ้นกับผู้เป็นเจ้าของลิงค์ลีโยทั่วถึงกัน เพราะจะมีการตรวจค้นและยึดสมบัติต่างๆที่แสนจะหามาได้ยากไปจนหมดสิ้น

เมื่อเราย้ายมาอยู่ในห้องเล็กๆของคุกหมายเลขที่ 13แห่งนี้แล้ว ปัญหาเรื่องพิงค์ลีก็เป็นอันหมดไปเพราะสามารถซุกซ่อนมันไว้ในที่ปลอดภัยพ้นสายตาผู้มาตรวจค้นได้


เราทุกคนจะนำมันไปซุกซ่อนไว้ในที่ปลอดภัยก่อนที่คนตรวจจะมาถึง แต่ถึงกระนั้นถุงพิงค์ลีก็มักจะไม่ปลอดภัยจากการถูกขโมยโยนักโทษคนอื่นๆขณะที่เราไปทำงานอยู่ในโรงพยาบาล เพราะนักโทษคนอื่นๆอาจจะย่องไปขโมยสมบัติอันล้ำค่าชิ้นนี้ของเราไปได้

แพทย์หญิงจี.และทันตแพทย์หญิงประจำโรงพยาบาลซึ่งเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุด มักบ่นเรื่องถูกมือดีแอบขโมยของอยู่เสมอ

แพทย์หญิงโรสซาเป็นเพียงคนเดียวในกลุ่มของเราที่ไม่เคยถูกขโมยสิ่งใดเลย เพราะเธอไม่มีอะไรเป็นสมบัติส่วนตัวและเธฮเองก็ไม่มีความประสงค์จะสะสมสิ่งใดเป็นสมบัติด้วย

แพทย์หญิงจี.พยายามจะทำโลกแห่งความฝันของเธอเป็นจริงขึ้นมา โดยเธอไปหานักโทษมาไว้เป็นคนใช้ซึ่งปกติผู้กระทำเช่นนี้จะมีก็แต่หัวหน้าคุกเท่านั้น

ทุกๆเช้าก่อนที่แพทย์หญิงจี.จะตื่นนอน หนึ่งในผู้ป่วยของเธอจะเข้ามาขัดรองเท้า ช่วยจัดเสื้อผ้าและจัดเตียงนอนให้เรียบร้อย

แพทย์หญิงจี.มีแม้กระทั่งผ้าคลุมเคียงและเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเรารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเธอเลยจัดการหาผ้าคลุมเตียงมาให้พวกเราอีกคนละผืนแต่สภาพขาดปะปะคุณภาพไม่ดีเหมือนของเธอ

เธอเป็นคนเดียวในกลุ่มของพวกเราที่ไม่เคยซักเสื้อผ้าเองเลย แม้แต่ชุดกันเปื้อนสีขาวก็ให้คนช่วยซักให้ และหัวหน้าคุกก็อนุญาตให้เธอใช้เตารีดรีดชุดกันเปื้อนนี้ได้ด้วย

แพทย์หญิงจี.เป็นคนที่ชอบแต่งตัว มักจะได้ชุดต่างๆมาจากตลาดมืดบ้าง มีคนให้เป็นของขวัญบ้าง ซึ่งเธอจะนำขุดที่หามาได้เหล่านี้มาดัดแปลงแก้ไขให้ดูสวยงามโดยเฉพาะเพื่อใช้ในช่วงที่เราจะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระจากค่ายกักกัน

เมื่อตอนที่ได้ยินเสียงปืนของกองทัพรัสเซียที่กำลังรุกใกล้เข้ามา แพทย์หญิงจี.ก็พูดเปรยๆท่ามกลางความแปลกใจของพวกเราว่า

“นี่พวกเธอ มันถึงเวลาที่ฉันจะให้คนตัดชุดเดินทางให้แล้วนะ”

พวกที่มองโลกในแง่ร้ายก็โต้กลับไปว่า

“นี่คุณหมอที่รัก พวกเขาคงจะไม่ปล่อยให้คุณหมอได้ทันสวมชุดงามๆนั้นหรอก คงจะฆ่าพวกเราเสียก่อนละกระมัง”

“สมมุติว่าเขาไม่ฆ่าฉัน”แพทย์หญิงจี.พูดอย่างช้าๆ

“ฉันอาจจะอยู่กับพวกเขาซะเลย โยไม่ต้องใส่เสื้อผ้าอะไรทั้งสิ้นก็ได้นะ”

พวกเราหัวเราะชอบใจกับความทะลึ่งของเธอ ซึ่งก็ช่วยทำให้ได้สนุกสนานเฮฮาไปได้ชั่วขณะเหมือนกัน

เครื่องแต่งกายของแพทย์หญิงจี.มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมานายแอลสมาชิกของขบวนการใต้ดินได้เอากระดาน 3 แผ่นมาทำเป็นตู้เสื้อผ้าให้พวกเรา แน่นอนตู้เสื้อผ้าใบนี้ถูกครอบครองโดยแพทย์หญิงจี.แต่ผู้เดียว เพราะคนอื่นๆมีเสื้อผ้าเก่าๆกันอยู่ไม่กี่ชิ้น ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ตู้เสื้อผ้าก็ได้

ปกติแล้วนักโทษแต่ละคนได้รับอนุญาตให้มีเสื้อผ้าเพียงคนละชุดเท่านั้น ดังนั้นแพทย์หญิงจี.ผู้มีเสื้อผ้าหลายขุดรู้ตัวว่ากระทำผิดกฎหมายของค่าย ก็จำเป็นต้องหาที่ซุกซ่อนเสื้อผ้าเหล่านั้น

อนิจจา!เธอแทบจะหัวใจวายเมื่อกระโปรงจีบตัวที่งามที่สุดในคลังเสื้อผ้าของเธอถูกมือดีขโมยจากใต้ที่นอนที่เธอนำมาซุกซ่อนไว้

นอกจากนั้นแล้ว ชุดกันฝนสีน้ำเงินที่เธอเตรียมไว้สำหรับการหลบหนีก็ได้หายไปพร้อมกันนั้นด้วย เธอเศร้าเสียใจจนกินไม่ได้ตลอดสันเลยทีเดียว

โยตำแหน่งแล้วแพทย์หญิงจี.เป็นสูตินรีแพทย์ประจำค่าย ส่วนแพทย์หญิงเอส.เป็นศัลยแพทย์ประจำค่าย แต่บางครั้งแพทย์หญิงจี.ได้ทำการผ่าตัดให้แก่คนไข้บางราย จึงทำให้เกิดการขัดแย้งระหว่างแพทย์หญิงทั้งสอง โยแพทย์หญิงเอส.ไม่พอใจที่แพทย์หญิงจี.ทำงานก้าวก่ายหน้าที่

ทั้งสองแพทย์หญิงแข่งขันชิงดีชิงเด่นกันในสิ่งที่ไร้สาระทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำเช่นนี้เลยในเมื่อทุกคนในค่ายต่างก็นอนรอความตายด้วยกันทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตามก็ยังมีนักโทษที่ไม่เห็นแก่ตัวอย่างแท้จริงอยู่บ้างเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น กรณีของสาวผมสีทองชาวโปแลนด์ วันหนึ่งในขณะที่ดิฉันกำลังจะเดินออกจากคุกหมายเลขที่ 26 ยังคุกหมายเลขที่ 13 เนื่องจากได้รับคำสั่งย้ายที่พัก

สาวโปแลนด์คนนี้มายืนที่ประตูเรียกดิฉันกลับพร้อมกับกล่าวว่า

“คุณจะจากเราไปในลักษณะนี้ได้อย่างไร? เราจะจัดเลี้ยงอาหารว่างเพื่อเป็นการอำลาแก่คุณ”

“จัดอาหารเลี้ยงอำลารึ?” ดิฉันถามด้วยความไม่แน่ใจ

“แล้วเราจะได้อะไรมาเป็นอาหารว่างล่ะ”

“เมื่อวานนี้ฉันไปได้ยาสีฟันมาหลอดหนึ่ง เรากินยาสีฟันก็แล้วกันนะ” เธอตอบ

จากนั้นพวกเราทั้งหมดที่นอนอยู่ด้วยกันจึงล้อมวงที่มุมหนึ่งของห้องเอายาสีฟันบีบทาขนมปังรับประทาน คุณผู้อ่านคงคิดว่าพวกเราบ้าใช่ไหมคะ แต่ดิฉันบอกได้ว่าตั้งแต่อยู่ในค่ายเอาส์ชวิตซ์มา ไม่มีอาหารมื้อใดจะอร่อยเท่ากับอาหารในคืนนั้นเลย

แม้ว่าจะมีเรื่องระหองระแหงกันบ้างแต่เราก็รักใคร่เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน บ่อยครั้งที่เราต่างพิสูจน์ให้เห็นว่าแต่ละคนสามารถเสียสละเพื่อเพื่อนๆได้

แต่มีเรื่องหนึ่งที่เพื่อนๆไม่ยอมอภัยให้ดิฉัน มันเกี่ยวกับเรื่องหีบห่อที่ดิฉันมักจะได้รับในขณะที่ทำงานในโรงพยาบาล ซึ่งหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรดิฉันก็ไม่สามารถให้เหตุผลใดๆกับพวกเพื่อนๆได้

เราแบ่งปันทุกอย่างกันแม้แต่สิ่งที่หามาได้ยากลำบากยิ่ง แต่ดิฉันก็ไม่กล้าที่จะเปิดเผยความลับเกี่ยวกับหีบห่อต่างๆที่ได้รับมาจากขบวนการใต้ดินต่อต้านเยอรมันนั้นได้

เมื่อเพื่อนๆซักไซ้ไล่เลียงมากๆก็จะพูดเลี่ยงไปเสียทางอื่น พวกเขาต่างเดาพฤติกรรมของดิฉันไปต่างๆนานา โรสซาเพื่อนรวมเตียงและเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของดิฉันเคยบอกว่าคนอื่นๆพยายามเดาว่าในหีบห่อน่าจะมีของสำคัญอะไรบางอย่างที่เป็นความลับ

ดิฉันไม่กล้าบอกเรื่องนี้แม้กระทั่งแก่โรสซา บางครั้งเมื่อดิฉันยังไม่สามารถส่งกล่องหีบห่อนั้นกลับไปในทันทีทันใด ก็จะเอากล่องนั้นมานอนกอดอยู่ตลอดคืน

โรสซาอาจจะไม่ยอมนอนในคืนนั้นก็ได้ ถ้าหากรู้ว่าในกล่องนั้นคือลูกระเบิด!!

เย็นวันหนึ่งเพื่อนๆทุกคนได้ยืนกรานว่าจะต้องให้ความกระจ่างเกี่ยวกับแขกที่มาหาดิฉันอย่างลับๆล่อๆและสาเหตุที่ดิฉันชอบเดินสำรวจอย่างลับๆไปทั่วค่าย

“คนเหล่านั้นต้องการอะไรจากเธอ และทำไมในขณะที่ทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับงาน เธอมักจะหายหน้าไป” พวกเขาตั้งป้อมถาม

เมื่อดิฉันไม่ยอมบอกอะไรพวกเขาจึงร่วมมือกันประท้วงโยวิธีไม่ยอมพูดด้วยอยู่หลายวัน ยกเว้นเมื่อจำเป็นต้องพูดจริงๆในขณะทำงานในโรงพยาบาลเท่านั้น

อย่างไรก็ดีเมื่อถึงวันเกิดของดิฉันพวกเขาก็ยอมให้อภัยกับการที่ดิฉันปิดปากเงียบโดยได้กลับมาพูดกับดิฉันอีกเพื่อเป็นของขวัญในวันเกิด

นอกจากจะได้รับ”การอภัย” ให้เป็นของขวัญแล้วดิฉันยังได้รับของขวัญวันเกิดอีกชิ้นหนึ่งจากแอล สมาชิกคนสำคัญของขบวนการใต้ดินต่อต้ายเยอรมัน

มันเป็นปรงสีฟันเก่าที่ใช้แล้ว มันคงถูกใช้มานานจนกระทั่งขนแปรงหลุดออกจากปลายข้างหนึ่ง ซึ่งแอลใช้ขนมปัง 3 ชิ้นแลกมันมาจากนักโทษคนหนึ่ง ซึ่งก็ได้ใช้มันมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้วเพื่อนๆต่างก็แสดงความชื่นชมยินดีที่ดิฉันได้สิ่งมีค่าหาได้ยากเช่นนี้เป็นของขวัญในวันเกิด

นอกจากนั้นแล้วดิฉันยังได้แอปเปิ้ลสีเขียวผลหนึ่งเป็นของขวัญวันเกิดจากสมาชิกอีกคนหนึ่งของขบวนการใต้ดิน ซึ่งยังความยินดีปรีดาแก่ดิฉันเป็นอย่างยิ่ง

เพราะมันเป็นแอปเปิ้ลจริงๆที่ดิฉันได้มีโอกาสลิ้มรสเป็นครั้งแรกหลังจากที่ได้มาอยู่ในค่ายแห่งนี้.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น