ดิฉันแทบไม่เชื่อว่าตัวเองมาอยู่ในค่ายเอาส์ชวิตซ์เป็นเวลานานผ่านไปถึงสามสัปดาห์แล้ว
เพราะมันดูราวกับว่าชีวิตตกอยู่ในความฝัน ซึ่งกำลังรอคอยให้ใครสักคนมาช่วยปลุกให้ตื่นจากหลับ
ดิฉันมองจากห้องขังออกไปยังบริเวณภายในคุกก็พบกับภาพที่ไม่น่าชื่นชมอีกเช่นเคย
พวกนักโทษยังคงทะเลาะวิวาทร้องตะโกนด่ากันเซ็งแซ่
บ้างก็ใช้กำลังทำร้ายซึ่งกันและกัน
เสียงคู่คำรามด้วยความอาฆาตแค้นช่างไม่ผิดอะไรกับเสียงสัตว์เลยแม้แต่น้อย
ท่ามกลางเสียงแห่งความวุ่นวายของบรรดาเหล่ามนุษย์ป่าเถื่อนราวกับสัตว์นรกเหล่านี้
ดิฉันก็ได้ยินอีกเสียงหนึ่งสอดแทรกเข้ามาอย่างฉับพลัน
มันเป็นเสียงอ่อนโยนของมนุษย์ที่หาฟังได้ยากยิ่งในค่าย
ดิฉันตื่นจากภวังค์เหลือบตามมองไปทางข้างกรงขัง ก็ได้เห็นชายรูปหล่อนัยน์ตาสีฟ้าคนหนึ่งในชุดเครื่องกายที่ขาดกะรุ่งกะริ่ง
กำลังชะโงกหน้าลงมาจากเตียงชั้นที่สาม
ก็รู้สึกประหลาดใจที่ได้พบผู้ชายรูปร่างสง่าวาม ซึ่งมันไม่น่าจะเป็นไปได้
เพราะคุกแดนนี้เป็นที่คุมขังทักโทษหญิง
อันที่จริงนั้นชายคนนี้เข้ามาซ่อมเตียงตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว แต่ดิฉันนอนขี้เซาไปหน่อยจึงไม่ได้ยินเสียงค้อนตอกตะปูของเขา
เขามองมาที่ดิฉันแล้วกล่าวว่า
“ตื่นเถอะครับ คุณเป็นอะไรไปหรือเปล่า?”
ดิฉันได้แต่จ้องมองจนลืมตอบคำถามนั้น เมื่อเขาปีนลงมาข้างล่าง
จึงได้สำรวจรูปร่างของเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ ก็เห็นเป็นชายร่างสูงใหญ่ นัยน์ตาสีฟ้าเป็นประกายสดใส
แม้ว่าผมจะถูกโกนทิ้งเหมือนกับชายคนอื่นๆแต่ก็ยังพอสังเกตเห็นโคนผมเป็นสีน้ำตาล
รอยยิ้มของเขาทำให้ดิฉันเกิดความสนใจขึ้นมาทันที
เหตุใดในค่ายนี้จึงมีผู้ชายยิ้มอย่างเบิกบานใจเช่นนี้อยู่นะ?
ดิฉันได้พบกับผู้ที่ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อชะตาชีวิต แม้ว่าจะถูกบีบคั้นทางจิตใจอย่างแสนสาหัสเพียงใดก็ตาม
จากการสนทนากันทำให้ได้ทราบว่า
เขาเป็นชาวโปแลนด์ถูกจับมาอยู่ในค่ายกักกันนักโทษแห่งนี้นานกว่า 4
ปีแล้วนับตั้งแต่กรุงวอร์ซอแตก
เขาบอกดิฉันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่าเป็นช่างไม้แต่บางครั้งก็ต้องมาทำงานซ่อมถนน
หลังจากวันนั้นมาเขาก็ยังมาซ่อมเตียงนอนในคุกของดิฉันอยู่เรื่อยๆ
เราได้มีโอกาสสนทนากันบ่อยครั้งขึ้น และก็ได้กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
แต่ละวันดิฉันจะตั้งตารอคอยเขา ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่ว่ารักเขาในฐานะชู้สาวเพียงแต่อยากจะฟังเสียงพูดของเขา
ซึ่งเป็นเสียงมนุษย์เพียงเสียงเดียวที่ดิฉันเคยได้ยินในค่าย ชื่อของเขาคือ ทาเด็ก
ปกติคนงานจะได้รับอนุญาตให้หยุดพักในช่วงบ่ายเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง
มีอยู่วันหนึ่งเวลาประมาณ 11.00
น.ชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้ก็ได้มาชวนดิฉันให้ติดตามเขาไปในช่วงพักตอนกลางวัน
ดิฉันรับคำเชิญด้วยความเต็มใจ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยออกจากคุกไปกับใครแม้แต่ครั้งเดียว
ดิฉันเดินตามเขาไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็ไปถึงที่แห่งหนึ่งซึ่งมีคนงานกำลังปรุงอาหารกันอยู่
ดิฉันพบกับความประหลาดใจเป็นครั้งแรก
เมื่อเพื่อนซึ่งชื่อทาเด็กคนนี้หยิบมันฝรั่งซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากขึ้นมาอวดดิฉัน
2 หัวด้วยกัน ก่อนที่จะนำไปใส่หม้อต้ม ดิฉันจับตามองเขาแทบทุกอิริยาบถ
เขาตักมันฝรั่งที่ต้มสุกแล้วส่งให้ดิฉันรับประทานหัวหนึ่ง
ส่วนเขาเองก็มานั่งอยู่ตรงข้ามกับดิฉันเพื่อรับประทานมันฝรั่งอีกหัวหนึ่ง
นับว่าเป็นครั้งแรกที่ดิฉันมีอาหารตกถึงท้อง ซึ่งก่อนหน้านี้ดิฉันจะคายอาหารทุกอย่างที่ได้รับแจกทิ้ง
ทาเด็กสร้างความประหลาดใจให้แก่ดิฉันอีกครั้ง
เมื่อเขายื่นผ้าคลุมไหล่ให้ดิฉันผืนหนึ่ง พร้อมกับกล่าวว่า
“คุณใช้ผ้าผืนนี้คลุมศีรษะนะครับ
การที่ผู้หญิงศีรษะโล้นเดินไปเดินมาในที่ต่างๆมันน่าเกลียดออกจะตายไป”
ดิฉันมีความตื้นตันใจอยากจะกล่าวขอบคุณแต่ก็ไม่กล้าเปิดปากพูด
เพราะกลัวว่าตัวเองจะร้องไห้ไปเสียก่อน
“ทุกๆวันผมจะแบ่งมันฝรั่งให้คุณ”เขาพูดต่อ”และบางทีผมอาจจะจัดหาอาหารอย่างอื่นรวมทั้งเสื้อผ้าดีๆมาให้คุณอีกด้วยก็ได้”
เขาเข้ามายืนใกล้ๆดิฉันปากก็พึมพำเหมือนกับพูดกับตัวเองว่า
“เป็นเรื่องี่น่าแปลกมากครับ
ถึงแม้ว่าคุณจะไม่มีผมบนศีรษะแม้แต่เส้นเดียว
และแต่งตัวในชุดขาดกะรุ่งกะริ่งอย่างนี้
แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างในตัวคุณที่ผมต้องการมาก”
กล่าวเสร็จเขาก็แสดงบทเจ้าชู้ โยการใช้แขนข้างหนึ่งโอบเอว
ใช้มืออีกข้างหนึ่งมาสัมผัสลูบไล้ที่หน้าอกของดิฉัน
ดิฉันตกใจสุดขีดเพราะไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำเช่นนี้กับดิฉัน
อันที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ดิฉันเคยบอกกับเขาว่ามีสามีและลูกแล้ว
กำลังเศร้าโศกเพราะพลัดพรากจากกัน ทำไมเขาไม่เข้าใจความรู้สึกของดิฉันเลยนะ?
ที่ดิฉันคบกับเขาก็เพียงต้องการเขาไว้เป็นเพื่อนคุยแก้เซ็งเท่านั้น
ไม่ใช่เพราะต้องการเขาไว้เพื่อบำบัดความใคร่แต่อย่างใด
ดิฉันทราบในภายหลังว่าทาเด็กเป็นเสือผู้หญิงประจำค่ายเอาส์ชวิตซ์
ชอบแสดงความรักกับใครต่อใครโยไม่เลือกหน้า
แต่สำหรับดิฉันแล้วการแสดงความรักแบบนี้ออกมาจะเป็นการรวดเร็วมากไปหน่อย
ดิฉันยืนนิ่งอยู่กับที่ รู้สึกโกรธและเสียใจมากถึงกับร้องไห้ออกมา
เขามีทีท่าตกใจเมื่อเห็นดิฉันร้องไห้
“อย่าร้องไห้ซีครับ”เขาปลอบโยน
“ถ้าหากว่าตอนนี้คุณยังไม่ต้องการมีความสุขกับผมก็ไม่เป็นไรผมรอได้
หากคุณเปลี่ยนใจอยากมีความสุขกับผมเมื่อใด
ก็บอกได้ในตอนที่ผมเข้าไปทำงานในคุกของคุณ”
ก่อนที่เขาจะพูดอะไรต่อไป
เสียงกลองก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณเรียกคนคนงานให้กลับเข้าทำงาน เขาผละจากดิฉันไปทันที
แต่ก่อนจะจากกันเขาได้พูดทิ้งท้ายไว้ว่า
“ในระหว่างที่รอการตัดสินใจอยู่นี้ เรายังจะพูดคุยกันได้เหมือนเดิม
เพียงแต่คุณจะไม่ได้อาหารจากผม ผมมีอาหารไม่มากนักหรรอก
แต่ก็สามารถใช้อาหารที่มีน้อยนิดนี้เพื่อแลกกับเซ็กส์จากผู้หญิงได้นะครับ
ในสถานการณ์ที่โหดร้ายทารุณอย่างในค่ายนี้
เราต้องการมีความสุขทางเพศกับผู้หญิงมากกว่าปกติและผู้หญิงในนี้ก็หาได้ในราคาถูกๆจะมีความลำบากอยู่บ้างก็ตรงที่หาสถานที่ทำรักกันได้ยากเท่านั้นเอง
ทั้งนี้เพราะพวกเยอรมันคอยจับตาดูเราอยู่ตลอดเวลา
และถ้าหากเราถูกจับได้ก็มีหวังได้รับโทษถึงชีวิต”
เขาคงพูดไปอย่างไม่ยั้งคิดแต่ต่อมาคงเกิดความละอายแก่ใจจึงพูดต่อไปอย่างน่าสงสารว่า
“คุณยังไม่เข้าใจอะไรที่นี่
ผมต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับความหนาวเหน็บและความหิวโหยอยู่ตลอดเวลา
เขาทุบตีผมและไม่ทราบเหมือนกันว่าเมื่อใดเขาจะยิงทิ้ง
คุณมาใหม่จึงยังไม่มีความว้าเหว่อยากแสวงหาความสุขทางเพศ
เพื่อชดเชยกับความรู้สึกตึงเครียดทางสมอง
หากอยู่ไปเรื่อยๆความรู้สึกและความคิดของคุณก็คงเปลี่ยนแปลงไป
อีกไม่กี่สัปดาห์คุณจะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมกล่าวมานี้”
ทุกวันทาเด็กจะเข้ามาในคุกของเรา และก็นำห่ออาหารติดตัวมาด้วย
แต่เขาไม่ได้นำอาหารนั้นมาให้ดิฉันหากแต่นำมาให้ผู้หญิงอื่น
ทุกครั้งที่เดินผ่านเขาจะทำทียื่นอาหารให้
บางครั้งเราก็พูดกันบางครั้งเราก็ไม่พูดกัน เมื่อเขายื่นห่ออาหารให้ดิฉันจะสะบัดหน้าหนีทุกครั้ง
วันเวลาผ่านไปโยที่ดิฉันไม่ได้รับประทานอาหารใดๆเลย
ร่างกายของดิฉันเริ่มผอมลงๆและเขาจะยิ้มเยาะทุกครั้งที่ดิฉันสะบัดหน้าหนีไม่ยอมรับอาหารที่เขายื่นให้
อีกสองสามสัปดาห์ต่อมาดิฉันผ่ายผอมลงไปมากจนแทบจะเดินไปไหนมาไหนไม่ได้
และถึงกับเป็นลมล้มฟุบในขณะที่เขาแถวรอเรียกชื่ออยู่เสมอๆ
ถึงกระนั้นก็ตามดิฉันก็ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ยอมแพ้พลีร่างบำเรอความใคร่เพื่อแลกกับเศษอาหารของทาเด็กโยเด็ดขาด
แต่แล้วดิฉันก็อดคิดไม่ได้ว่า
บางทีดิฉันอาจยอมแพ้ใจตนเองสักวันเพราะยิ่งวันเวลาผ่านไปร่างกายมันก็ยิ่งผ่ายผอมมากยิ่งขึ้น
มีอยู่วันหนึ่งทนหิวโหยไม่ไหวจึงตัดสินใจเดินไปที่อาคารโรงอาบน้ำ ซึ่งทราบว่าพวกนักโทษชายที่แอบเข้ามาพักผ่อนในตอนพักเที่ยง
มักจะแบ่งปันอาหารให้ผู้หญิงรับประทาน
ในขณะเดินไปก็ได้แต่ภาวนาขอให้พบใครสักคนหนึ่งที่มีจิตเมตตาสงสาร
เมื่อซมซานไปถึงอาคารโรงอาบน้ำก็ได้พบกับพวกนักโทษชายที่ได้รับหมอบหมายให้คอยดูต้นทาง
ซึ่งเมื่อมียามรักษาการณ์มาตรวจพวกนี้จะทำหน้าที่ให้สัญญาณแจ้งให้พวกที่อยู่ในอาคารได้รู้
ในเวลาที่มีผู้หญิงเข้าไปในอาคารพวกคอยดูต้นทางเหล่านี้จะมาเดินเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกทำทีว่ากำลังทำงาน
แต่ตามความเป็นจริงแล้วพวกนี้จะทำหน้าที่ส่งสัญญาณแจ้งให้ผู้หญิงที่อยู่ข้างในอาคารรู้เช่นเดียวกัน
เพราะตามปกติแล้วถือว่าเป็นการละเมิดกฎที่ห้ามผู้หญิงเข้ามาในอาคารในขณะที่มีพวกผู้ชายอยู่ในนั้น
เมื่อเข้าไปภายในตัวอาคารก็ได้พบกับภาพที่น่ารันทดใจ
ตรงบริเวณด้านหลังอาคารมีนักโทษหลายคนกำลังดื่มน้ำซุปจากกระป๋องสกปรกที่เก็บมาจากกองขยะ
ภายในอาคารสังเกตเห็นมีคนแออัดมั่วสุมกันอยู่ตามตามที่ต่างๆแทบทุกมุมห้อง
มีชายหญิงโอบกอดกันอยู่เป็นคู่ๆบางคู่ก็นอนตักพลอดรักกันอยู่อย่างมีความสุข
บางคู่ก็นั่งพิงกำแพงกอดจูบลูบไล้กันอย่างเมามันในอารมณ์พิศวาส
อีกกลุ่มหนึ่งก็กำลังเปิดตลาดมืดทำการค้าขายกันเป็นที่เอิกเกริก
อากาศในห้องต่างๆก็สุดแสนจะเหม็นอับ
มันเป็นกลิ่นตัวของนักโทษที่ไม่ค่อยจะได้อาบน้ำนั่นเอง
คละคลุ้งปนกับกลิ่นเหม็นเนาบูดของเศษอาหารและน้ำเน่าในคูคลองใกล้ๆ
เมื่อมองออกไปยังอีกด้านหนึ่งของค่ายก็แลเห็นภาพน่าอดสูใจอีกแบบหนึ่ง
เป็นภาพของกลุ่มนักโทษรุ่นใหม่ที่เดินทางมาถึงอีกระลอกหนึ่ง
ได้ยินเสียงหวีดร้องของผู้หญิงและเด็กซึ่งกำลังถูกแยกออกจากกันเมื่อลงจากรถไฟ
เสียงต่างๆเหล่านี้ดังเซ็งแซ่จนกลบเสียงพูดคุยของบรรดานักโทษในโรงอาบน้ำ
แต่เมื่อมองไปอีกมุมหนึ่งของค่าย
ก็แลเห็นเปลวไฟพวยพุ่งออกจากปล่องเตาเผาศพลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
ทันทีที่ก้าวพ้นธรณีประตูอาคารนี้เข้าไป
ใจหนึ่งก็อยากจะวิ่งหนีเพื่อให้พ้นจากภาพที่น่าอดสูแต่ก็ไม่อาจทำเช่นนี้ได้เพราะความหิวโหยกำลังทรมานอยู่อย่างหนัก
ดิฉันสอดส่ายสายตาไปมาจนกระทั่งเหลือบไปเห็นชายชราคนหนึ่งนั่งพิงกำแพงรับประทานอาหารจากกระป๋องอยู่ที่มุมห้องด้านหนึ่ง
ชายชราผู้นี้มีหน้าตาน่าเกลียด
และก็เพราะความน่าเกลียดของแกนี่เองทำให้ดิฉันรู้สึกไว้ใจ
คะเนด้วยสายตาว่าแกคงจะมีอายุราวๆ50-60ปี ในปากของแกไม่มีฟันแม้แต่ซี่เดียว
ที่ใบหน้าของแกก็เป็นโรคฝีดาษตกสะเก็ดจนน่าเกลียด
ส่วนบนศีรษะของแกก็โล้นเป็นแผลชันนะตุพุพอง มีน้ำเหลืองไหลเยิ้มออกมาเต็มไปหมด
ที่น่าสงสารหนักยิ่งไปกว่านั้นก็คือแกมีตาข้างเดียว
แต่สิ่งที่วางอยู่บนกระป๋องซุปของชายแก่คนนี้คือมันฝรั่งหัวเล็กๆสองหัว
“นั่นมันฝรั่งนี่” ดิฉันรำพึงอยู่ในใจ
จ้องมองชายชราแทะมันฝรั่งด้วยความหิวจนน้ำลายสอปาก
แกแทะรับประทานได้เฉพาะเปลือกนอกเพราะข้างในมันยังดิบๆอยู่จึงแข็งเกินกว่าจะขบเคี้ยวได้
แกเอาเศษมันฝรั่งส่วนที่เคี้ยวไม่ได้นั้นยัดลงไปในกระป๋อง
เสร็จแล้วก็ยกน้ำซุปสีน้ำตาลขึ้นดื่มอย่างเอร็ดอร่อย สักครู่หนึ่งก็หันไปมองรอบๆ
“แกกำลังมองหาใครที่จะแบ่งมันฝรั่งให้หรือเปล่านะ?”
ดิฉันคิดขณะที่มองอากัปกิริยาของชายแก่ไม่วางตา
แล้วแกก็หันมาเห็นดิฉันกำลังจ้องอยู่ด้วยความหิวโหย แกยิ้มกับดิฉัน
แต่ให้ตายเถอะ รอยยิ้มมันทำไมถึงน่าเกลียดน่ากลัวอะไรอย่างนั้น
แกเรียกดิฉันเข้าไปรับเศษอาหารกลางวัน
ดิฉันรีบเข้าไปรับเหมือนกับว่ามันเป็นของขวัญอันล้ำค่าที่แกมอบให้
แต่ในขณะที่ดิฉันกำลังจะเริ่มรับประทานมีนอยู่นั้นเอง
ก็มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งกระโดดเข้ามาแย่งมันไปจากมือ
“ไอ้แก่ตัณหากลับ”หญิงคนนั้นร้องตวาดชายแก่
“นี่แกสะเออะแบ่งอาหารให้คนอื่นรึ”
“อีบ้า” ชายแก่กล่าวโต้ตอบ
“ข้าพอใจจะให้ แกจะทำไม แกไม่เห็นรึว่าเธอสวยและสาวกว่าแกตั้งเยอะแยะ
จะไปลงนรกที่ไหนก็เชิญ ไม่ต้องมายุ่งกับข้า”
กล่าวเสร็จชายแก่ก็วิ่งมาลากตัวผู้หญิงคนนั้นออกจากดิฉัน
เหวี่ยงเธอล้มลงกับพื้น แล้วใช้เท้ากระทืบอย่างไม่ปรานี
เสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดของเธอทำให้คนอื่นๆที่อยู่ในอาคารนั้นวิ่งเข้ามามุงดูเหตุการณ์
ทุกคนรวมทั้งพวกที่กำลังพลอดรักกันอยู่ต่างก็มามุงตัวกันเต็มไปหมด
ดิฉันอายแทบจะแทรกแผ่นดินหนี
ทันใดนั้นนายทาเด็กเด็กหนุ่มรูปหล่อที่เคยขอความรักจากดิฉัน
ก็เข้ามาพูดในเชิงล้อเลียนว่า
“ตายจริง หม่อมฉันรู้สึกแปลกใจมากที่มาพบองค์หญิงประทับอยู่ที่นี่”
เขายิ้มเยาะเย้ยดิฉันแล้วพูดสำทับอีกว่า
“องค์หญิงคงทนหิวอยู่นานแล้วใช่ไหม
สิ่งนี้คงดีกว่าเศษมันฝรั่งที่เขากินเหลือครึ่งหนึ่งเป็นแน่”
ว่าแล้วเขาก็ยื่นห่ออาหารให้ ดิฉันมองเขาด้วยความเกลียดชัง
บวกกับความโกรธสุดขีดที่เขากล่าววาจาถากถาง ดิฉันจึงคว้าห่ออาหารจากมือเขาแล้วขว้างใส่หน้าเขาจนสุดแรง
จากนั้นก็วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต
จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังจำไม่ได้ว่าวันนั้นตัวเองกลับไปถึงคุกได้อย่างไร
หลังจากพบกันครั้งสุดท้ายที่อาคารโรงอาบน้ำนั้นแล้ว
ดิฉันไม่มีโอกาสได้ติดต่อกับนายทาเด็กอีกเลย
แต่ได้พบกับลิลลี่ผู้หญิงที่ทาเด็กนำอาหารห่อมาให้อยู่เสมอๆ
ตอนหลังที่ดิฉันได้ย้ายมาทำงานที่โรงพยาบาล
ผู้หญิงคนนี้ได้มาเป็นคนไข้ประจำของดิฉัน
ดิฉันต้องนำขนมปังที่ได้รับแจกไปแลกยาในตลาดมืดมาช่วยรักษาโรคให้เธอ
ยาชนิดนี้เป็นยารักษาโรคหนองในชนิดร้ายแรง
ซึ่งก็คงจะไปติดโรคนี้มาจากนายทาเด็กอย่างไม่ต้องสงสัย.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น