Ads

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 7 เล่ห์รักในค่าย



ดิฉันแทบไม่เชื่อว่าตัวเองมาอยู่ในค่ายเอาส์ชวิตซ์เป็นเวลานานผ่านไปถึงสามสัปดาห์แล้ว เพราะมันดูราวกับว่าชีวิตตกอยู่ในความฝัน ซึ่งกำลังรอคอยให้ใครสักคนมาช่วยปลุกให้ตื่นจากหลับ

ดิฉันมองจากห้องขังออกไปยังบริเวณภายในคุกก็พบกับภาพที่ไม่น่าชื่นชมอีกเช่นเคย พวกนักโทษยังคงทะเลาะวิวาทร้องตะโกนด่ากันเซ็งแซ่ บ้างก็ใช้กำลังทำร้ายซึ่งกันและกัน เสียงคู่คำรามด้วยความอาฆาตแค้นช่างไม่ผิดอะไรกับเสียงสัตว์เลยแม้แต่น้อย
ท่ามกลางเสียงแห่งความวุ่นวายของบรรดาเหล่ามนุษย์ป่าเถื่อนราวกับสัตว์นรกเหล่านี้ 

ดิฉันก็ได้ยินอีกเสียงหนึ่งสอดแทรกเข้ามาอย่างฉับพลัน มันเป็นเสียงอ่อนโยนของมนุษย์ที่หาฟังได้ยากยิ่งในค่าย ดิฉันตื่นจากภวังค์เหลือบตามมองไปทางข้างกรงขัง ก็ได้เห็นชายรูปหล่อนัยน์ตาสีฟ้าคนหนึ่งในชุดเครื่องกายที่ขาดกะรุ่งกะริ่ง กำลังชะโงกหน้าลงมาจากเตียงชั้นที่สาม ก็รู้สึกประหลาดใจที่ได้พบผู้ชายรูปร่างสง่าวาม ซึ่งมันไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะคุกแดนนี้เป็นที่คุมขังทักโทษหญิง
 
อันที่จริงนั้นชายคนนี้เข้ามาซ่อมเตียงตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว แต่ดิฉันนอนขี้เซาไปหน่อยจึงไม่ได้ยินเสียงค้อนตอกตะปูของเขา เขามองมาที่ดิฉันแล้วกล่าวว่า

“ตื่นเถอะครับ คุณเป็นอะไรไปหรือเปล่า
?”

ดิฉันได้แต่จ้องมองจนลืมตอบคำถามนั้น เมื่อเขาปีนลงมาข้างล่าง จึงได้สำรวจรูปร่างของเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ ก็เห็นเป็นชายร่างสูงใหญ่ นัยน์ตาสีฟ้าเป็นประกายสดใส แม้ว่าผมจะถูกโกนทิ้งเหมือนกับชายคนอื่นๆแต่ก็ยังพอสังเกตเห็นโคนผมเป็นสีน้ำตาล  รอยยิ้มของเขาทำให้ดิฉันเกิดความสนใจขึ้นมาทันที เหตุใดในค่ายนี้จึงมีผู้ชายยิ้มอย่างเบิกบานใจเช่นนี้อยู่นะ?
ดิฉันได้พบกับผู้ที่ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อชะตาชีวิต แม้ว่าจะถูกบีบคั้นทางจิตใจอย่างแสนสาหัสเพียงใดก็ตาม

จากการสนทนากันทำให้ได้ทราบว่า เขาเป็นชาวโปแลนด์ถูกจับมาอยู่ในค่ายกักกันนักโทษแห่งนี้นานกว่า 4 ปีแล้วนับตั้งแต่กรุงวอร์ซอแตก เขาบอกดิฉันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่าเป็นช่างไม้แต่บางครั้งก็ต้องมาทำงานซ่อมถนน

หลังจากวันนั้นมาเขาก็ยังมาซ่อมเตียงนอนในคุกของดิฉันอยู่เรื่อยๆ เราได้มีโอกาสสนทนากันบ่อยครั้งขึ้น และก็ได้กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่ละวันดิฉันจะตั้งตารอคอยเขา ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่ว่ารักเขาในฐานะชู้สาวเพียงแต่อยากจะฟังเสียงพูดของเขา ซึ่งเป็นเสียงมนุษย์เพียงเสียงเดียวที่ดิฉันเคยได้ยินในค่าย ชื่อของเขาคือ ทาเด็ก

ปกติคนงานจะได้รับอนุญาตให้หยุดพักในช่วงบ่ายเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง มีอยู่วันหนึ่งเวลาประมาณ 11.00 น.ชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้ก็ได้มาชวนดิฉันให้ติดตามเขาไปในช่วงพักตอนกลางวัน ดิฉันรับคำเชิญด้วยความเต็มใจ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยออกจากคุกไปกับใครแม้แต่ครั้งเดียว

ดิฉันเดินตามเขาไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็ไปถึงที่แห่งหนึ่งซึ่งมีคนงานกำลังปรุงอาหารกันอยู่ ดิฉันพบกับความประหลาดใจเป็นครั้งแรก เมื่อเพื่อนซึ่งชื่อทาเด็กคนนี้หยิบมันฝรั่งซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากขึ้นมาอวดดิฉัน 2 หัวด้วยกัน ก่อนที่จะนำไปใส่หม้อต้ม ดิฉันจับตามองเขาแทบทุกอิริยาบถ 

เขาตักมันฝรั่งที่ต้มสุกแล้วส่งให้ดิฉันรับประทานหัวหนึ่ง ส่วนเขาเองก็มานั่งอยู่ตรงข้ามกับดิฉันเพื่อรับประทานมันฝรั่งอีกหัวหนึ่ง นับว่าเป็นครั้งแรกที่ดิฉันมีอาหารตกถึงท้อง ซึ่งก่อนหน้านี้ดิฉันจะคายอาหารทุกอย่างที่ได้รับแจกทิ้ง

ทาเด็กสร้างความประหลาดใจให้แก่ดิฉันอีกครั้ง เมื่อเขายื่นผ้าคลุมไหล่ให้ดิฉันผืนหนึ่ง พร้อมกับกล่าวว่า

“คุณใช้ผ้าผืนนี้คลุมศีรษะนะครับ การที่ผู้หญิงศีรษะโล้นเดินไปเดินมาในที่ต่างๆมันน่าเกลียดออกจะตายไป”

ดิฉันมีความตื้นตันใจอยากจะกล่าวขอบคุณแต่ก็ไม่กล้าเปิดปากพูด เพราะกลัวว่าตัวเองจะร้องไห้ไปเสียก่อน

“ทุกๆวันผมจะแบ่งมันฝรั่งให้คุณ”เขาพูดต่อ”และบางทีผมอาจจะจัดหาอาหารอย่างอื่นรวมทั้งเสื้อผ้าดีๆมาให้คุณอีกด้วยก็ได้”
เขาเข้ามายืนใกล้ๆดิฉันปากก็พึมพำเหมือนกับพูดกับตัวเองว่า

“เป็นเรื่องี่น่าแปลกมากครับ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่มีผมบนศีรษะแม้แต่เส้นเดียว และแต่งตัวในชุดขาดกะรุ่งกะริ่งอย่างนี้ แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างในตัวคุณที่ผมต้องการมาก”

กล่าวเสร็จเขาก็แสดงบทเจ้าชู้ โยการใช้แขนข้างหนึ่งโอบเอว ใช้มืออีกข้างหนึ่งมาสัมผัสลูบไล้ที่หน้าอกของดิฉัน

ดิฉันตกใจสุดขีดเพราะไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำเช่นนี้กับดิฉัน อันที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ดิฉันเคยบอกกับเขาว่ามีสามีและลูกแล้ว กำลังเศร้าโศกเพราะพลัดพรากจากกัน ทำไมเขาไม่เข้าใจความรู้สึกของดิฉันเลยนะ? ที่ดิฉันคบกับเขาก็เพียงต้องการเขาไว้เป็นเพื่อนคุยแก้เซ็งเท่านั้น ไม่ใช่เพราะต้องการเขาไว้เพื่อบำบัดความใคร่แต่อย่างใด

ดิฉันทราบในภายหลังว่าทาเด็กเป็นเสือผู้หญิงประจำค่ายเอาส์ชวิตซ์ ชอบแสดงความรักกับใครต่อใครโยไม่เลือกหน้า แต่สำหรับดิฉันแล้วการแสดงความรักแบบนี้ออกมาจะเป็นการรวดเร็วมากไปหน่อย ดิฉันยืนนิ่งอยู่กับที่ รู้สึกโกรธและเสียใจมากถึงกับร้องไห้ออกมา

เขามีทีท่าตกใจเมื่อเห็นดิฉันร้องไห้

“อย่าร้องไห้ซีครับ”เขาปลอบโยน

“ถ้าหากว่าตอนนี้คุณยังไม่ต้องการมีความสุขกับผมก็ไม่เป็นไรผมรอได้ หากคุณเปลี่ยนใจอยากมีความสุขกับผมเมื่อใด ก็บอกได้ในตอนที่ผมเข้าไปทำงานในคุกของคุณ”

ก่อนที่เขาจะพูดอะไรต่อไป เสียงกลองก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณเรียกคนคนงานให้กลับเข้าทำงาน เขาผละจากดิฉันไปทันที แต่ก่อนจะจากกันเขาได้พูดทิ้งท้ายไว้ว่า

“ในระหว่างที่รอการตัดสินใจอยู่นี้ เรายังจะพูดคุยกันได้เหมือนเดิม เพียงแต่คุณจะไม่ได้อาหารจากผม ผมมีอาหารไม่มากนักหรรอก แต่ก็สามารถใช้อาหารที่มีน้อยนิดนี้เพื่อแลกกับเซ็กส์จากผู้หญิงได้นะครับ ในสถานการณ์ที่โหดร้ายทารุณอย่างในค่ายนี้ เราต้องการมีความสุขทางเพศกับผู้หญิงมากกว่าปกติและผู้หญิงในนี้ก็หาได้ในราคาถูกๆจะมีความลำบากอยู่บ้างก็ตรงที่หาสถานที่ทำรักกันได้ยากเท่านั้นเอง ทั้งนี้เพราะพวกเยอรมันคอยจับตาดูเราอยู่ตลอดเวลา และถ้าหากเราถูกจับได้ก็มีหวังได้รับโทษถึงชีวิต”

เขาคงพูดไปอย่างไม่ยั้งคิดแต่ต่อมาคงเกิดความละอายแก่ใจจึงพูดต่อไปอย่างน่าสงสารว่า

“คุณยังไม่เข้าใจอะไรที่นี่ ผมต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับความหนาวเหน็บและความหิวโหยอยู่ตลอดเวลา เขาทุบตีผมและไม่ทราบเหมือนกันว่าเมื่อใดเขาจะยิงทิ้ง คุณมาใหม่จึงยังไม่มีความว้าเหว่อยากแสวงหาความสุขทางเพศ เพื่อชดเชยกับความรู้สึกตึงเครียดทางสมอง หากอยู่ไปเรื่อยๆความรู้สึกและความคิดของคุณก็คงเปลี่ยนแปลงไป อีกไม่กี่สัปดาห์คุณจะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมกล่าวมานี้”

ทุกวันทาเด็กจะเข้ามาในคุกของเรา และก็นำห่ออาหารติดตัวมาด้วย แต่เขาไม่ได้นำอาหารนั้นมาให้ดิฉันหากแต่นำมาให้ผู้หญิงอื่น ทุกครั้งที่เดินผ่านเขาจะทำทียื่นอาหารให้ บางครั้งเราก็พูดกันบางครั้งเราก็ไม่พูดกัน เมื่อเขายื่นห่ออาหารให้ดิฉันจะสะบัดหน้าหนีทุกครั้ง 

วันเวลาผ่านไปโยที่ดิฉันไม่ได้รับประทานอาหารใดๆเลย ร่างกายของดิฉันเริ่มผอมลงๆและเขาจะยิ้มเยาะทุกครั้งที่ดิฉันสะบัดหน้าหนีไม่ยอมรับอาหารที่เขายื่นให้ อีกสองสามสัปดาห์ต่อมาดิฉันผ่ายผอมลงไปมากจนแทบจะเดินไปไหนมาไหนไม่ได้ และถึงกับเป็นลมล้มฟุบในขณะที่เขาแถวรอเรียกชื่ออยู่เสมอๆ ถึงกระนั้นก็ตามดิฉันก็ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ยอมแพ้พลีร่างบำเรอความใคร่เพื่อแลกกับเศษอาหารของทาเด็กโยเด็ดขาด

แต่แล้วดิฉันก็อดคิดไม่ได้ว่า บางทีดิฉันอาจยอมแพ้ใจตนเองสักวันเพราะยิ่งวันเวลาผ่านไปร่างกายมันก็ยิ่งผ่ายผอมมากยิ่งขึ้น มีอยู่วันหนึ่งทนหิวโหยไม่ไหวจึงตัดสินใจเดินไปที่อาคารโรงอาบน้ำ ซึ่งทราบว่าพวกนักโทษชายที่แอบเข้ามาพักผ่อนในตอนพักเที่ยง มักจะแบ่งปันอาหารให้ผู้หญิงรับประทาน ในขณะเดินไปก็ได้แต่ภาวนาขอให้พบใครสักคนหนึ่งที่มีจิตเมตตาสงสาร

เมื่อซมซานไปถึงอาคารโรงอาบน้ำก็ได้พบกับพวกนักโทษชายที่ได้รับหมอบหมายให้คอยดูต้นทาง ซึ่งเมื่อมียามรักษาการณ์มาตรวจพวกนี้จะทำหน้าที่ให้สัญญาณแจ้งให้พวกที่อยู่ในอาคารได้รู้  ในเวลาที่มีผู้หญิงเข้าไปในอาคารพวกคอยดูต้นทางเหล่านี้จะมาเดินเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกทำทีว่ากำลังทำงาน

แต่ตามความเป็นจริงแล้วพวกนี้จะทำหน้าที่ส่งสัญญาณแจ้งให้ผู้หญิงที่อยู่ข้างในอาคารรู้เช่นเดียวกัน เพราะตามปกติแล้วถือว่าเป็นการละเมิดกฎที่ห้ามผู้หญิงเข้ามาในอาคารในขณะที่มีพวกผู้ชายอยู่ในนั้น

เมื่อเข้าไปภายในตัวอาคารก็ได้พบกับภาพที่น่ารันทดใจ ตรงบริเวณด้านหลังอาคารมีนักโทษหลายคนกำลังดื่มน้ำซุปจากกระป๋องสกปรกที่เก็บมาจากกองขยะ ภายในอาคารสังเกตเห็นมีคนแออัดมั่วสุมกันอยู่ตามตามที่ต่างๆแทบทุกมุมห้อง 

มีชายหญิงโอบกอดกันอยู่เป็นคู่ๆบางคู่ก็นอนตักพลอดรักกันอยู่อย่างมีความสุข บางคู่ก็นั่งพิงกำแพงกอดจูบลูบไล้กันอย่างเมามันในอารมณ์พิศวาส อีกกลุ่มหนึ่งก็กำลังเปิดตลาดมืดทำการค้าขายกันเป็นที่เอิกเกริก อากาศในห้องต่างๆก็สุดแสนจะเหม็นอับ มันเป็นกลิ่นตัวของนักโทษที่ไม่ค่อยจะได้อาบน้ำนั่นเอง คละคลุ้งปนกับกลิ่นเหม็นเนาบูดของเศษอาหารและน้ำเน่าในคูคลองใกล้ๆ

เมื่อมองออกไปยังอีกด้านหนึ่งของค่ายก็แลเห็นภาพน่าอดสูใจอีกแบบหนึ่ง เป็นภาพของกลุ่มนักโทษรุ่นใหม่ที่เดินทางมาถึงอีกระลอกหนึ่ง ได้ยินเสียงหวีดร้องของผู้หญิงและเด็กซึ่งกำลังถูกแยกออกจากกันเมื่อลงจากรถไฟ เสียงต่างๆเหล่านี้ดังเซ็งแซ่จนกลบเสียงพูดคุยของบรรดานักโทษในโรงอาบน้ำ แต่เมื่อมองไปอีกมุมหนึ่งของค่าย ก็แลเห็นเปลวไฟพวยพุ่งออกจากปล่องเตาเผาศพลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า

ทันทีที่ก้าวพ้นธรณีประตูอาคารนี้เข้าไป ใจหนึ่งก็อยากจะวิ่งหนีเพื่อให้พ้นจากภาพที่น่าอดสูแต่ก็ไม่อาจทำเช่นนี้ได้เพราะความหิวโหยกำลังทรมานอยู่อย่างหนัก

ดิฉันสอดส่ายสายตาไปมาจนกระทั่งเหลือบไปเห็นชายชราคนหนึ่งนั่งพิงกำแพงรับประทานอาหารจากกระป๋องอยู่ที่มุมห้องด้านหนึ่ง ชายชราผู้นี้มีหน้าตาน่าเกลียด และก็เพราะความน่าเกลียดของแกนี่เองทำให้ดิฉันรู้สึกไว้ใจ คะเนด้วยสายตาว่าแกคงจะมีอายุราวๆ50-60ปี ในปากของแกไม่มีฟันแม้แต่ซี่เดียว ที่ใบหน้าของแกก็เป็นโรคฝีดาษตกสะเก็ดจนน่าเกลียด 

ส่วนบนศีรษะของแกก็โล้นเป็นแผลชันนะตุพุพอง มีน้ำเหลืองไหลเยิ้มออกมาเต็มไปหมด ที่น่าสงสารหนักยิ่งไปกว่านั้นก็คือแกมีตาข้างเดียว

แต่สิ่งที่วางอยู่บนกระป๋องซุปของชายแก่คนนี้คือมันฝรั่งหัวเล็กๆสองหัว

“นั่นมันฝรั่งนี่” ดิฉันรำพึงอยู่ในใจ จ้องมองชายชราแทะมันฝรั่งด้วยความหิวจนน้ำลายสอปาก แกแทะรับประทานได้เฉพาะเปลือกนอกเพราะข้างในมันยังดิบๆอยู่จึงแข็งเกินกว่าจะขบเคี้ยวได้ แกเอาเศษมันฝรั่งส่วนที่เคี้ยวไม่ได้นั้นยัดลงไปในกระป๋อง เสร็จแล้วก็ยกน้ำซุปสีน้ำตาลขึ้นดื่มอย่างเอร็ดอร่อย สักครู่หนึ่งก็หันไปมองรอบๆ

“แกกำลังมองหาใครที่จะแบ่งมันฝรั่งให้หรือเปล่านะ?” ดิฉันคิดขณะที่มองอากัปกิริยาของชายแก่ไม่วางตา

แล้วแกก็หันมาเห็นดิฉันกำลังจ้องอยู่ด้วยความหิวโหย แกยิ้มกับดิฉัน แต่ให้ตายเถอะ รอยยิ้มมันทำไมถึงน่าเกลียดน่ากลัวอะไรอย่างนั้น แกเรียกดิฉันเข้าไปรับเศษอาหารกลางวัน ดิฉันรีบเข้าไปรับเหมือนกับว่ามันเป็นของขวัญอันล้ำค่าที่แกมอบให้ แต่ในขณะที่ดิฉันกำลังจะเริ่มรับประทานมีนอยู่นั้นเอง ก็มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งกระโดดเข้ามาแย่งมันไปจากมือ

“ไอ้แก่ตัณหากลับ”หญิงคนนั้นร้องตวาดชายแก่

“นี่แกสะเออะแบ่งอาหารให้คนอื่นรึ”

“อีบ้า” ชายแก่กล่าวโต้ตอบ

“ข้าพอใจจะให้ แกจะทำไม แกไม่เห็นรึว่าเธอสวยและสาวกว่าแกตั้งเยอะแยะ จะไปลงนรกที่ไหนก็เชิญ ไม่ต้องมายุ่งกับข้า”

กล่าวเสร็จชายแก่ก็วิ่งมาลากตัวผู้หญิงคนนั้นออกจากดิฉัน เหวี่ยงเธอล้มลงกับพื้น แล้วใช้เท้ากระทืบอย่างไม่ปรานี เสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดของเธอทำให้คนอื่นๆที่อยู่ในอาคารนั้นวิ่งเข้ามามุงดูเหตุการณ์ ทุกคนรวมทั้งพวกที่กำลังพลอดรักกันอยู่ต่างก็มามุงตัวกันเต็มไปหมด ดิฉันอายแทบจะแทรกแผ่นดินหนี

ทันใดนั้นนายทาเด็กเด็กหนุ่มรูปหล่อที่เคยขอความรักจากดิฉัน ก็เข้ามาพูดในเชิงล้อเลียนว่า

“ตายจริง หม่อมฉันรู้สึกแปลกใจมากที่มาพบองค์หญิงประทับอยู่ที่นี่”

เขายิ้มเยาะเย้ยดิฉันแล้วพูดสำทับอีกว่า

“องค์หญิงคงทนหิวอยู่นานแล้วใช่ไหม สิ่งนี้คงดีกว่าเศษมันฝรั่งที่เขากินเหลือครึ่งหนึ่งเป็นแน่”

ว่าแล้วเขาก็ยื่นห่ออาหารให้ ดิฉันมองเขาด้วยความเกลียดชัง บวกกับความโกรธสุดขีดที่เขากล่าววาจาถากถาง ดิฉันจึงคว้าห่ออาหารจากมือเขาแล้วขว้างใส่หน้าเขาจนสุดแรง จากนั้นก็วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังจำไม่ได้ว่าวันนั้นตัวเองกลับไปถึงคุกได้อย่างไร

หลังจากพบกันครั้งสุดท้ายที่อาคารโรงอาบน้ำนั้นแล้ว ดิฉันไม่มีโอกาสได้ติดต่อกับนายทาเด็กอีกเลย แต่ได้พบกับลิลลี่ผู้หญิงที่ทาเด็กนำอาหารห่อมาให้อยู่เสมอๆ

ตอนหลังที่ดิฉันได้ย้ายมาทำงานที่โรงพยาบาล ผู้หญิงคนนี้ได้มาเป็นคนไข้ประจำของดิฉัน  ดิฉันต้องนำขนมปังที่ได้รับแจกไปแลกยาในตลาดมืดมาช่วยรักษาโรคให้เธอ

ยาชนิดนี้เป็นยารักษาโรคหนองในชนิดร้ายแรง ซึ่งก็คงจะไปติดโรคนี้มาจากนายทาเด็กอย่างไม่ต้องสงสัย.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น