Ads

วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 14 ภาษาเฉพาะของเชลย



“พวกเราต้องอดทนนะครับ” นักโทษชายสูงอายุคนหนึ่งซึ่งกำลังซ่อมถนนอยู่ในค่ายของเราได้กระซิบปลอบใจในวันที่เราเดินทางมาถึงค่ายกักกัน 

ตอนนั้นเราเพิ่งจะถูกกล้อนผมแต่งกายในชุดขาดรุ่งริ่งกำลังยืนตัวสั่นเพราะความหนาวในขณะรอหลีกทางให้รถพยาบาลวิ่งผ่านไปก่อน

“การที่เราจะอดทนได้นั้น” นักโทษคนนี้กล่าวต่อ”มีสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำคือ การจัดการ”

ในวันนั้นดิฉันไม่เช้าใจความหมายของคำว่า”การจัดการ” ที่ชายคนนี้นำมาใช้ แต่หลังจากนั้นก็ได้พยายามค้นหาความหมายที่แท้จริงของคำนี้มาตลอด ซึ่งกว่าจะเข้าใจได้ต้องใช้เวลาอยู่นาน

ผู้ที่ให้ความกระจ่างแก่ดิฉันเกี่ยวกับความหมายของคานี้ ได้แก่ นักโทษชายสูงอายุที่ทำงานฝ่ายทุบหินและนักโทษอื่นๆอีกหลายคน เมื่อนำคำอธิบายของคนเหล่านี้มาปะติดปะต่อกันก็ได้คำตอบที่ดิฉันต้องการ

“ถ้าท่านไม่ต้องการหิวมีสิ่งเดียวที่ท่านจะต้องทำคือ ขโมย” โดยนัยนี้คำว่า “จัดการ”ดิฉันจึงให้คำจำกัดความสั้นๆว่า”การขโมย” ซึ่งเป็นศัพท์เฉพาะของคนคุกในค่ายแห่งนี้เท่านั้น

เมื่อพิจารณาเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในค่ายมาเป็นเครื่องประกอบ ก็นับว่าคำจำกัดความของดิฉันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถึงกระนั้นก็ตามคำว่า”การจัดการ”ยังมีความหมายอื่นแอบแฝงอยู่ด้วย ซึ่งดิฉันต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจึงทำความเข้าใจมันได้

กล่าวคือ คำว่า”การจัดการ”ไม่ได้มีความหมายว่า”การขโมย”ธรรมดาๆแต่หมายถึง”การขโมย”ที่ยังผลเสียหายให้เกิดแก่พวกเยอรมันด้วย

ตามคำนิยามแบบใหม่นี้ผู้ที่ขโมยถือว่าเป็นผู้มีเกียรติและเป็นผู้ทำประโยชน์แก่บรรดานักโทษ ยกตัวอย่างเช่น เจ้าหน้าที่ในคลังแคนาดาหรือเจ้าหน้าที่คลังเก็บเสื้อผ้าของนักโทษขโมยเสื้อผ้ากันหนาวมาแจกแก่เพื่อนๆนักโทษที่ไม่มีเสื้อผ้ากันหนาว 


การกระทำของเจ้าหน้าที่เหล่านี้ไม่ถือว่าเป็นการโจรกรรมธรรมดาแต่เป็นการกระทำที่มีเป้าหมายเพื่อประโยชน์สุขร่วมกันในสังคมนักโทษ 


กล่าวคือ แทนที่จะปล่อยให้เสื้อผ้าเหล่านั้นถูกส่งกลับไปยังประเทศเยอรมัน พวกเจ้าหน้าที่ก็ขโมยจากพวกเยอรมันแล้วนำมาแจกให้แก่พวกนักโทษ ยิ่งขโมยมากเท่าใดยิ่งเกิดประโยชน์แก่นักโทษและยังความสูญเสียให้เกิดแก่ประเทศเยอรมันมากเท่านั้น

ดังนั้นโดยเหตุประการหลังนี้ “การขโมย”และ”การจัดการ”จึงไม่เหมือนกัน

แต่ทว่าบางทีก็แยกไม่ออกเหมือนกันว่าอย่างไหนเป็นการขโมยธรรมดาและอย่างไหนเป็นการขโมยแบบ”จัดการ” เพราะมีนักโทษเป็นจำนวนมากเมื่อกระทำการโจรกรรมธรรมดาๆแล้วมักอ้างว่าการกระทำของตนเป็นโจรกรรมแบบ”การจัดการ” ดังตัวอย่างเช่น

“แกเอาขนมปังส่วนที่ฉันได้รับแจกไป”นักโทษคนหนึ่งเอะอะโวยวาย”นี่เป็นการขโมยกันชัดๆ”
“ขอโทษนะคะ”ผู้ถูกกล่าวหาตอบ

“ดิฉันไม่ทราบว่าเป็นของคุณ ปรดอย่ากล่าวหาว่าดิฉันขโมยเลยนะคะ ที่จริงมันเป็น การจัดการ ต่างหากค่ะ”

เห็นไหมคะว่า นักโทษบางคนใช้ข้ออ้าง “การจัดการ”ทั้งๆที่ความจริงการขโมยส่วนแบ่งขนมปังของเพื่อนนั้นไม่ใช่นำไปแจกจ่ายแก่ผู้อื่น แต่เพื่อบำบัดความหิวของตัวเองแต่ผู้เดียว

นักโทษเป็นจำนวนมากที่ไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่เพียงพอก็มักจะแอบขโมยชุดเก่าๆของนักโทษคนอื่นๆที่เขาถอดไว้ขณะเข้าไปล้างหน้าในห้องอาบน้ำ เมื่อคนเหล่านี้ถูกจับได้ก็มักใช้ข้ออ้างว่า”เป็นการจัดการ”เช่นเดียวกัน

ในค่ายเอาส์ชวิตซ์-เบอร์เคเนาการลักขโมยกันถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นคนชั้นต่ำหรือคนชั้นสูงสักพียงใด เมื่อเข้ามาอยู่ในค่ายนี้ได้ไม่นาน ก็ชอบลักขโมยด้วยกันทั้งนั้น

นักโทษหญิงที่เคยอยู่ในสังคมชาวไร่ชาวนามาก่อน ก็รู้จักใช้ข้ออ้าง”การจัดการ”นี้เมื่อขโมยวัตถุสิ่งของมาเพื่อประโยชน์ส่วนตัว

 ส่วนนักโทษหญิงที่เคยอยู่ในสังคมชั้นสูงและไม่เคยลักขโมยมาก่อน ก็ใช้ข้ออ้างเดียวกันกับพวกที่เคยเป็นชาวไร่ชาวนา คือ อ้างว่า”เป็นการจัดการ”ทั้งๆที่การกระทำของพวกเธอไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของนักโทษโดยส่วนรวมแม้แต่น้อย

หากแต่เป็นการกระทำที่ซ้ำเติมนักโทษคนอื่นๆให้ได้รับความเดือดร้อนมากยิ่งขึ้นไปอีก แม้ว่าการกระทำแบบนี้จะไม่ถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงอะไรแต่ก็มีความสำคัญต่ออนาคตของนักโทษเหล่านี้อยู่มิใช่น้อย

ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1944 เพื่อนของเราคือคุณแอลที่อยู่ในขบวนการต่อต้านเยอรมัน ได้”ทำการจัดการ”ขโมยช้อนตักอาหารมาได้ 5 คันแล้วนำมาแจกให้เราเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่เคยให้การรักษาพยาบาลแก่เขา 


ดิฉันดีใจมากที่ได้รับของสิ่งนี้ ซึ่งปกติมันไม่ได้เป็นของวิเศษวิโสอะไร ในสังคมทั่วไปเขาก็มีใช้กันทั้งนั้น แต่ในค่ายกักกันถือว่ามันมีค่าอย่างเหลือล้น เพราะเป็นเวลาหลายเดือนมาแล้วที่ดิฉันรับประทานอาหารโดยไม่ได้ใช้ช้อนส้อมแต่ใช้วิธีเอาลิ้นเลียชามเหมือนสุนัข

ด้วยเหตุนี้ดิฉันจึงรู้สึกยินดีมากที่ได้ช้อนจากคุณแอล เพราะต่อไปนี้จะได้ไม่ต้องใช้ลิ้นเลียอาหารจากชามอีกต่อไป

แต่อีก 2 วันต่อมาดิฉันต้องผิดหวังอย่างมากเมื่อช้อนคันนั้นหายไปอย่างลึกลับ ซึ่งเมื่อทำการสอบสวนก็ได้ความว่าผู้ที่ขโมยช้อนคันนั้นไปก็ไม่ใช่ใครอื่นใด เธอคือภรรยาของอดีตเศรษฐีผู้ประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมในประเทศฮังการีผู้หนึ่ง ซึ่งชีวิตในอดีตของเธอมีแต่ความสุขอยู่กับความร่ำรวยและฟุ้งเฟ้อ

มันก็เป็นเรื่องแปลกที่คนธรรมดาสามัญแม้ว่าจะตกทุกข์ได้ยากอย่างไรแต่ก็ยังรักษาความซื่อสัตย์สุรจิตของตนอยู่ต่อไปได้ ซึ่งตรงข้ามกับพวกเศรษฐีหลายคนพอตกยากขึ้นมากลับไม่สามารถคงความซื่อสัตย์สุจริตเอาไว้ได้

จากเหตุการณ์ดังกล่าวมานี้ทำให้ดิฉันเกิดความวิตกเกี่ยวกับอนาคตของพวกนักโทษเหล่านี้มาก เมื่อพวกเขาได้รับอิสรภาพกลับไปอยู่ในสังคมเดิมของตนแล้ว ก็คงจะพกเอานิสัยขี้ขโมยนี้ติดตัวไปสร้างความเดือดร้อนให้แก่คนในสังคมเป็นแน่

แต่ในปัจจุบันพวกเราต้องทำทุกอย่างเพื่อการมีชีวิตอยู่รอดไปวันหนึ่งๆในค่าย โยไม่คำนึงว่ามันจะผิดศีลธรรมหรือไม่เพียงใด

หลังจากที่ดิฉันเข้ามาทำงานอยู่ในโรงพยาบาลได้หลายสัปดาห์แล้ว มีเพื่อนร่วมงานในโรงพยาบาลของดิฉันคนหนึ่งบอกว่า นักโทษหญิงที่คุกแดน 9 ชื่อ มาลีก้าต้องการจะแลกผ้าขนสัตว์กับขนมปังและเนยเทียม

ขณะนั้นดิฉันอยากได้เสื้อแจ๊กเก๊ตกันหนาวมากแต่ไม่มีขนมปังและเยเทียมพอที่จะเอาไปแลกผ้าขนสัตว์กับมาลีก้า แต่ถึงกระนั้นดิฉันก็ยังไม่ละความพยายามได้ไปขอยืมขนมปังและเนยเทียมจากเพื่อนและในที่สุดก็ได้เสื้อแจ๊กเก๊ตมาตามต้องการ

มาลีก้าเป็นนักโทษที่พวกเยอรมันมอบหมายให้เป็นตำรวจหญิงประจำค่าย มีหน้าที่ใช้กระบองคอยไล่ตีนักโทษออกจากรั้วลวดหนาม

เพราะตามแนวรั้วลวดหนามนี้จะมีนักโทษจากค่ายอื่นๆเป็นจำนวนมากไปออกันอยู่เพื่อติดต่อขอแลกเสื้อผ้าจากค่ายของชาวเชโก มาลีก้าจึงมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้นักโทษในคุกติดต่อขอแลกเปลี่ยนเสื้อผ้าของพวกเชโก

มาลีก้าปฏิบัติหน้าที่ของเธออย่างเคร่งครัด ในช่วงที่เธอปฏิบัติหน้าที่อยู่นั้นไม่มีใครสามารถไปเจรจาแลกเปลี่ยนสิ่งของกับพวกเชโกได้ นอกจากเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น 

ด้วยเหตุนี้เธอจึงเป็นผู้ผูกขาดกิจการแลกเปลี่ยนสินค้าทุกอย่างจนใครๆพากันอิจฉาริษยาที่อดีตแม่ค้าหาบผลไม้ขายได้กลายมาเป็นนักธุรกิจชั้นนำคนหนึ่งในค่ายไปเสียแล้ว

เพื่อนที่มาบอกเรื่องนี้กับดิฉันเธอก็ต้องการซื้อกระโปรงขาวสักขุดหนึ่งเช่นกัน ดังนั้นเราทั้งสองคนจึงพากันเดินไปยังคุกแดนที่ 9 แต่เมื่อไปถึงปรากฏว่ามาลีก้าไม่อยู่ เราต้องรอคอยอยู่เป็นเวลานาน

ขณะนั้นเราสองคนยังไม่มีอะไรตกถึงท้องกันเลย เพราะอาหารที่ได้รับแจกในวันนี้ก็กำลังจะเอาไปแลกกับเสื้อผ้า ขณะที่กำลังนั่งรอมาลีก้าด้วยความหิวโหยอยู่นั้น กลิ่นหอมของอาหารชนิดหนึ่งก็โชยมาจากห้องครัวของหัวหน้าคุกแดน 9

เมื่อเราทนกลิ่นเย้ายวนของมันไม่ไหวจึงเดินตามกลิ่นอาหารนั้นไป ก็เห็นคนใช้ของหัวหน้าคุกกำลังเตรียมอาหารพิเศษไว้ให้นาย

อาหารชนิดนี้เรียกว่า “พลาสกี” ซึ่งเป็นแพนเค้กชนิดหนึ่งทำด้วยมันฝรั่งและขนมปังทอดด้วยเนยเทียม จะมีเพียงหัวหน้าคุกและเจ้าหน้าที่อื่นๆเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีโอกาสได้ลิ้มรสอร่อยของพลาสกีนี้

สำหรับนักโทษธรรมดาแล้วโอกาสที่จะได้ลิ้มรสของมันเป็นความฝันที่ไกลสุดเอื้อม  เราสองคนยืนมองเขาทอดพลาสกีด้วยความหิวโหยจนน้ำลายสอ มันช่างหอมน่ารับประทานอะไรอย่างนั้น

คนใช้ของหัวหน้าคุกคงรู้ว่าเราอยากรับประทานพลาสกีมากจึงเรียกเราสองคนเข้าไปหา

“ดูท่าทางคุณทั้งสองคนคงอยากกินพลาสกีนี่มากใช่มั้ย เมื่อพวกคุณก็เป็นแพทย์ด้วยเช่นนี้ ฉันคิดว่าเรามาตกลงแลกเปลี่ยนกันดีกว่า”เธอกล่าวเบาๆ

“หากคุณนำยาเม็ดแอสไพรินมาให้ฉันสัก 2 -3 เม็ดแล้ว ฉันก็จะแบ่งพลาสกีนี่ให้ ฉันกำลังต้องการยาแอสไพรินอยู่พอดี เพราะรู้สึกปวดหูมาก และไม่ต้องการเสียเวลาไปยืนเข้าคิวรออยู่ที่โรงพยาบาล”

เมื่อได้ยินข้อเสนอเช่นนี้เพื่อรีบฉุดมือดิฉันออกมาคุยกันอีกมุมหนึ่งคาดว่าเธอคงลังเลใจว่าควรจะเอาแอสไพริน 2 เม็ดที่เธอมีอยู่นั้นมาแลกกับพลาสกีดีหรือไม่

ตอนนั้นแอสไพรินเป็นยาที่หาได้ยากมากในค่าย แต่ละเม็ดถือว่าเป็นสิ่งล้ำค่า เรามีสิทธิ์ที่จะนำยาแอสไพรินนี้มาแลกกับอาหารเพื่อตนเองหรือไม่?

ในขณะที่มโนธรรมคอยเตือนเราอยู่ว่ามันเป็นการไม่เหมาะสมที่จะทำเช่นนี้ แต่กลิ่นหอมของพลาสกีบวกกับความหิวโหยที่กำลังเผชิญอยู่นั้นก็มีพลังพอที่จะเข้าแทนที่มโนธรรมธรรมนั้น

ในที่สุดเพื่อนก็ตัดสินพูดกับดิฉันว่า

“ในเมื่อคนใช้ของหัวหน้าคุกคนนี้ป่วย เธอก็มีสิทธิ์ที่จะไปเอาแอสไพรินจากโรงพยาบาลได้อยู่ดี ถ้าเราเอายาแอสไพรินแลกกับพลาสกีเสียตอนนี้ ก็จะทำให้เธอไม่ต้องเสียเวลาไปยืนเข้าแถวรอที่โรงพยาบาล มันคงไม่ผิดมโนธรรมเท่าไรหรอกนะ ถ้าเราจะให้เธอเสียเลยในตอนนี้ จริงไหมเธอ?”

ดิฉันพยักหน้าเป็นการตอบตกลงทั้งๆที่ใจยังรู้สึกลังเลและสับสน จิตสำนึกเตือนเราอยู่ว่าเราไม่มีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนี้เพราะยาในโรงพยาบาลมีอยู่อย่างจำกัด ควรที่จะเก็บไว้ให้คนที่ป่วยหนักกว่าให้คนที่ปวดหูอย่างนี้

 แม้ว่าคนใช้ของหัวหน้าคุกจะไปยืนเข้าแถวรอรับยาแอสไพรินก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้ยานี้ ไม่ว่าเธอจะได้ยานี้หรือไม่นั้นไม่เป็นเรื่องสำคัญ แต่ความสำคัญมันอยู่ตรงที่ว่าเราได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่ในค่ายเพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือไม่?

ถ้าเป็นภาวะปกติคิดว่าทั้งดิฉันและเพื่อนคงจะไม่ลดตัวลงไปทำสิ่งที่ฝืนมโนธรรมเช่นนี้เป็นแน่ แต่ขณะนี้พวกเราอยู่ในค่ายเอาส์ชวิตซ์-เบอร์เคเนาซึ่งจะต้องต่อสู้ทุกอย่างเพื่อความอยู่รอด

เพื่อนของดิฉันหยิบแอสไพริน 2 เม็ดยื่นให้คนใช้ของหัวหน้าคุกด้วยท่าทางไม่เต็มใจนัก และคนใช้ของหัวหน้าคุกก็ใช้มืออันเลอะเทอะของเธอบิพลาสกีส่งให้เราคนละชิ้น

ด้วยความขวยเขินต่อการกระทำที่ฝืนมโนธรรมของตัวเอง พอหยิบพลาสกีมาเราทั้งสองคนก็เหลือบตามองกันโดยมิได้ตั้งใจ.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น