Ads

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 19 โฉมหน้าสัตว์ร้ายในค่ายเอาส์ชวิตซ์



ในหมู่เจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสในค่ายเอาส์ชวิตซ์ โยเซฟ กราเมอร์ เป็นผู้เหี้ยมเกรียมที่สุดคนหนึ่ง เขาได้รับสมญานามว่า “สัตว์ร้ายแห่งเอาส์ชวิตซ์และเบลเซ่น”


ต่อมาหลังจากสงครามโลกยุติลงแล้วเขาคืออาชญากรสงครามนาซีที่ถูกนำตัวขึ้นศาลอาชญากรสงครามที่เมืองนูเร็มเบิร์ก แต่พวกนักโทษในค่ายแทบจะไม่มีโอกาสได้พบหน้า เขาเป็นรองผู้บัญชาการค่าย ซึ่งวันๆเกือบจะไม่ได้ออกจากสำนักงานเลย

เขาจะไปปรากฏตัวที่อื่นก็ต่อเมื่อไปตรวจงานที่สำคัญๆหรือในโอกาสพิเศษเท่านั้น กล่าวกันว่านายกราเมอร์เคยทำงานมาหลายอย่าง ครั้งหนึ่งเคยเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุด ได้สะสมหนังสือเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์มาเก็บไว้ในค่ายเอาส์ชวิตซ์เป็นจำนวนมากเขาผู้นี้นี่เองที่ได้รับคำสั่งจากกรุงเบอร์ลินให้เป็นผู้ดำเนินการสังหารนักโทษในค่าย

นายกราเมอร์เป็นผู้มีร่างกายกำยำผมสีน้ำตาลตัดสั้นเกรียนนัยน์ตาคมกริบเป็นชายชาติทหารเต็มตัว ลักษณะการเดินจะก้าวเดินช้าๆแต่หนักแน่นแสดงถึงความเป็นคนสุขุมรอบคอบ

ดิฉันเคยเห็นเขา 2 ครั้งที่สถานีรถไฟ เมื่อมีการคัดเลือกนักโทษที่เพิ่งเดินทางมาถึงค่าย ซึ่งก็เป็นเหตุการณ์ที่ยังอยู่ในความทรงจำตลอดมา

ครั้งแรกได้พบเขาในช่วงฤดูร้อนปี ค.ศ. 1944 แต่จำไม่ได้แน่นอนว่าเป็นวันที่เท่าไร จำได้แต่เพียงว่าเป็นวันหลังจากนักโทษในค่ายของชาวเชโกหลายพันคนถูกนำตัวไปสังหาร

“ทุกคนออกไปข้างนอกทั้งหมด ไม่ต้องอยู่ในคุก” พวกทหารเยอรมันตะโกนออกคำสั่งในบ่ายวันหนึ่ง นักโทษทุกคนรีบวางมือจากการทำงานตามคำสั่งทันที และได้ออกมาชุมนุมพร้อมกันอยู่กลางแจ้งที่บริเวณหน้าคุกด้วยความงุนงงไปตามๆกันเพราะไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนครั้งก่อนๆ

แต่ครั้งนี้ดูเขาช่างใจดีผิดปกติ เราได้รับอนุญาตให้มานั่งกับพื้นดินได้ ดูเป็นการให้เกียรติที่ไม่มีใครเคยพบเห็นมาก่อนเลย ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังอนุญาตให้นักโทษชายที่เข้ามาทำงานในค่ายมานั่งพูดคุยกับนักโทษหญิงได้ด้วย ซึ่งตามกฎแล้วจะห้ามไม่ให้ทำเช่นนี้อย่างเด็ดขาด

วงออร์เคสตร้าประจำค่ายเริ่มบรรเลงเปิดการแสดง นักดนตรีในชุดนักโทษขึ้นสู่เวทีแล้วเริ่มบรรเลงเพลงไลท์มิวสิคเป็นเพลงแรก ติดตามมาด้วยเพลงเต้นรำสนุกๆเล่นเอาจิตใจของดิฉันและนักโทษทั้งหลายเกิดความคึกคักนึกอยากออกไปลวดลายเต้นกัน แต่ดิฉันก็ยังนึกระแวงการกระทำของพวกเยอรมันอยู่มาก จึงไม่ค่อยจะเชื่อการกระทำใดๆของพวกเขามากนัก

การจัดให้มีป็อปปูล่าคอนเสิร์ตแบบนี้หมายความว่าอย่างไรนะ? ขณะที่ออร์เคสตร้ากำลังเล่นเพลงสะวิงอยู่นั้นหูของดิฉันก็ยังก้องไปด้วยเสียงร้องระงมของเด็กๆชาวเชโกที่ถูกนำตัวไปสังหารเมื่อวันวาน

ในขณะเดียวกันนั้นเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น คือ มีเครื่องบินเยอรมันหลาบลำมาบินฉวัดเฉวียนอยู่เหนือค่าย บางที่ก็บินต่ำลงมามากจะกระทั่งหลังคาคุกสั่นสะเทือน

พอถึงช่วงนี้ดิฉันก็เข้าใจเหตุการณ์ได้เป็นอย่างดี ขณะนี้เครื่องบินกำลังมาถ่ายทำภาพยนตร์ชีวิตในค่ายเพื่อทำเป็นข่าวโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ในค่ายกักกันของพวกนาซี

ภาพยนตร์ที่ลงมือถ่ายทำในครั้งนี้ไม่ได้แสดงให้ชาวโลกเห็นข้อเท็จจริงอะไรเลย นอกจากเห็นภาพนักโทษชายหญิงกำลังนั่งอาบแดดและสนทนากันนอกคุกขณะที่วงดนตรีบรรเลงเพลงอย่างสนุกสนาน

มันเป็นเพียงเล่ห์เหลี่ยมการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อต่อต้านข่าวสังหารหมู่ทีหนังสือพิมพ์ของฝ่ายตะวันตกได้นำออกเผยแพร่ไปแล้วนั่นเอง

นายกราเมอร์เดินอมยิ้มผ่านกลุ่มนักโทษที่นั่งกันอยู่ ภาพต่างๆเหล่านี้ก็ถูกบันทึกไว้ซึ่งดูแล้วเป็นภาพที่พวกเรากำลังพักผ่อนกันอย่างสบาย ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดและอบอุ่นจากผู้บริหารค่าย นับว่านายกราเมอร์สร้างละครฉากนี้ได้แนบเนียนมากทีเดียว

หลายเดือนผ่านไปกองทัพแดงของรัสเซียได้รุกคืบหน้าเข้าไปถึงพื้นที่ราบโปแลนด์ ความหวังอันโชติช่วงก็ผุดขึ้นในใจของพวกเราอีกครั้งหนึ่ง

ผู้ที่เห็นนายกราเมอร์ในขณะที่เดินออกตรวจรายงานว่าเขามีความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของสงครามเพิ่มขึ้นทุกวัน วันหนึ่งเขาได้เขียนออกคำสั่งมาว่า

“ให้กำจัดค่ายหมายเลข 1 ในบ่ายวันพรุ่งนี้ และอพยพนักโทษออกไปให้หมด พร้อมที่จะให้ตรวจได้” ลงชื่อ กราเมอร์

ถึงแม้ว่าจำนวนนักโทษในค่ายหมายเลข 1 ได้ลดลงไปมากแล้วก็ตามแต่ก็ยังมีนักโทษหญิงเหลืออยู่ในค่ายนี้อีกประมาณ 20,000 คน การที่จะเคลื่อนย้ายนักโทษจำนวนมากๆเช่นนี้ไปยังประเทศเยอรมนีในช่วงเวลาอันนั้นนั้นย่อมเป็นไปได้ยาก แต่นายกราเมอร์ก็ออกคำสั่งให้ปฏิบัติตามได้ทันเวลาที่กำหนด

บ่ายวันนั้นต่อมาก็ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่ในค่ายนี้เลยนอกจากคนไข้ 1,000 คนในโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลและเราซึ่งเป็นแพทย์ เราไม่มีความสงสัยใดๆเกี่ยวกับชะตากรรมที่กำลังจะมาถึงคนไข้หรือแม้แต่ตัวเราเองก็ตาม

เมื่อเสร็จจากงานแล้วพวกเราก็กลับเข้าห้องพัก ซึ่งก็คือห้องปัสสาวะเก่าของคุกหมายเลขที่ 13 นั่นเอง ไม่มีใครคำนึงถึงการหลับนอนกันเลย ดิฉันเองได้นำสมบัติส่วนตัวออกมาจากที่ซ่อน นำเทียนไขที่ได้เก็บไว้เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉินเมื่อเกิดเหตุไฟฟ้าดับออกมาจุด

ท่ามกลางแสงเทียนที่สว่างพอสลัวๆเรานั่งเฝ้าคำนึงถึงสิ่งเดียวเท่านั้น คือความตายที่จะมาพร้อมกับแสงทองของวันใหม่ แม้กระทั่งว่าเสียงสายลมแรงที่พัดกรรโชกเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่แตกก็แทบทำให้หัวใจของเราหยุดเต้นไปเลย

เสียงเครื่องบินรัสเซียบินว่อนอยู่เหนือบริเวณค่าย เสียงไซเรนเตือนภัยทางอากาศดังกึกก้องทั่วค่ายอย่างน่ากลัว แต่แล้วทุกอย่างก็ผ่านไปและแสงทองของวันใหม่ก็เริ่มทอทาบขอบฟ้า

พวกเราออกจากที่พักไปปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาลตามปกติ พอเดินไปถึงห้องทำงานได้สักครู่ นายโจเซฟ กราเมอร์พร้อมด้วยยามรักษาการณ์หน่วยเอสเอสก็มาถึง อีก 2-3 นาทีต่อมานายโจเซฟก็ก้าวเข้ามาในห้องโดยไม่สนใจทำความเคารพตอบบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาแต่อย่างใด

เขาได้เดินไปหยุดอยู่กลางห้อง แล้วยืนแยกเท้าเอามือไพล่หลังและได้ออกคำสั่งอย่างเฉียบขาดกับผู้ใต้บังคับบัญชา ในขณะเดียวกันนั้นรถพยาบาลคันหนึ่งที่ใช้สำหรับบรรทุกเหยื่อไปสังหารยังห้องรมก๊าซพิษก็มาหยุดอยู่ที่หน้าโรงพยาบาลและคันอื่นๆก็ตามมาติดๆ

เจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสส่วนหนึ่งพากันไปยืนรายล้อมทางเข้าออกโรงพยาบาลและรถพยาลาลเอาไว้ เจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสอีกส่วนหนึ่งทำหน้าที่สั่งการให้คุมตัวนักโทษเดินออกไปขึ้นรถพยาบาล

นักโทษที่ป่วยอยู่นั้นส่วนมากอ่อนแอจนแทบจะยืนกันไม่ไหว แต่ยามรักษาการณ์หน่วยเอสเอสก็ไม่ยอมผ่อนปรนให้ คนใดที่ทำท่ายืนไม่ไหวก็ถูกยามรักษาการณ์ใช้ไม้กระบองตีและแส้หวดอย่างทารุณ

 ไข้หญิงรายหนึ่งป่วยมากเดินไม่ไหวก็ถูกจิกผมกระชากจนซวนเซล้มลงกับพื้น นักโทษบางรายป่วยหนักยังนอนอยู่บนเตียงก็ถูกไล่ให้ลงมา บางคนหกล้มศีรษะแตกแตนไปบ้างก็มี

ดิฉันกับเพื่อนๆยืนดูเหตุการณ์ด้วยความเกรงกลัว ในขณะที่มีการกระทำที่โหดร้ายทารุณอยู่นั้น มีคนไข้หญิงบางรายพยายามจะหลบหนีและขัดขืนเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสก็พากันจับตัวเหวียงไปที่สนามหญ้าแล้วเฆี่ยนตีอย่างรุนแรงราวกับว่าเป็นสัตว์เดรัจฉาน

งานที่นายกราเมอร์มอบหมายให้พวกเราทำคือให้เปลื้องเสื้อผ้าของคนป่วยที่เพิ่งจะถูกไล่ลงมาจากเตียงและร้องกันระงมจากพิษของแส้


มีเหตุผลอะไรหรือที่จะต้องให้พวกเราทำเช่นนั้นด้วย ในเมื่อเสื้อผ้าเหล่านั้นมันก็คือผ้าขี้ริ้วดีๆนั่นเอง เขาจะอาไปทำไมกันแต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าพอที่จะถามหรือขอร้องให้พวกเยอรมันอธิบายเหตุผลนี้แม้แต่คนเดียว

ดิฉันพยายามจะหลีกเลี่ยงไม่ยอมทำตามคำสั่งเท่านั้นแหละเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสคนหนึ่งก็เดินรี่เข้ามาตบหน้าดิฉันอย่างแรงจนตาพร่าแทบจะล้มทั้งยืน

ดิฉันยังไม่ลืมสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและตัดพ้อต่อว่าของนักโทษที่หันมาตะโกนใส่หน้าพวกเราว่า

“พวกแกก็เหมือนกัน กลายเป็นพวกใจสัตว์ร่วมมือกันทรมานพวกเรากับพวกเขาด้วย”

ความจริงพวกนักโทษเขาก็พูดถูก แต่เป็นเพราะนายกราเมอร์นั่นเองทำให้เราซึ่งทำหน้าที่บรรเทาความทุกข์ยากให้นักโทษแต่กลับไปยึดสมบัติชิ้นสุดท้ายของพวกเขาทั้งๆที่มันเป็นเสื้อผ้าเก่าๆขาดๆเท่านั้นเอง

เพื่อนของดิฉันชื่อแพทย์หญิงเค.ตัวสั่นวิ่งเข้าไปในห้องพยาบาล ดิฉันวิ่งตามไปพอดีรีบแย่งกระบอดฉีดยาออกจากมือในขณะที่เธอกำลังจะฉีดยาพิษเข้าไปในร่างกายเพื่อสังหารชีวิตของตัวเองเนื่องจากทนดูสภาพอันเลวร้ายไม่ได้

ดิฉันไม่อาจบอกจำนวนที่แน่นอนของรถพยาบาลและรถบรรทุกที่มาบรรทุกคนไข้ไปเตาเผาศพในวันนั้นได้ ในขณะที่เขียนบันทึกอยู่นี้มันรู้สึกสับสนจำได้แต่เพียงภาพลางๆ

มันเป็นภาพของกองทหารหน่วยเอสเอสผู้โหดร้ายทารุณกำลังตกอยู่ในสภาพบ้าคลั่ง ทำการเฆี่ยนตีผู้ป่วยหญิงเหล่านั้น และใช้เท้าเตะถีบแม้กระทั่งหญิงมีครรภ์

แม้แต่นายกราเมอร์เองก็เข้าไปสมทบกับผู้ใต้บังคับบัญชาตาถมึงทึงเหมือนกับคนกำลังบ้าเลือดโถมตัวเข้าหาหญิงเคราะห์ร้ายคนหนึ่งแล้วใช้กระบองฟาดศีรษะแตกเลือดไหลอาบศีรษะและใบหน้าจนแดงฉาน

ในโรงพยาบาลไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากเลือดมนุษย์ ทุกแห่งมีรอยเลือดสาดกระเซ็นอยู่อยู่ ไม่ว่าจะที่พื้นนที่ข้างฝาผนังตามเครื่องแบบเจ้าหน้าที่เอสเอสและแม้กระทั่งที่รองเท้าบู๊ททของพวกเขา

ในที่สุดเมื่อรถพยาบาลคันสุดท้ายวิ่งออกไปแล้วนายกราเมอร์ก็ได้ออกคำสั่งให้เราทำความสะอาดพื้น จัดทุกสิ่งทุกอย่างให้เข้าอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด

แต่ก็เป็นที่น่าประหลาดว่าเขายังคงควบคุมการทำความสะอาดครั้งนี้ด้วยตนเองต่อไป เราจึงทำงานกันเหมือนหุ่นยนต์ ความรู้สึกนึกคิดต่างๆถูกทำลายไปจนหมดสิ้น

จิตใจของพวกเรามุ่งครุ่นคิดอยู่สิ่งเดียวเท่านั้นคือความตายที่จะมาถึง ขณะที่จัดการรวบรวมผ้าห่มที่กระจัดกระจายให้เข้าที่ทำความสะอาดอ่างล้างหน้าตลอดจนเครื่องมือหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์และเสื้อผ้าขาดๆของผู้ป่วยที่ได้กองรวมกันเอาไว้ ใจก็คิดอยู่ตลอดเวลาว่าต่อไปก็คงถึงวาระของพวกเราแน่ๆ

แต่พวกเราก็คิดผิดถนัดเพราะว่านายแพทย์เมงเกเลซึ่งยืนดูพวกเราทำงานอยู่นั้นได้จัดการแยกเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลออกเป็น 2 กลุ่ม โยกลุ่มที่ 1 ถูกส่งไปอยู่ที่ค่ายบังคับใช้แรงงาน ส่วนกลุ่มที่ 2 ซึ่งมีดิฉันอยู่ในกล่มนี้ด้วยถูกส่งไปที่โรงพยาบาลแห่งใหม่ที่ค่าย เอฟ.เค.แอล. แม้ว่าค่ายหมายเลข 1 จะถูกปิดไปแล้วแต่โรงงานทำลายล้างมนุษยชาติก็ยังทำงานกันอยู่ต่อไป

ในระหว่างนั้นนายกราเมอร์ได้หายหน้าไปโดยได้กลับไปยังสำนักงานบริหารส่วนกลาง ซึ่งก็ไท่ต้องสงสัยเลยว่ากลับไปเพื่อวางแผนออกคำสั่งเกี่ยวกับความเป็นความตายของทาสอีกหลายพันคนในค่ายเบอร์เคเนา

หลังสงครามยุติลงแล้วอย่างน้อยก็มีบุคคลสำคัญคนหนึ่งได้หายไปจากคุกคุมขังผู้ต้องหาที่ถูกนำตัวไปตัดสิน ณ ศาลอาชญากรสงครามที่เมืองนูเร็มเบิร์ก อันเป็นสถานที่ซึ่งบรรดาผู้นำค่ายทั้งหลายถูกนำตัวไปตัดสินลงโทษจากการกระทำอันโหดเหี้ยม

บุคคลที่หายไปนี้น่าจะได้ชดใช้กรรมที่เขาได้กระทำมาแล้วเช่นเดียวกับนายแพทย์คลีนและนายกราเมอร์ ดิฉันหมายถึงนายแพทย์เมงเกเลซึ่งเป็นหัวหน้าแพทย์ภายหลังจากที่นายแพทย์คลีนออกจากค่ายแห่งนี้ไปแล้ว

ในหมู่บุคคลที่ดิฉันเห็นทำงานในค่ายในฐานะผู้ปฏิบัติการนั้น นายแพทย์เมงเกเลจัดได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญที่จัดการส่งนักโทษไปห้องรมก๊าซพิษและเตาเผาศพ

นายแพทย์เมงเกเลเป็นชายร่างสูงรูปหล่อมาทีเดียวแต่เป็นคนโหดเหี้ยมหาตัวจับได้ยาก สมมุติว่าเขาถูกนำตัวไปขึ้นศาลอาชญากรสงครามก็น่าจะนำตัวไปไว้เคียงข้างกับเออร์มา ครีเซ”เทพธิดาผมทอง”อดีตลูกน้องของเขา

แต่เผอิญนายแพทย์เมงเกเลเป็นไข้รากสาดใหญ่ในตอนที่ค่ายเอาส์ชวิตซ์และค่ายเบอร์เคเนาถูกยึดและได้รับการปลดปล่อยโดยกองทัพรัสเซีย ขณะที่เขาฟักฟื้นอยู่นั้นเองก็ได้ถือโอกาสหลบหนีไปเสียก่อน

นายแพทย์เงเกเลเป็นผู้ชำนาญในการคัดเลือกนักโทษไปประหาร ชอบให้ผู้ถูกเนรเทศที่เป็นแพทย์ติดตามไปตรวจตามคุกต่างๆขณะทำการตรวจภายในคุกอยู่นั้นจะให้ปิดประตูคุกทุกด้าน เขาสามารถไปในทุกหนทุกแห่งที่ต้องการไปได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นช่วงกลางคืนหรือกลางวัน

ที่สำคัญก็คือจะไปในตอนที่พวกเราไม่คาดคิดเสมอ โดยไปพร้อมกับเพลงผิวปาก เขานิยมเพลงของแว็กเนอร์นักดนตรีชาวเยอรมันผู้แต่งอุปราการไว้หลายเรื่อง

เมื่อไปถึงเขาก็จะไม่รีรอให้เสียเวลาแม้แต่น้อย พอเริ่มตรวจก็จะออกคำสั่งให้นักโทษหญิงทุกคนเปลือยกายทันทีแล้วให้เดินชูมือผ่านหน้า ขณะเดียวกันเขาก็จะผิวปากเป็นเพลงของแว็กเนอร์พร้อมๆกับใช้หัวแม่มือชี้ให้แต่ละคนไปทางซ้ายบ้างทางขวาบ้าง

ในการตัดสินใจคัดเลือกนักโทษนั้นก็จะไม่คำนึงถึงเหตุผลทางการแพทย์ แต่จะทำตามอำเภอใจตามแบบฉบับของผู้เผด็จการ

เมื่อตัดสินใจไปแล้วก็ไม่มีใครสามารถอุทธรณ์ฎีกาใดๆทั้งสิ้น เขาไม่ได้คัดเลือกนักโทษไปประหารโดยอาศัยหลักเกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ แม้แต่เรื่องสุขภาพของนักโทษก็ไม่ถือว่าเกี่ยวข้องกับการคัดเลือก

หลังจากที่เขาเหลือบตามองนักโทษที่เปลือยกายเดินผ่านหน้าไปก็จะตัดสินใจแบ่งกลุ่มทันทีว่ากลุ่มซ้ายหรือกลุ่มขวาจะถูกส่งไปยังห้องรมก๊าซพิษ


พวกเราเกลียดชังนายแพทย์ใจอำมหิตผู้นี้มากเพราะเขาชอบอ้างว่าการกระทำใดๆก็ตามก็เพื่อผลทางวิทยาศาสตร์ พวกเราไชอบท่าทางหยิ่งยโส การผิวปากอย่างไม่เป็นเวลา คำสั่งบ้าๆ รวมทั้งลักษณะใบหน้าเหี้ยมเกรียมและดุดันของเขา

หากเพื่อนๆรวมทั้งดิฉันมีทางฆ่าเขาแล้วสามารถหนีไปได้ด้วยความปลอดภัยพวกเราก็คงทำกันไปแล้ว มีอยู่วันกหนึ่งนายแพทย์เมงเกลเลเผลอวางกระเป๋าถือไว้บนโต๊ะ ดิฉันมองเข้าไปเห็นซองปืนพกอยู่ข้างในด้วย ขณะนั้นเขากำลังคัดเลือกนักทาอยู่ในโรงพยาบาล โอกาสที่จะคว้าปืนกระบอกนั้นขึ้นมาสังหารจอมฆาตกรอย่างนายแพทย์เมงเกเลสามารถทำได้ง่ายในชั่วพริบตาเดียว

ทำไมดิฉันไม่ทำเช่นนั้นหรือคะ?  เป็นเพราะเกรงกลัวการถูกลงโทษหลังจากนั้นใช่ไหม? เปล่าเลยค่ะที่ไม่ทำเพราะรู้ดีว่าการกระทำของดิฉันเพียงคนเดียวก็จะมีผลให้พวกเยอรมันกระทำการตอบโต้เป็นการแก้แค้นกับนักโทษหญิงทุกคนในค่าย

ดิฉันคิดว่าคนอื่นๆก็คงคิดเช่นเดียวกันนี้ทั้งๆที่อยากจะสังหารนายแพทย์เมงเกเลและมีโอกาสที่จะทำได้หลายครั้ง

เมื่อพิจารณาให้ถ่องแท้แล้วนายแพทย์เมงเกเลเป็นคนขี้ขลาดตาขาว เขาใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อจะหลีกเลี่ยงจากการไปทำงานในแนวรบ

ในช่วงที่เจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสทั้งหมดออกจากค่ายไปอยู่ในแนวรบกันนั้น นายแพทย์เมงเกเลก็อ้างว่าตนจะต้องอยู่ในค่ายเอาส์ชวิตซ์และค่ายเบอร์เคเนาต่อไปเพื่อปฏิบัติหน้าที่พิเศษบางประการ

วันหนึ่งเขามาที่โรงพยาบาลและตำหนิพวกเราว่าละเลยต่อหน้าที่ทำให้ไข้รากสาดใหญ่ระบาดไปจนทั่วค่ายเอาส์ชวิตซ์และค่ายเบอร์เคเนา

ความจริงแล้วโรคนี้มันระบาดจริงแต่ก็ไม่ได้หนักหนาอย่างที่นายแพทย์เมงเกเลเอะอะโวยวาย เฉพาะในโรงพยาบาลของพวกเรามีผู้ป่วยเป็นโรคนี้อยู่เพียง 2-3 คนเท่านั้น

และในวันเดียวกันนี้เขาได้ส่งวัคซีนเป็นจำนวนมากมาให้เราฉีดนักโทษเพื่อเป็นการป้องกัน เราเริ่มฉีดวัคซีนให้นักโทษตั้งแต่ 6 โมงเช้าโดยตั้งโต๊ะดำเนินการทางด้านหน้าโรงพยาบาล

ทั้งนี้เพราะนายแพทย์เมงเกเลไม่ยอมให้พวกเราฉีดภายในอาคารโรงพยาบาล ทั้งๆที่อากาศก็แสนจะหนาวเย็นจนถึงกับมือสั่นและมีนักโทษยืนเข้าคิวรอกันยาวเหยียดเป็นพันๆคนพวกเรายืนทำงานอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้หยุดพักจนกระทั่งมืดค่ำ

ที่นายแพทย์เมงเกเลสั่งให้ทำเช่นนี้ก็เพราะต้องการให้ทุกอย่างเสร็จทันเวลาที่จะรายงานไปยังกรุงเบอร์ลิน เพื่อให้สมเหตุสมผลในข้ออ้างในข้อที่ขอยกเว้นไม่ต้องออกสู่แนวรบ

พฤติกรรมของนายแพทย์เมงเกเลไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยทั้งๆที่เขาเองสั่งให้ฉีดวัคซีนแต่จู่ๆกลับมากล่าวห่าทำให้วัคซีนสิ้นเปลืองแล้วก็สั่งให้หยุดฉีดในวันรุ่งขึ้น ถึงกระนั้นก็ยังวนเวียนมาต่อว่าต่อขานพวกเราอีกเป็นครั้งที่ 2

เช้าวันหนึ่งเขามาตำหนิพวกเราว่าไม่ ดูแลคนไข้ให้ทั่วถึง ก็จะให้มันทั่วถึงได้อย่างไรเล่าในเมื่อทุกๆวันจะมีคนไข้มารับการรักษาที่โรงพยาบาลตั้ง 400-600 คน

แต่พอในวันรุ่งขึ้นเขาก็มาตำหนิพวกเราอีกว่าดูแลรักษานักโทษมากจนเกินไปจนเกินความจำเป็นทำให้สิ้นเปลืองยาซึ่งหาได้ยาก

อีกครั้งหนึ่งเขาวินิจฉัยว่านักโทษชาวยิวสัญชาติกรีกและยิวสัญชาติอิตาเลียนเป็นผู้นำเชื้อไข้มาลาเรียมาสู่ค่าย เขาจึงสั่งนักโทษชาวยิว 2 สัญชาติหลายพันคนไปสังหารที่ห้องรมก๊าซพิษ โดยอ้างว่าเพื่อเป็นการกำจัดเชื้อโรคไข้มาลาเรีย

พวกเราพยายามหาทางช่วยเหลือนักโทษเหล่านี้อย่างเต็มที่และก็ทำได้สำเร็จโยใช้วิธีตบตา คือ แทนที่จะส่งเลือดของคนที่กำลังป่วยเป็นโรคมาลาเรียไปให้วิเคราะห์พวกเราก็เอาเลือดของคนที่มีสุขภาพแข็งแรงส่งไปให้แทน

นอกจากจะขี้ขลาดและกลัวตายแล้วนายแพทย์เมเกเลก็ยังเป็นเห็นคนอื่นตายเป็นเรื่องสนุกครั้งหนึ่งแพทย์หญิงเจอร์ทรูด มอสเบิร์ต จากอัมสเตอร์ดัมวิงวอนขอชีวิตบิดาซึ่งเป็นแพทย์ที่ถูกจะถูกส่งไปเข้าเตาเผาศพ นายแพทย์เมงเกเลตอบอย่างไรทราบไหมคะ?เขาบอกว่า

“พ่อของคุณอายุตั้ง 70 ปีแล้ว คุณไม่คิดหรือว่าแกอยู่มานานพอที่จะได้ได้แล้ว”

อีกครั้งหนึ่งเขาเขายืนต่อหน้าคนป่วยหญิงรายหนึ่งตาจ้องมองเธออย่างเหยียดหยาม

“แกเคยไปอยู่ทางโน้นบ้างไหม” เขาถามคนป่วยหญิง พร้อมทั้งชี้นิ้วไปทางเตาเผาศพ

“แกรู้ไหมว่าทางโน้นเป็นอย่างไรบ้าง?”

หญิงผู้เคราะห์ร้ายไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร ก็ทำท่าหยักไหล่และส่ายหน้า

“เดี๋ยวแกก็รู้เองในไม่ช้านี้ล่ะ”

,มีอยู่ครั้งหนึ่งดิฉันเห็นนายแพทย์เมงเกเลกลัวจนหัวหด คือตอนที่เผชิญหน้ากับนายกราเมอร์ซึ่งเป็นผู้ที่เหนือกว่าเขาทั้งอำนาจและบุคลิกภาพ นายแพทย์เมงเกเลผู้คลั่งไคล้ดนตรีคนนี่ชอบวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่เสมอกับนักโทษผ็ไม่มีทางสู้แต่กลัวจนตัวสั่งงันงกเมื่อเผชิญหน้ากับ”สัตว์ร้ายแห่งเบลเซ่น

ดิฉันไม่รู้ว่านายแพทย์เมงเกเลมีจุดมุ่งหมายและแนวความคิดที่แท้จริงทางการแพทย์อย่างไรบ้าง การทดลองทางการแพทย์ของเขาทุกครั้งดูเหมือนว่าจะไม่มีคุณค่าทางวิทยาศาสตร์เลยแม้แต่น้อย มันเป็นเพียงการทดลองแบบโง่ๆเท่านั้นเอง 


เขาชอบทำอะไรขัดแย้งกันอยู่เสมอ ครั้งหนึ่งดิฉันเห็นเขาแนะนำให้พวกเราใช้มาตรการระมัดระวังอย่างเต็มที่ในเวลาทำคลอด โยให้ยึดหลักปฏิบัติที่ถูกต้องรวดเร็วและปลอดภัย เวลาตัดรกก็ให้ทำอย่างพิถีพิถัน แต่อีกครึ่งชั่วโมงต่อมากลับส่งทั้งมารดาและทารกนั้นไปเข้าเตาเผาศพ

เขาจะทำในทำนองเดียวกันนี้กับการฉีดวัคซีนเพื่อต่อต้านโรคไข้รากสาดใหญ่หรือไข้อีดำอีแดง โยจะทำทีดูแลรักษาพยาบาลนักโทษที่กำลังป่วยเป็นอย่างดีทั้งๆที่กำลังจะส่งคนเหล่านั้นไปเข้าห้องรมก๊าซพิษ

.ในหมู่เจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสที่เป็นฝ่ายหญิงดิฉันต้องการรู้จักเออร์มา ครีเซมากที่สุด ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะอยากรู้จักเป็นการส่วนตัวแต่สถานการณ์ต่างๆมันทำให้ต้องรู้จัก”แม่เทพธิดาผมทอง”อย่างที่พวกหนังสือพิมพ์ให้สมญานาม เธอสามารถทำให้ดิฉันเกลียดได้อย่างที่ไม่เคยเกลียดใครเช่นนี้มาก่อน

,มันอาจจะดูเป็นเรื่องซ้ำซากที่ต้องย้ำกันอยู่บ่อยๆว่าเธอสวยหาตัวจับได้ยาก ความงามของเธอมีอิทธิพลมากถึงขนาดว่านักโทษทุกคนทั้งๆที่รู้เป็นอย่างดีว่าการมาปรากฏตัวของเธอหมายถึงการเรียกชื่อและคัดเลือกตัวนักโทษไปสังหารยังห้องรมก๊าซพิษ แต่นักโทษก็อดจะตะลึงในความงามและเผลอพึมพำขึ้นมาไม่ได้ว่า”แม่คุณเอ๋ย ทำไมถึงสวยขนาดนี้”

ถ้าหากมีนักเขียนนวนิยายสักคนมาเขียนบรรยายภาพความงามของเธอเป็นตัวหนังสือ ผู้อ่านคงคิดว่านักเขียนนวนิยายผู้นี้พรรณนาเกินความเป็นจริงไปเสียแล้วทั้งๆที่ความจริงเธองามยิ่งกว่าความงามในหน้ากระดาษที่นักเขียนพรรณนาเอาไว้เสียอีก

หญิงสาววัย 22 ปีคนนี้ตระหนักดีถึงอำนาจความงามของเธอ และจะทำทุกอย่างเพื่อเสริมให้มันมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น เธอจะวนเวียนอยู่หน้ากระจกวันละหลายๆชั่วโมงเพื่อเสริมแต่งร่างกายให้เฉิดฉายสะดุดตาอยู่เสมอ

เวลาจะไปไหนมาไหนเธอก็จะชโลมน้ำหอมชนิดพิเศษส่งกลิ่นหอมตลบอบอวนไปทั่ว ผมจะฉีดสเปรย์กล่นหอมเย้ายวนใจและบางครั้งก็ม้วนเป็นมวยอย่างสวยงามการใช้น้ำหอมมากๆนี้บางครั้งมันก็แสดงออกถึงลักษณะนิสัยโหดเหี้ยมที่มีอยู่ในตัวเธอได้เหมือนกัน
บรรดานักโทษซึ่งขณะนี้กำลังตกอยู่ในสภาวะอันเลวร้ายและร่างกายก็สกปรกมอมแมม จึงพากันชื่นชมกับเจ้ากลิ่นหอมที่ฟุ้งกระจายออกจากกายของเธอ

แต่พอเธอเดินจากไปเท่านั้น กลิ่นเหม็นจากควันเตาเผาศพซึ่งคละคลุ้งอยู่ทั่วทั้งค่ายก็เข้ามาแทนที่เช่นเคย ทำให้รู้สึกว่ามันเหม็นยิ่งกว่าเดิมจนแทบจะทนไม่ได้

ดูเหมือนว่าแม่เทพธิดาผมทองคนนี้จะใช้ความงามของเธอเพื่อทำให้พวกเราระลึกถึงฐานอันต่ำต้อยของตัวเองอยู่เสมอ

เสื้อผ้าของเธอก็เช่นกันมีแต่แบบสวยๆงามๆทั้งนั้น ความจริงแล้วแค่ชุดเครื่องแบบหน่วยเอสเอสก็เหมาเจาะอยู่แล้วแต่เธอก็ไม่ชอบกลับไปชอบใส่ชุดพลเรือนมากกว่า

ที่เห็นชอบมากเป็นพิเศษคือเสื้อแจ็คเก็ตสีฟ้าที่รับกับดวงตาสีฟ้าของเธอ เวลาสวมแจ็คเก็ตตัวนี้ก็จะผูกเนคไทสีดำสนิทและเหน็บแส้อาวุธคู่มือไว้ที่รองเท้าทอปบู๊ท

เออร์มามีตู้เสื้อผ้าอย่างดี ดิฉันรู้จักและคุ้นเคยกับช่างเสื้อผ้าประจำตัวของเออร์มา ก่อนเกิดสงครามช่างเสื้อคนนี้มีกิจการตัดเสื้อผ้าที่มีชื่อเสียงมากในกรุงเวียนนา

ปัจจุบันเธอต้องตัดเสื้อผ้าให้เออร์มาโดยมิได้ว่างเว้นตั้งแต่เช้าจรดเย็น แต่รางวัลที่ได้ก็คือขนมปังเพียงชิ้นเดียวเท่านั้นเอง เออร์มาไม่เคยรู้จักคำว่าขาดแคลน เธอมีแม้กระทั่งเสื้อผ้าดีๆจากประเทศอังกฤษ มีรองเท้าและเสื้อผ้าของนักโทษที่ถอดไว้ก่อนจะเข้าห้องรมก๊าซพิษจำนวนมากมาย

นอกจากนั้นเธอยังได้สิ่งของอื่นๆจากประเทศยุโรปที่ถูกพวกเยอรมันยึดครอง ตู้เสื้อผ้าของเธอเป็นศูนย์รวมเสื้อผ้าชั้นดีจากกรุงปารีส กรุงเวียนนา กรุงปร๊าก กรุงอันสเตอร์ดัม และกรุงบูคาเรสต์

กล่าวกันว่าแม่เทพธิดาผมสีมองใบหน้าซื่อๆผู้นี้ไม่ใช่ย่อยในเรื่องอื้อฉาวคาวโลกีย์ มีเสียงซุบซิบนินทาในค่ายว่านายกราเมอร์และนายแพทย์เมงเกเลเป็นคู่ขาหลัก แต่คู่ขาคนสำคัญที่เธอติดใจในรสรักมากที่สุดคือวิศวกรหนุ่มคนหนึ่งของหน่วยเอสเอส

เกือบทุกเย็นเธอต้องไปหาวิศวกรหนุ่มผู้นี้ จะกลับมาตอนเที่ยงคืนเพื่อให้ทันทำงานในหน้าที่ เมื่อใดที่ได้อยู่เคียงข้างกับเขาเธอจะแสดงความภาคถูมิใจออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ขณะที่กวาดสายตามายังพวกเราสายสายตาของเธอคล้ายกับกำลังประกาศว่า

“นี่แน่พวกแกทั้งหลาย อาณาจักรแห่งนี้มันเป็นของฉันเพียงคนเดียว ฉันมีอำนาจเหนือชีวิตและความตายของฝูงสัตว์อย่างพวกแก”

อำนาจดังกล่าวนี้มันเป็นของเธอจริงๆเพราะเธอสามารถใช้มันทุกครั้งเมื่อมีการคัดเลือกตัวนักโทษไปประหาร

วันหนึ่งเออร์มามาที่โรงพยาบาล พอก้าวเข้ามาในห้องก็ออกคำสั่งเฉียบขาดให้ขับไล่คนไข้ที่กำลังรอตรวจรักษาอยู่ในห้องนั้นออกไปจนหมดสิ้น แล้วก็ตรงเข้าไปปรึกษากับศัลยแพทย์หญิงเพื่อนสนิทของดิฉัน

“ฉันต้องการให้แกช่วยผ่าตัดทำสาวให้ฉันหน่อย”เธอพูดห้วนๆ

“ฉันรู้ว่าแกชำนาญทางด้านนี้มาก”

แล้วเธอก็อธิบายถึงสิ่งที่เธอต้องการให้ศัลยแพทย์หญิงจัดการให้ การผ่าตัดแบบนี้เป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างละเอียดลออ แต่จะปฏิเสธเออร์มาก็ไม่ได้ เพราะมันหมายถึงอันตรายที่จะมาถึง

ขณะเดียวกันถ้าเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของค่ายรู้ว่าพวกเราร่วมกับเออร์มาทำเช่นนี้ก็จะเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงเช่นเดียวกัน เพราะการผ่าตัดแบบนี้ถือว่าผิดกฎของค่าย

เมื่อศัลยแพทย์เพื่อนของดิฉันยังลังเลใจ เออร์มาได้ยื่นข้อเสนอต่อไปว่า

“เพื่อเป็นการตอบแทน ฉันจะให้แกได้กินอาหารอย่างดีกับฉัน  แกจะได้กินช็อกโกแลตอย่างดี  ได้ดื่มกาแฟรสแท้ใส่นม และยังจะได้กินเค้กขนมปังและเนยอีกด้วยนะ” เธอเว้นระยะหายใจแล้วกล่าวต่อ

“ฉันจะให้เสื้อกันหนาวเนื้อดีแกอีกตัวหนึ่งด้วย รับรองได้ว่าใส่แล้วอุ่นจริงๆ”

อย่างไรก็ตามศัลยแพทย์หญิงก็ยังตัดสินใจไม่ได้ ทำให้เออร์มาโกรธมาก หยิบปืนขึ้นมาจ้องปลายประบอกไปยังร่างของศัลยแพทย์หญิงแล้วขู่ว่า

“ฉันให้เวลาแกตัดสินใจภายใน 2 นาที”

“ค่ะ ตกลง” ศัลยแพทย์หญิงตอบด้วยความกลัวตาย

“แล้วพบกันที่คุกหมายเลข 19 พรุ่งนี้ตอนเวลา 5 โมงเย็น จำไว้ด้วยนะว่าฉันทนการผิดเวลานัดหมายของใครไม่ได้” แม่เทพธิดาผมทองพูดทิ้งท้ายก่อนจะจากไป

เพื่อนของดิฉันไม่กล้าผิดเวลาได้ไปตามที่นัดไว้ แต่ได้ขอให้ดิฉันไปทำหน้าที่พยาบาลในการผ่าตัดครั้งนี้ด้วย

ในขณะที่ทำการผ่าตัดอยู่นั้น ภาพที่พวกเราเห็นแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ เออร์มาจอมทรมานมนุษย์กลัวจนเหงื่อแตก ดิ้นทุรนทุราย ส่งเสียงร้องครวญครางโดยไม่สามารถควบคุมตนเองได้

 ไม่น่าเลยที่มนุษย์อย่างเธอผู้ซึ่งเคยส่งคนไปสู่ความตายมานับหมื่นๆรายไม่สามารถทนกับความเจ็บปวดเล็กน้อยได้ทั้งที่การผ่าตัดครั้งนี้เป็นเพียงการผ่าตัดย่อยเพื่อทำสาวเท่านั้นเอง
หลังจากผ่าตัดเสร็จได้ไม่นาน เธอก็พล่ามพรรณนาแบบเฟ้อฝัน

“หลังจากสงครามยุติลงแล้ว ฉันคิดจะไปแสดงภาพยนตร์ พวกแกจะเห็นชื่อฉันโดดเด่นในวงการดารา ฉันรู้จักชีวิตและได้พบเห็นสิ่งต่างๆมามากมาย ประสบการณ์ที่ผ่านมาจะทำให้ฉันประสบความสำเร็จในการเป็นนักแสดงอย่างแน่นอน”

พวกเรามีความดีใจมากที่เออร์มาปล่อยให้ให้พวกเรากลับมาที่พักได้โดยสวัสดิภาพ ในขณะนั้นเธอน่าจะฆ่าพวกเราเพื่อปิดปากที่ล่วงรู้ความลับการผ่าตัดครั้งนี้ ซึ่งเธอสามารถฆ่าเรา 2 คนได้อย่างงายดาย เพียงแค่ส่งไปเข้าห้องรมก๊าซพิษเท่านั้นเอง ก็ยังแปลกใจไม่หายว่าทำไมถึงไม่ทำ

ต่อมาหลังสงครามโ,กยุติและเยอรมันเป็นฝ่ายแพ้สงคราม พวกเราเห็นเออร์มาในภาพยนตร์จริงๆแต่มันไม่ใช่ภาพยนตร์บันเทิงอย่างที่เธอวาดฝันเอาไว้ เธอไม่ได้เป็นนางเอกภาพยนตร์ประเภทรักหวานชื่น รูปร่างหน้าตาของเธอก็ไม่ได้งามเฉิดฉายดังใจคิด ร่างของเธอมีวาสนาได้เป็นเพียงตัวประกอบในภาพยนตร์ข่าวที่เปิดเผยการตัดสินคดีอาชญากรสงครามที่เมืองนูเร็มเบิร์ก

เมื่อถูกตัดสินให้ประหารชีวิตเพราะความผิดมากมายเหลือที่จะพรรณนานา เธอได้ตะโกนร้องโวยวายและดิ้นรนด้วยความกลัวตายเมื่อหน่วยรักษาความปลอดภัยลากตัวเข้าไปยังหลักประหาร

การประหารชีวิตของเธอครั้งนั้นมันยังไม่สาสมกับบาปกรรมจากความผิดอันมหันต์ที่เธอได้กระทำไว้กับบรรดานักโทษในค่ายเชลย

ในหมู่เจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสระดับหัวหน้าที่ดิฉันเคยเห็มา นายแพทย์ฟริตซ์ คลีนเป็นบุคคลที่ดิฉันทึ่งมากที่สุด เขาเป็นคนแซ็กซอนมาจากทรานซิลวานีย

 เมื่อโรงงานทำลายล้างมนุษย์ทำงานกันอย่างเต็มกำลังอยู่นั้น เขาเป็นแพทย์ชั้นนำคนหนึ่งของค่ายและก็เป็นหนึ่งในผู้ดำเนินงานตามโครงการทำลายล้างมนุษยชาติของพวกนาซี

ที่มีบุคคลบางกลุ่มกล่าวว่าเขาควรได้รับโทษหนักกว่าที่ได้รับสักร้อยเท่าถึงจะสาสมนั้นเป็นการพูดที่ไม่ถูกต้องนัก เมื่อเปรียบเทียบกับเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสคนอื่นๆแล้ว นายแพทย์คลีนเป็นฆาตกรที่โหดร้ายน้อยที่สุด

ถ้าจะว่ากันอย่างยุติธรรมก็ต้องพูดว่า เขานิยมความรุนแรงแบบซาดิสต์น้อยกว่าทุกคนในคณะผู้ร่วมงาน ดิฉันมีความรู้สึกว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามเขาทำเพราะสถานการณ์บังคับเสียมากกว่า

มีอยู่หลายครั้งที่สังเกตเห็นว่าเขาเป็นคนมีมโนธรรม เป็นฆาตกรหน่วยเอสเอสคนเดียวที่ดิฉันเคยเห็นว่าปฏิบัติต่อนักโทษด้วยความมีมนุษยธรรม ความสุภาพอ่อนโยนของเขาเป็นสิ่งที่น่าประทับใจยิ่ง

นอกจากนั้นแล้วเขาก็ยังให้ความสนใจคนไข้อย่างจริงใจ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรแอบแฝง นักโทษเป็นจำนวนมากเกิดความประทับใจมาก เมื่อเห็นใครสักคนอย่างนายแพทย์คลีนแสดงออกถึงความเอื้ออารีที่หาได้ยากยิ่งกว่าแหล่งน้ำในทะเลทรายอย่างในค่ายกักกัน

แม้ว่าเขาจะเป็นคนเด็ดขาดในการส่งนักโทษผู้เคราะห์ร้ายนับหมื่นๆคนไป”โรงพยาบาลพิเศษ”แต่ดิฉันเคยเห็นเขาช่วยเหลือคนไข้จำนวนหนึ่งด้วยการเอาใจใส่เป็นอย่างดี

วันหนึ่งนายแพทย์ประจำคุกคนหนึ่งมอบบัญชีนักโทษที่สงสัยว่าเป็นโรคคอตีบซึ่งถือว่าเป็นโรคติดต่อร้ายแรงชนิดหนึ่งให้นายแพทย์คลีน

เมื่อเขาตรวจคนไข้แล้วก็มีเพียง 3 คนเท่านั้นที่ป่วยเป็นโรคติดต่อดังกล่าว พอถึงคนที่ 4 เขาตรวจลวกๆแล้วส่งกลับเข้าไปอยู่ในคุกตามเดิม

“รายนี้ไม่สมควรจะต้องไปโรงพยาบาล”เขากล่าว

“เพียงแค่เจ็บคอธรรมดาๆเท่านั้น”


เป็นอันว่าคนที่ 4 นี้รอดตายเพราะนายแพทย์คลีน ซึ่งเป็นลักษณะตรงกันข้ามกับนายแพทย์เมงเกเล คือนายแพทย์เมงเกเลจะส่งทุกคนที่สงสัยว่าเป็นโรคนั้นๆไป”โรงพยาบาล”โยไม่ต้องตรวจให้ลำบาก

ดิฉันเคยเล่ามาแล้วว่านายแพทย์คลีนเคยทำทีโกรธแพทย์ในโรงพยาบาลและในคุกเพื่อช่วยชีวิตนักโทษหลายคนไม่ให้ถูกคัดเลือกตัวส่งไปโรงพยาบาล

อีกครั้งหนึ่งดิฉันได้บอกกับนายแพทย์คลีนว่ามีผู้ถูกคัดเลือกจำนวนมากกำลังรออยู่ในโรงอาบน้ำก่อนที่จะถูกส่งไป”โรงพยาบาล”

“ทำไมให้พวกนักโทษคอยอยู่นานถึงขนาดนี้” นายแพทย์คลีนถามยามรักษาการณ์หน่วยเอสเอส

“รถพยาบาลยังไม่มีครับ”ยามรักษาการณ์หน่วยเอสเอสผู้นั้นตอบ “เขากำลังใช้รถขนกล่องพิเศษอยู่”

ดิฉันรู้ดีว่า”กล่องพิเศษ”ที่เจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสกล่าวถึงนั้น หมายถึงกล่องผงก๊าซพิษซึ่งตามปกติจะใช้รถพยาบาลขนไป

นายแพทย์คลีนมีท่าทีโกรธขึ้นมาทันทีพร้อมกับกล่าวว่า

“เมื่อรู้อย่างนั้นทำไมถึงรีบคัดเลือกนักโทษล่ะ มันไม่มีประโยชน์อะไรที่ให้พวกเขามาทนอยู่อย่างนี้ตลอดวัน”

อะไรล่ะที่ทำให้นายแพทย์คลีนมีปฏิกิริยาออกมาเช่นนี้? เป็นไปได้ไหมว่าเขารู้สึกสงสารนักโทษจึงทำทีว่าโกรธพวกยามยามที่ให้นักโทษคอยนาน

อีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ดิฉันติดตามนายแพทย์คลีนไปตรวจตามค่ายต่างๆแล้ว ดิฉันได้แจ้งให้เขารู้ว่ามีนักโทษยืนตากฝนที่หน้าคุกอยู่นานหลาชั่วโมงแล้ว เขาไม่พูดอะไรสักคำแต่ได้เดินตรงไปที่นั่นทันทีแล้วออกคำสั่งให้นักโทษเหล่านั้นกลับเข้าคุกตามเดิม

นายแพทย์คลีนเป็นชาวทรานซิลวาเนียเช่นเดียวกับดิฉัน เขาพูดภาษาท้องถิ่นเดียวกับดิฉันเสมอ เคยซักถามเกี่ยวกับครอบครัวของดิฉัน ครั้งหนึ่งเขาถามตรงๆว่าดิฉันคงไม่ใช่คนในครอบครัวของนายแพทย์ชื่อเสียงโด่งดังซึ่งเป็นผู้อำนวยการรงพยาบาลในเมืองครูซใช่ไหม?

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่เขาพูดถึงก็คือสามีของดิฉัน ซึ่งดิฉันไม่ได้ข่าวจากเขามานานหลายสัปดาห์แล้ว เมื่อถูกถามสะกิดใจเช่นนั้นก็นึกฉุนขึ้นมาทันที

ดิฉันจะบอกความจริงกับเขาได้อย่างไร เพราะตอนนี้ตัวเองมีเนื้อตัวเปรอะไปด้วยโคลน ผมถูกกล้อนเสื้อผ้าก็ขาดรุ่งริ่ง รองเท้าที่สวมอยู่ก็เก่าและขาดเป็นรูโหว่ ดิฉันจะเป็นภรรยาของนายแพทย์ที่โด่งดังคนนั้นไม่ได้ ขณะนี้ดิฉันเป็นได้แต่เพียงทาสรับใช้ที่คอยเดินตามเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสเท่านั้น

“เปล่าคะ” ดิฉันฝืนพูด

“ดิฉันไม่ทราบว่าคุณหมอกำลังพูดถึงเรื่องอะไรคะ”

แต่นายแพทย์คลีนเขาไม่โง่พอที่ดิฉันจะหลอกได้

“”เหรอ คุณไม่กล้าบอกใช่ไหม” เขาพูดขึ้น

“มันไม่น่าเชื่อเลยนะ” แล้วน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นการเป็นงานทันที

“คุณต้องเดินตามหลังให้ห่างผมสัก 2-3 ก้าว ต่อไปนี้คุณจะเดินคู่ไปกับผมไม่ได้”

อีก 2-3วันต่อมานายแพทย์คลีนก็ไปเยี่ยมพวกเราที่โรงพยาบาลอย่างไม่คาดฝัน เขามาบอกให้ดิฉันติดตามไปตรวจคนไข้ตามที่ต่างๆ ดิฉันยังจำคำสั่งของเขาได้ดีจึงเดินตามหลังห่างจากเขา 2-3 ก้าว

ขณะที่เดินไปนั้นเขาชี้ให้ดิฉันดูรถจักรยานของเขาแล้วพูดว่า

“รถยนต์ของผมถูกยึดไปแล้ว ขณะนี้เรากำลังขาดแคลนน้ำมัน ฟังนะ ผมกำลังจะบอกข่าวดีให้คุณได้รู้ มันอาจจะทำให้คุณมีความสุขมากก็ได้ สงครามกำลังจะยุติลงในไม่ช้านี้ และเราก็มีหลังจะได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนอีกครั้งหนึ่ง”

ดิฉันเหลียวมองไปรอบๆข้างเพื่อความแน่ใจเพราะทุกครั้งที่ดิฉันไปกับนายแพทย์คลีนจะมีพวกหน่วยเอสเอสติดตามไปด้วยเสมอ แต่คราวนี้โชคดีที่ไม่มีใครอยู่ใกล้พอที่จะได้ยินเราสนทนากัน

“ขอบคุณค่ะ” ดิฉันกล่าวด้วยความปีติ

“ดิฉันไม่เคยได้ยินเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสคนไหนพูดเช่นนี้เลย”

“ขอบคุณทำไมกัน” นายแพทย์คลีนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ผมรู้เหตุการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างดี เมื่อสงครามยุติลงแล้ว ทั้งคุณและคนอื่นๆก็คงจะไม่สนใจใยดีอะไรกับผมอีกต่อไป”

.ในช่วงนี้เองที่ดิฉันเข้าใจความรู้สึกของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง เขามองการณ์ไกลได้ฉลาดกว่าเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสคนอื่นๆ สามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำว่าเยอรมันจะต้องพ่ายแพ้สงคราม

เพราะฉะนั้นการที่เขาแสดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อนักโทษนั้นมันอาจจะเป็นการกระทำที่เล็งผลเลิศในอนาคตก็ได้ อย่างน้อยที่สุดเมื่อสงครามยุติลงแล้วเขาอาจจะได้รับการกันตัวเป็นพยานในเวลาขึ้นศาลอาชญากรสงคราม ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงก็หมายความว่าเขาไม่ต้องได้รับโทษทัณฑ์ที่ทางการกำหนดไว้เหมือนคนอื่นๆ

นอกจากนายแพทย์คลีนแล้วก็ยังมีบุคคลที่ดิฉันอยากจะเอ่ยถึงคือนายคาเปซิอุส ชาวทรานซิลวานียอดีตผู้จัดการบริษัทไบเอร์เยอรมันในทรานซลวาเนีย

ปกติตัวแทนของบริษัทนี้จะไปเยี่ยมสามีของดิฉันที่โรงพยาบาลในเมืองครูซเป็นประจำ ในวันคริสต์มาสเราเคยได้รับของขวัญเป็นน้ำหอมชั้นเยี่ยม เหล้าอย่างดี ตำราทางการแพทย์ที่ทันสมัย รวมทั้งทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกตัวแทนของบริษัทสรรหามาให้เพื่อเอาใจลูกค้า แม้แต่บนโต๊ะเขียนหนังสือของเราก็มีดินสอติดตราไบเออร์วางอยู่เป็นประจำ

ดิฉันรู้จักกับนายคาเปซิอุสก่อนที่จะเดินทางมาอยู่ในค่ายกักกัน ก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อมาพบว่าเขาเป็นหนึ่งในบุคคลระดับหัวหน้าในค่ายเบอร์เคเนา โดยเป็นหัวหน้าคุมคลังยาทั้งหมดที่จะใช้แจกจ่ายไปยังค่ายต่างๆในอาณาบริเวณนี้

แต่เมื่อพวกเรามียาไม่พอใช้และต้องการมันเพิ่มเติมเขาไม่เคยเอื้อเฟื้อเลยแม้แต่น้อยทั้งๆที่เคยรู้จักกับดิฉันมาก่อน

หัวหน้าคลังยาคนนี้จะออกจากค่ายไปเยี่ยมครอบครัวที่เมืองเซเกสวาร์เสมอๆ ครั้งหนึ่งเมื่อกลับจากไปเยี่ยมครอบครัวมาแล้ว ก็ได้มาที่โรงพยาบาลของพวกเราและได้เข้าไปสนทนากับแพทย์หญิงบอห์มซึ่งเป็นผู้ถูกเนรเทศจากย่านเดียวกับเขา

“ผมพบและได้พูดคุยกับน้องชายคุณเมื่อ 2 วันก่อนที่เมืองเซกสวาร์ ผมได้สัญญากับน้องชายคุณว่าจะช่วยดูแลคุณ”

แพทย์หญิงบอห์มได้ยินเช่นนั้นถึงกับร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจ

“ผมบอกกับน้องคุณว่าคุณสบายดี” นายคาเปซิอุสกล่าวต่อ

แพทย์หญิงบอห์มก้มลงมองดูชุดที่ขาดรุ่งรุ่งของเธอแล้วก็ปลงอนิจจัง นี่หรือคือผู้ที่เขาบอกว่า”สุขสบาย”แต่ถึงอย่างไรก็ตามเธอได้กล่าวขอบคุณในความเอื้อเฟ้อของชายผู้นี้

อีก 2-3 สัปดาห์ต่อมานายคาเปซิอุสก็มาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง คราวนี้มาแจ้งให้แพทย์หญิงบอห์มรู้ว่าเมืองเซเกสวาร์ถูกรัสเซียยึดครองได้เรียบร้อยแล้ว และขณะนี้น้องชายของแพทย์หญิงบอห็มได้รับแต่งตั้งเป็นนายกเทศมนตรีเมืองนั้น

“ถ้าหากน้องชายของคุณช่วยดูแลครอบครัวของผมเป็นอย่างดี” นายคาเปซิอุสขู่แพทย์หญิงบอห์ม

“คุณก็จะมีโอกาสกลับไปพบกับเขาได้อีกครั้งหนึ่ง”

ต่อมาไม่นานแพทย์หญิงบอห์มก็ถูกย้ายจากค่ายเบอร์เคเนาไปอยู่ที่ค่ายเอาส์ชวิตซ์ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของนายคาเปซิอุส การที่เธอถูกย้ายในครั้งนี้ก็เพราะถูกจับไปเป็นตัวประกันนั่นเอง และเราก็ไม่ได้ข่าวจากเธออีกเลย

ดิฉันมีความรู้สึกว่านายแพทย์คลีนมีแผนอะไรอยู่ในใจเช่นเดียวกัน เมื่อถามดิฉันว่ามีญาติที่ทรานซิลวาเนียหรือไม่

“ภายใน 2 วันนี้ผมจะบินไปเมืองบรัสโซ(ในทรานซิลวาเนีย)มีอะไรที่จะส่งข่าวไปถึงครอบครัวคุณบ้างไหม ผมยินดีจะช่วยเหลือ”

ดิฉันฉุกคิดถึงพี่สะใภ้ซึ่งอยู่ที่เมืองบรัสโซทันที เกือบจะตกหลุมพรางบอกนายแพทย์คลีนไป แต่ก็ยั้งปากไว้ได้ทัน เพราะยังจำเหตุการณ์ในตอนที่เยอรมันหลอกให้นักโทษเขียนไปรษณียบัตรส่งกลับไปหาญาติในครั้งนั้นได้ดี ว่าผลของมันก็คือการเปิดเผยให้พวกเยอรมันได้เหยื่อเนรเทศรายใหม่ ดังนั้นการที่ดิฉันจะให้ที่อยู่ของพี่สะใภ้แก่ฆาตกรรายนี้จึงไม่เป็นการปลอดภัยเป็นแน่

ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ดิฉันเลยไม่กล้าเอ่ยปากถามนายแพทย์คลีนเกี่ยวกับสามีเพราะเกรงไปว่าแทนที่จะได้รับความช่วยเหลือบางทีสามีอาจจะได้รับอันตรายเพราะดิฉันเป็นเหตุก็ได้

จากประสบการณ์ที่ผ่านมานั่นเองทำให้ดิฉันไม่ไว้ใจใน”ความเอื้ออารี”ของพวกนาซีแม้แต่คนเดียว.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น